“ข้าไม่กลัวหนาว!” เด็กน้อยตัวอ้วนกล่าวอย่างห้าวหาญ
อวิ๋นหว่านชิ่นหัวเราะเยาะ “นั่นสินะ เนื้อทั้งนั้น บังลมได้ดีเลยนี่!”
ชุยอินหลัวเบะปาก แต่เมื่อรู้ว่าคืนนี้ได้นอนกับนางแล้ว ดวงตาคู่นั้นสุกสว่าง การพูดฉีกหน้านั้นไม่เป็นผลต่ออารมณ์อย่างสิ้นเชิง “ป่วยก็ป่วยสิ เดี๋ยวท่านพี่ก็เชิญหมอหลวงมารักษาข้าเอง”
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นท่าทางของนางแล้ว เกรงว่าจะแอบหนีเข้ามาอีก บีบจมูกที่แข็งจนเหมือนแครอทของนาง “ถ้าอยากมาก็บอกก่อน ให้เหอมอมอใส่เสื้อผ้าให้เจ้าเสร็จแล้วค่อยมา ประเดี๋ยวจะหนาวกว่านี้อีก อีกยังจะหิมะตกด้วย จากเรือนเล็กฝั่งตะวันตกถึงที่นี่ ถึงแม้จะวิ่งมาก็ต้องใช้เวลาน้ำชาครึ่งถ้วย หนาวแข็งจนป่วยไปจะทำอย่างไรกัน”
ชุยอินหลัวตาสว่างเป็นประกายมองนางต่อไป “หนาวแข็งจนป่วย เจ้าจะไปเยี่ยมข้าทุกวันหรือไม่ นอนเป็นเพื่อนข้าได้หรือไม่ อย่างไรเสียท่านพี่ก็ไม่อยู่บ้าน…”
บนตัวเด็กน้อยตัวอ้วนยังมีกลิ่นนมธรรมชาติที่ยังไม่หายไป ช่างหอมยิ่งนัก อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นความดื้อรั้นและอาลัยอาวรณ์บนใบหน้าของนาง เด็กคนนี้ อย่างไรเสียก็ยังคงจดจำเรื่องนั้นไว้ในใจ ความรู้สึกต่อตนไม่ธรรมดานัก หวั่นไหวไปเล็กน้อย ลูบหัวของนาง “ช่วงนี้เจ้ามานอนกับข้าที่นี่ ดีหรือไม่”
“จริงหรือ” ชุยอินหลัวยิ้มจนตาถูกเบียดเข้าไปในเนื้อ เปิดผ้าห่มออก สวมกางเกงในสี่เหลี่ยมตัวเล็กยืนอยู่บนเตียง พุงน้อยป่องๆ กับสะดือโผล่ออกมาข้างนอก อวิ๋นหว่านชิ่นกดตัวนางลงแล้วทำหน้าดุ นางจึงได้ยอมเอนตัวนอนลง เอาผ้าห่มมาห่อตัวเองจนเหมือนลูกบะจ่าง
ดึงม่านเตียงเรียบร้อย อวิ๋นหว่านชิ่นก็นอนลง ในยามค่ำคืนนั้น ปิดตาลง หลังจากนั้นอยู่นาน รู้สึกว่าความง่วงกล้ำกลายมาสักที ก็ยื่นมือไปดึงผ้าห่มของเด็กน้อย ดูว่าห่มผ้าดีแล้วหรือยัง ไม่คิดว่าเจ้าเด็กอ้วนนั้นยังไม่ได้นอน จู่ๆ ก็พูดขึ้นมา “เจ้าคิดถึงพี่ข้าหรือไม่”
อวิ๋นหว่านชิ่นสะดุ้งตื่น ความง่วงนั้นหายไปในทันที “ใครบอกกัน จากไปเพียงไม่นาน คิดถึงอะไรกันเล่า ไม่ต้องพูดแล้ว นอนได้แล้ว เหอมอมอไม่ได้บอกเจ้าหรือ ว่าเด็กน้อยนอนดึกจะไม่สูง”
“เจ้าโกหกข้า! เจ้าไม่มีลูกเสียหน่อย เจ้าจะรู้ได้อย่างไร!” ชุยอินหลัวพลิกตัว กลิ้งเข้ามาหานางสองสามนิ้ว แอบยื่นแขนอ้วนดั่งปล้องรากบัวออกจากผ้าห่มไปถูหน้าของนาง แล้วโอบเอวของนางไว้ อยากจะกอดนางเข้านอน
“ข้ามีน้องชายคนหนึ่ง เป็นเด็กน้อยเช่นกัน โตกว่าเจ้าไม่มาก” อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกว่าตนมาถกเถียงกับเจ้าเด็กน้อยก็รู้สึกมึนเอือมอยู่บ้าง สลัดมือของนางออก พลิกหันตัวไป เด็กคนนี้ หากบอกว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดกับฉินอ๋องนางก็ไม่เชื่อ ทั้งสองคนล้วนแต่มีนิสัยชอบถึงเนื้อถึงตัวเหมือนกัน นางตัดสินใจว่าจะพูดคุยกับนางต่อไปเช่นนี้ไม่ได้แล้ว มิเช่นนั้นจะทำให้เด็กน้อยคนนี้ยิ่งตื่นตัวเข้าไปใหญ่ จึงกลั้นหายใจ หลับตาแสร้งเป็นหลับ เงียบไปเพียงไม่นาน กลับได้ยินชุยอินหลัวปริปากพูดขึ้นมาเองอีก
“เจ้าอย่ามาโกหกข้าเลย เจ้าต้องคิดถึงท่านพี่ข้าเป็นแน่ เจ้าไม่ได้นอน เจ้าหายใจเสียงเบา แล้วลมหายใจยังยุ่งเหยิงอีก คนที่นอนหลับแล้ว เสียงหายใจต่างก็ดังกันทั้งนั้น เมื่อก่อนตอนข้าคิดถึงเจ้า ก็เป็นเช่นนี้ นอนไม่หลับเลย”
อวิ๋นหว่านชิ่นได้ยินประโยคหน้าแล้วเดิมทียังอยากจะกลอกตาใส่ เจ้าเด็กนี่ช่างพูดได้เป็นฉากๆ เมื่อได้ยินประโยคหลังกลับชะงักไป สักพักใหญ่ จึงจะพยุงตัวลุกขึ้นมา ลูบไล้หน้าอวบอ้วนของนาง แสงเรืองๆ จากเทียนข้างหน้าต่างรับใบหน้า ตากลมวาวของเจ้าเด็กอ้วนนี้น่าสงสารยิ่งนัก อีกยังแฝงความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น
อวิ๋นหว่านชิ่นอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ เป็นไปได้ว่าผ่านไปอีกสักพัก เจ้าเด็กอ้วนก็คงจำไม่ได้แล้วกระมัง ดึงแขนของนางมาเกาะเอวของตน
“เช่นนั้นคราวหลังถ้าท่านพี่อยู่เจ้าก็นอนเป็นเพื่อนเขา ท่านพี่ไม่อยู่ เจ้าก็นอนเป็นเพื่อนข้า ดีหรือไม่” เสียงเด็กน้อยที่ยังคงไม่ตายใจ
อวิ๋นหว่านชิ่นกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ชาติที่แล้วข้าติดค้างอะไรพวกเจ้าหรืออย่างไร ทำไมข้าต้องอยู่เป็นเพื่อนคนพี่เสร็จแล้วยังต้องอยู่เป็นเพื่อนคนน้องต่อ ดึงผ้าห่มอย่างแรง ห่อนางจนแน่น เพียะ! ตบก้นกลมๆ ของนางผ่านผ้าห่ม นางจึงยอมเงียบลงกลืนคำพูดที่มีเข้าไป
…
ในช่วงเวลาระหว่างที่ฉินอ๋องไม่อยู่ จวนอ๋องไม่ได้แตกต่างจากทุกทีมากนัก นอกจากว่าชุยอินหลัวเหมือนได้รับคำบัญชา เดินเชิดหน้าส่ายก้นมาเรือนหลักทุกคืน เช้าวันรุ่งขึ้นเหอมอมอจึงจะมารับกลับไป
แม้แต่วันที่ต้องกลับเรือนฝ่ายหญิงก็ไม่เว้น ฟ้าในฤดูหนาวนั้นสว่างช้า ในยามเช้าฟ้ายังไม่ทันสว่าง ชุยอินหลัวก็ถูกปลุกด้วยเสียงดังเอะอะ นางขยี้ตา อยู่ในผ้าห่มนั้นเห็นว่าอวิ๋นหว่านชิ่นตื่นแล้ว รู้ว่านางจะกลับเรือนแม่ของนาง กล่าวด้วยตาอันง่วงปรือ “ข้าจะไปด้วย”
อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกเสียใจที่ยอมใจอ่อนไปชั่วขณะให้นางมาค้างด้วย ตอนนี้นางเหมือนกับแผ่นแปะยา เหนียวแน่นจนแกะไม่ออก พูดอย่างขอไปที “ไม่มีธรรมเนียมเช่นนี้”
“ธรรมเนียมอะไรกัน น่าชังเสียจริง” ชุยอินหลัวหาวเล็กน้อย กางขาอวบอ้วนสองข้างออก แล้วเริ่มมายุ่งวุ่นวาย
“หากไม่เชื่อฟังอีก คืนนี้จะไม่ให้มาแล้ว” พูดขู่ด้วยคำรุนแรง
ชุยอินหลัวรีบเปลี่ยนเรื่องโดยทันที “เช่นนั้นเจ้าจะกลับมากี่ยามหรือ”
อวิ๋นหว่านชิ่นคะเนสักครู่ “พระชายากลับเรือนตามประเพณีแล้ว อยู่เรือนแม่ตัวไม่เกินเวลาเที่ยง ช้าสุดคงกลับมาตอนกลางวันกระมัง”
ชุยอินหลัวครั้งนี้ประหลาดนัก มิได้ตามตื๊อต่อ กล่าวอย่างเชื่อฟัง “อืมๆ เช่นนั้นเจ้ารีบไปรีบกลับล่ะ”
ให้เหอมอมอพาเจ้าเด็กอ้วนกลับไป นอกจวนนั้นรถม้าและของกำนัลกลับเรือนต่างก็เตรียมพร้อมแล้ว จวนเวลาแล้ว พ่อบ้านเกาก็มายังเรือนหลัก รายงานอยู่นอกห้องว่าออกเดินทางได้ อวิ๋นหว่านชิ่นสวมเสื้อคลุมมีหมวก พาชูซย่า เจินจู และฉิงเสวี่ยสามคนออกจากจวนอ๋อง
ทั้งบ่าวรับใช้และ**บของกำนัลนั้น ทั้งหมดต้องใช้รถสี่ล้อคันใหญ่มาบรรทุก ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ก็วิ่งออกจากเมืองนี้ไป มาถึงทางหลัก เลี้ยวซ้ายอ้อมขวา เข้าไปในตรอก ถึงหน้าประตูจวนอวิ๋น
เพียงเวลาไม่ถึงสิบวัน ป้ายหน้าประตูและประตูด้านหน้าจวนเจ้ากรมคล้ายว่าผ่านการบูรณะซ่อมแซม ดูกว้างขวางหรูหราขึ้นไม่น้อย
อวิ๋นหว่านชิ่นเปิดม่านรถ เงยหน้ามองป้ายหน้าประตูที่ทาสีทองใหม่ อดไม่ได้ที่จะหรี่ตา ตำแหน่งขุนนางเจ้าบ้านมั่นคงขึ้นเรื่อยๆ ก็ต้องขยายหน้าประตูเรือน ดื่มด่ำกับความสุขนี้เป็นธรรมดา
เนื่องจากบุตรสาวจะกลับเรือนในวันนี้ อวิ๋นเสวียนฉั่งจึงได้ลากิจไว้ก่อน ขณะนี้นำคนในเรือนยืนรอที่บันไดแล้ว แม้จะยิ้มอยู่ แต่รอยยิ้มนั้น กลับไม่มีความยินดีที่บุตรสาวกลับเรือนเลยสักนิด แต่กลับจ้องมองรถที่บรรทุกของกำนัลกลับเรือนสองสามคันข้างหลังนั้น
ด้านหลังมีเหลียนเหนียง อนุฟางยืนอยู่ อวิ๋นจิ่นจ้งก็อยู่ ใบหน้าอมชมพูแดงก่ำขึ้น หากมิใช่ฮุ่ยหลานยืนดึงแขนเสื้อเตือนอยู่ด้านข้าง เกรงว่าคงวิ่งมาตั้งนานแล้ว
หวงน้าสี่สามคนแม่ลูกตั้งใจจะกลับไท่โจวนานแล้ว เพียงแต่เพื่อเข้าร่วมพิธีอภิเษกสมรสของอวิ๋นหว่านชิ่น เปิดตาดูโลกภายนอกเสียหน่อย จึงได้อยู่นานเพิ่มอีกสักพัก อวิ๋นหว่านชิ่นออกเรือนไม่กี่วัน ก็จากเมืองหลวงกลับภูมิลำเนาเดิมไป เดิมทีต้องไปพร้อมกับฮูหยินสกุลถง แต่ฮูหยินสกุลถงกลับคำนึงถึงคำพูดมงคลของไต้ซืออู้เต๋อที่กล่าวไว้ว่าเหลียนเหนียงช้าสุดจะตั้งครรภ์ตอนวันตรุษ คิดว่าตอนนี้ใกล้จะถึงวันปีใหม่แล้ว อีกไม่นานก็ถึงวันตรุษแล้ว อยากจะเห็นเหลียนเหนียงตั้งครรภ์กับตาแล้วค่อยไปก็ไม่สาย ลูกหลานบ้านน้องรองเฉยชา ยังคงมีความทุกข์ใจมาตลอด
อวิ๋นเสวียนฉั่งเห็นว่าท่านแม่อยากจะอยู่อีกสักสองเดือน ก็รีบออกปากพูดเองก่อน ตอนนี้จึงเหลือเพียงฮูหยินสกุลถงอยู่บ้านรองในเมืองหลวงเพียงคนเดียว
สงสารเหลียนเหนียง ถูกแม่สามีจ้องท้องตนอยู่ทั้งวัน ตอนแรกยังดี ช่วงนี้เริ่มบ่นขึ้นมา “ทำไมยังไม่มีวี่แววเล่า ไม่ใช่ว่าช้าสุดตอนตรุษหรือ นี่ก็เดือนสองแล้ว!” ทำเอาเหลียนเหนียงจากไม่เครียดก็เริ่มตึงเครียดขึ้นมา ช่วงนี้ยิ่งกินไม่ได้ จิตใจไม่สงบ กลัวว่าคำพูดท่านนักบวชจะไม่แม่นยำ ให้ความหวังลมๆ แล้งๆ กับตน จะถูกอนุฟางและฮุ่ยหลานหัวเราะเยาะเอา พูดถึงก็จริงดังว่า แม้จะรับใช้นายท่านได้ไม่นาน แต่ช่วงนี้ก็ถือว่าบ่อยครั้งอยู่ ทำไมถึงยังไม่มีข่าวคราวอีก เมื่อคิดได้เช่นนี้ เหลียนเหนียงวันนี้ที่ออกมาต้อนรับก็จิตใจล่องลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอยู่บ้าง