ตอนที่ 53 พบกับอุปสรรค

“หือ? เหตุใดข้ายังต้องไปให้ปากคำกับเรื่องนี้อีก?” ซูหวานหว่านรู้สึกงุนงง

แม่นางผู้นั้นสารภาพออกมาตั้งมากมาย เขาไม่ได้ยินหรืออย่างไรกัน

เห็นได้ชัดว่านางผู้นั้นเป็นคนผิด อีกทั้งยังมาอ้อนวอนให้ตนยกโทษให้ เหตุใดพลลาดตระเวนคนนี้ถึงมองไม่เห็นเรื่องที่เกิดขึ้น?

“เรื่องที่เจ้าขู่แม่นางท่านนี้ไงเล่า!” พลลาดตระเวนหรี่ตามองซูหวานหว่าน และดึงเชือกออกมาจากด้านหลังเพื่อมัดข้อมือซูหวานหว่านไว้

สตรีที่ก่อเรื่องพบว่าเรื่องกลายเป็นเช่นนี้ก็ได้แต่คิดว่า นางต่างหากที่เป็นคนข่มขู่! คงจะดีหากตนสามารถยืมเงิน 100 ตำลึงจากซูหวานหว่านเพื่อนำมาให้กับสามีของตนเองทำธุรกิจได้!

พลลาดตระเวนผู้นี้กำลังจะทำลายแผนการประจบประแจงเอาใจซูหวานหว่านของนาง!

หญิงสาวตกใจมากรีบเข้าไปห้ามพลลาดตระเวนและแอบนำเงิน 2 – 3 เหรียญยัดใส่มือของเขาพลางเอ่ยว่า “ท่านจับคนผิดแล้ว! นางเป็นน้องสาวข้ามิใช่คนร้ายแต่อย่างใด คนรับใช้ของข้าเข้าใจผิดไปเอง ท่านกลับไปเถิดเจ้าค่ะ!”

เหตุใดกันที่ทำให้แม่นางพูดเช่นนี้ ซูหวานหว่านมองไปที่นางอย่างสงสัย ทว่าผู้หญิงคนนั้นกลับส่งยิ้มให้นางแทน

“ที่นี่ไม่มีเรื่องอันใดแล้วสินะ”

เดิมทีพลลาดตระเวนรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย แต่เมื่อได้รับเงินมาเขาก็วางแผนที่จะกลับไปที่ของตัวเองทันที

พลลาดตระเวนจึงรีบดึงเชือกกลับมา แต่ซูหวานหว่านกลับพูดออกมาว่า “ช้าก่อน ข้าขอถามอะไรท่านประเดี๋ยว หากมีใครมาพูดจาใส่ร้ายชื่อเสียงของคนอื่นให้เสีย ๆ หาย ๆ แล้วไปร้องเรียนต่อพลลาดตระเวน คนผู้นั้นจะโดนข้อหาใดบ้าง มีโทษอย่างไร? พวกท่านมีวิธีการจัดการกับปัญหานี้อย่างไร?”

เขาหยุดครุ่นคิดไปชั่วครู่ พลันใดก็รู้ความจริงว่าแท้จริงแล้วหญิงสาวที่แต่งตัวดูดีผู้นั้นเป็นคนใส่ร้ายนางนั่นเอง!

เขาไม่ต้องการทำให้หญิงสาวทั้งสองขุ่นเคืองไปกันมากกว่านี้ จึงรีบโบกมือลา “แม่นางวันนี้ข้าต้องไปตรวจตราที่อื่น พวกเราค่อยมาพูดเรื่องนี้คราวหน้าแล้วกัน”

เช่นนี้ก็ได้หรือ?

ท่าทางของอีกฝ่าย ทำให้ซูหวานหว่านแทบจะไม่ได้ตอบกลับหรือรับคำอะไรเลย

เมื่อนั้นซูหวานหว่านก็ได้เห็นถึงความสำคัญของอำนาจเงิน นางจึงค่อย ๆ หยิบเงิน 800 ตำลึงที่ชายหนุ่มชุดขาวให้นางออกมาเผยหน้าทุกคน

ไหนสาวยากจน!

นี่มันเศรษฐีชัด ๆ!

เมื่อเห็นท่าทีตกใจของพลลาดตระเวน หญิงสาวในชุดดูดีผู้นั้นก็เกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นมาภายในใจ

ปรากฏว่านางไม่ใช่คนเดียวที่เข้าใจผิด!

แม้แต่คนอื่นเองก็เข้าใจผิด!

“แม่นาง เจ้าอยากให้ข้าช่วยเหลืออะไรงั้นหรือ?” พลลาดตระเวนรีบพูดขึ้นมา

“ไม่มีเหตุใดหรอก” ซูหวานหว่านมองไปยังพลลาดตระเวนด้วยแววตาเฉยเมย ดวงตาของนางแจ่มใสทว่าแฝงไปด้วยความเยือกเย็น เด็กสาวกำลังจะเดินหันหลังกลับออกไปทว่าพลลาดตระเวนก็พยายามขยับเข้าไปใกล้

“คุณหนู ท่านอย่ารีรอที่จะพูดออกมาเลย หากมีอะไรให้ข้าช่วยรีบพูดออกมาเถิด ข้าช่วยท่านได้อย่างแน่นอนขอรับ”

เฮ้อ! ดูเหมือนคำเรียกขานก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ‘คุณหนู’ เพียงมีเงินทุกอย่างก็เปลี่ยนไปในทันที!

ซูหวานหว่านเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “งั้นท่านก็ตอบคำถามของข้าที่ถามเมื่อครู่มา”

“คือว่า…” พลลาดตระเวนเกิดความกังวล

หญิงสาวผู้นั้นก็เช่นกัน นางรีบพูดจาอ้อนวอนออกมา “แม่นางซู! อภัยให้ข้าด้วย! ข้าไม่ได้ตั้งใจที่จะพูดจาใส่ร้ายทำลายชื่อเสียงของท่านเลย!”

“…”

ซูหวานหว่านชะงักไปและเอ่ยกับสุนัขที่ประจบสอพลอนางว่า “ช่างมันเถอะ”

เมื่อเป็นเช่นนี้ชายหนุ่มชุดขาวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็ผุดรอยยิ้มที่มุมปากออกมา เพราะเขามองซูหวานหว่านไม่ผิดไปเลยจริง ๆ นางไม่ใช่คนธรรมดา นางสามารถอดทนอดกลั้นต่อคำดูถูกได้

เมื่อซูหวานหว่านเดินออกจากร้านไป ผู้คนภายในร้านหยู่เซิงเยียนต่างพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่

พวกผู้หญิงชาวบ้านต่างพูดคุยกันอย่างสนุกสนานเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น พวกเขารู้สึกมีความสุขมากที่พวกเขาไม่ใช่คนที่ไปพูดจาดูถูกซูหวานหว่าน

จากนั้นชาวบ้านเริ่มถามว่าซูหวานหว่านเป็นลูกเต้าเหล่าใคร มาจากตระกูลใด เพราะพวกนางจะได้หาผู้ชายดี ๆ ในครอบครัวไปสู่ขอซูหวานหว่าน

ซูหวานหว่านเดินออกจากจุดเดิมมาครู่ใหญ่ แต่หัวหน้าพลลาดตระเวนผู้นั้นยังคงเดินตามนางมาไม่ห่าง ส่งผลให้พวกลูกน้องเดินตามเช่นเดียวกัน ทำให้ซูหวานหว่านรู้สึกราวกับตนเองเป็นลูกพี่ใหญ่

“คุณหนู! ท่านกำลังจะไปที่ร้านตั๋วแลกเงินใช่หรือไม่? หากข้าขออาสานำทางท่านจะว่าอย่างไรขอรับ?” พลลาดตระเวนกล่าวพร้อมรอยยิ้มประจบสอพลอ

“ย่อมได้” ซูหวานหว่านตกปากรับคำ อย่างไรก็ตามคนเหล่านี้กระตือรือร้นเสนอตัวมาเอง นางจึงได้ใช้ประโยชน์จากมันทันที ทำให้หัวใจของนางรู้สึกเบิกบาน

มีคนพาไปร้านตั๋วแลกเงินก็ดีเช่นกัน ในที่สุดซูหวานหว่านก็มาถึงร้านแลกตั๋วเงินในเวลาไม่นาน

พลลาดตระเวนรีบเคาะไปที่หน้าต่างบานเล็ก ๆ และตะโกนถามว่า “มีใครอยู่บ้าง? เราต้องการฝากเงิน”

พลลาดตระเวนคนนั้นแทบรอไม่ไหว เข้ามาช่วยดูแลซูหวานหว่านอย่างดีทุกอย่าง จนนางแอบเยาะเย้ยอยู่ภายในใจ…ช่างเป็นสุนัขรับใช้ที่ดีจริง ๆ

หน้าต่างบานเล็ก ๆ ถูกเปิดออกโดยตาเฒ่าหนวดขาวพร้อมกับยื่นมือออกมา เขารู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นซูหวานหว่านจึงพูดออกมาว่า “แม่นาง เจ้ามาที่นี่เพื่อมาขายของให้กับตาเฒ่าฮวงอีกแล้วหรือ?”

“ไม่ใช่” ซูหวานหว่านพูดขึ้นพร้อมกับส่ายหัวไปมาและยื่นเงิน 800 ตำลึงให้เขาดู “ข้าต้องการฝากเงินเอาไว้จำนวน 750 ตำลึง และส่วนที่เหลือข้าขอแลกเป็นเหรียญทองแดง”

“ได้สิ” ตาเฒ่าหนวดขาวตอบรับอย่างรวดเร็ว พอแลกเงินออกมาแล้วนางก็ได้กล่องใส่เงินที่มีขนาดใหญ่มา มันต้องหนักมากแน่ ๆ จึงเกิดความลังเลว่าจะแอบเอาไปใส่เข้าไปในมิติฟาร์มอย่างไรดี

แต่แล้วพลลาดตระเวนคนนั้นก็เดินตามมาอย่างรวดเร็วและพูดอย่างขยันขันแข็งว่า “คุณหนูซู! ข้าจะช่วยถือมันให้ท่านเอง ท่านไม่ต้องเหนื่อยออกแรงขยับอะไรทั้งสิ้น และไม่ต้องห่วง ข้าไม่แอบเอาของอะไรข้างในไปแน่นอน!”

ซูหวานหว่านพยักหน้า แต่พลลาดตระเวนเพียงคนเดียวไม่สามารถยกกล่องขึ้นมาได้ จึงต้องใช้ถึงสองคนจึงยกขึ้น

ในกล่องนี้มีเหรียญทองแดงถึง 50 เหรียญเลยทีเดียว!

ซูหวานหว่านสั่งให้เจ้าหน้าที่พวกนั้นช่วยนางยกกล่องไปที่เกวียนวัวของลุงหลี่ที่จอดรอนางมาเป็นเวลานาน เมื่อได้นำเงินไปไว้เกวียนวัวเสร็จ พลลาดตระเวนทุกคนต่างจ้องมองหน้ากันไปมา ราวกับไม่รู้ว่าควรทำเช่นใดต่อไป

หัวหน้าพลลาดตระเวนคิดได้จึงรีบพูดกับซูหวานหว่านว่า “คุณหนูซูขอรับ พวกเราจะส่งคนติดตามท่านกลับไปด้วย เพื่อไปปกป้องท่านให้ไปถึงบ้านอย่างปลอดภัย”

“ตกลง” เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ตอนนั้นที่นางถูกพวกอันธพาลดักจับตัว ซูหวานหว่านเลยตกปากรับคำไป จากนั้นนางก็ใช้ผ้าคลุมกล่องเอาไว้

นางอาศัยช่วงเวลาที่ไม่มีใครเห็นแอบนำเงินออกจากกล่องอย่างเงียบ ๆ ย้ายมันเข้าไปที่มิติฟาร์ม พลางมองหาหินเพื่อใส่เอาไว้แทนโดยที่ไม่มีใครได้ทันสังเกตเห็น

จากนั้นนางก็หยิบซาลาเปาที่ซื้อเอาไว้ 2 – 3 ลูกมาแจกจ่ายให้กับพลลาดตระเวนที่ติดตามนางมา เพื่อให้พวกเขาได้กินในระหว่างทาง

พลลาดตระเวน 2 – 3 คนถึงกับตกตะลึงทันทีและรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมาก แต่พวกเขากลับมีความสงสัยอยู่ภายในหัวใจเล็กน้อย

แท้จริงแล้วนางเป็นถึงเศรษฐี เหตุใดถึงให้เพียงซาลาเปาแก่พวกเขาอย่างเดียว!

ซูหวานหว่านไม่รู้ถึงความหมายที่ต้องการสื่อของเหล่าพลลาดตระเวน และอีกอย่างมันก็ไม่ได้สำคัญอะไร

เกวียนวัวได้เดินทางออกมาจากในเมืองเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามแล้ว เกวียนยังคงเคลื่อนตัวเดินไปตามถนนอย่างเรื่อย ๆ ในระหว่างการเดินทางกลับหมู่บ้านก็ไม่มีอุปสรรคหรือพบโจรป่าแต่อย่างใด แต่พอมาถึงหมู่บ้านซูหวานหว่านก็ได้พูดออกมาว่า “พวกเจ้ากลับไปเถอะ วันนี้ต้องขอบคุณมาก”

พลลาดตระเวนทุกคนต่างพยักหน้ารับ หัวหน้าพวกเขาก็กล่าวออกมาอย่างรวดเร็วว่า “คุณหนูซู หากต่อไปถ้าท่านต้องการขอความช่วยเหลืออะไรก็สามารถไปหาพวกข้าได้เลย ข้ามีชื่อว่า ไป๋หยวนซู สามารถเรียกข้าว่าเสี่ยวไป๋ได้เลย!”

เสี่ยวไป๋ นั่นมันเป็นชื่อเรียกที่ผู้ใหญ่ใช้เรียก!

นางอายุน้อยกว่าเขามาก! การที่นางจะเรียกเขาว่าเสี่ยวไป๋เช่นนั้นจะดูเป็นการไม่สุภาพไปหรือเปล่า?

ซูหวานหว่านได้แต่ยิ้มและพยักหน้าให้ จากนั้นนางให้รางวัลแก่พลลาดตระเวนพวกนั้นไปคนละเหรียญทองแดงเป็นการตอบแทน

หลังจากที่พลลาดตระเวนเดินออกไปเพียงไม่กี่ก้าว เกวียนวัวก็ยังไม่ทันได้เคลื่อนตัว ทันใดนั้นก็มีหญิงคนหนึ่งวิ่งเข้ามาด้วยท่าทางเหนื่อยหอบ “ซูหวานหว่าน! รีบกลับบ้านเร็ว! บ้านของเจ้าและที่อยู่อาศัยของแม่เฒ่าเจียงกำลังถูกรื้อถอน!”

เกิดอะไรขึ้น?

ใครมารื้อบ้านของนางกัน!

ซูหวานหว่านรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก รีบกระโดดลงจากเกวียนวัวและรีบวิ่งกลับบ้าน พวกพลลาดตระเวนหยุดเดิน และวิ่งตามซูหวานหว่านไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อมาถึงที่หน้าประตูบ้าน ซูหวานหว่านก็เห็นแม่เฒ่าเจียงกับแม่เจิ้นกำลังร้องไห้ออกมาด้วยความปวดใจ ส่วนซูต้าเฉียงพยายามเจรจากับคนอื่น ๆ ถึงแม้ว่านางจะไม่ได้ยินเสียงชัดเจน ทว่าซูหวานหว่านก็พอจะเดาสถานการณ์ตรงหน้านี้ออกว่ามันกำลังเกิดอะไรขึ้น

รอบ ๆ บ้านมีชายฉกรรจ์จำนวน 20 คน กำลังทุบกำแพงบ้านด้วยค้อน

ซูหวานหว่านอยากจะเข้าไปห้าม แต่นางก็นึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้ ในตอนนี้มีคนมาทุบรื้อถอนบ้านให้นางแล้ว มันคงจะง่ายขึ้นต่อการเก็บกวาดและสร้างบ้านหลังใหม่ขึ้นมาเลย

“ท่านพ่อ! ข้ากลับมาแล้ว! อย่าเข้าไปห้ามเลย” ซูหวานหว่านดึงซูต้าเฉียงออกมา เขาจึงพูดออกมาอย่างรำคาญว่า “พวกเขากำลังรื้อบ้านของพวกเราอยู่ ต่อไปพวกเราจะไปอยู่ที่ไหน!”

อยู่ที่ไหน? ก็ไปอาศัยเช่าห้องกับครอบครัวในหมู่บ้านที่เปิดให้เช่าห้องว่างอยู่ไปก่อนสิ

รอให้สร้างบ้านเสร็จค่อยกลับมาอยู่บ้านเก่า

ซูหวานหว่านจึงรีบพูดคุยกับซูต้าเฉียงเกี่ยวกับแผนการในหัวของตน และนางก็ได้ชี้ไปที่คนเหล่านั้นพร้อมกับพูดว่า “ท่านพ่อ ตอนนี้เรามีแรงงานมาช่วยรื้อบ้านถึง 20 คน! เหตุใดถึงไม่ให้พวกเขารื้อไปเสีย? หากพวกเราไม่รื้อถอนมันเสียตอนนี้ ตอนที่เราจะสร้างบ้านหลังใหม่ก็ต้องจ้างคนมารื้อมันออกอยู่ดี!”