ตอนที่ 54 ตัวตลก

เหตุใดเขาถึงไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้!

ซูต้าเฉียงเดินนำซูหวานหว่านไปยังประตูหน้าบ้าน จากนั้นเริ่มพูดเกลี้ยกล่อมแม่เจิ้นให้คลายเศร้า

ซูหวานหว่านหยิบถุงผ้าของตนเองออกมา เอื้อมมือเข้าไปหยิบของในกล่องมิติฟาร์ม หยิบเอาเมล็ดแตงโมแห้งมาแจกจ่ายแก่คนในครอบครัว

ทุกคนเริ่มลืมเลือนความเศร้า แทะกินเมล็ดแตงโมกันอย่างมีความสุข แม่เฒ่าเจียงนางผ่านโลกมาเยอะรู้เรื่องราวเหล่านี้ดี จึงพูดถึงวิธีการสร้างบ้านใหม่อย่างไรให้สะดวกสบายที่สุด ซูต้าเฉียงนั่งฟังอย่างตั้งใจ จากนั้นเขาออกไปซื้อไม้มาเพื่อสร้างบ้านใหม่ทันที

พลลาดตระเวนเพิ่งวิ่งตามมาถึงบ้านของซูหวานหว่าน พบว่าทุกคนอยู่ในความสงบ ต่างจากคนที่ที่วิ่งกระหืดกระหอบมาส่งข่าวเรื่องราวที่เกิดขึ้น ดูเหมือนพวกเขากำลังนั่งเฝ้าดูบ้านของตนที่กำลังถูกรื้อถอนโดยไร้ความรู้สึกใด ๆ

เมื่อเห็นพวกเขาเดินเข้ามา ซูหวานหว่านจึงเรียกพวกเขามารวมตัวกันกระซิบเบา ๆ ว่า “บ้านของข้ากำลังจะถูกรื้อ อีกทั้งพวกข้าก็ไม่ได้รู้จักคนเหล่านี้ อีกครู่หนึ่งพวกเจ้าช่วยลงโทษพวกเขาได้หรือไม่”

ท่าทางดีใจของนางมันเหมือนกับคนกำลังถูกรื้อบ้านอย่างนั้นหรือ?

พลลาดตระเวนเกาหัวตัวเองด้วยความสงสัย ถึงแม้ว่าจะไม่เข้าใจ แต่พวกเขาก็พยักหน้าตอบรับ หลังจากนั้นซูหวานว่านก็จัดแจงหาที่นั่งพักให้พวกเขา เพื่อไม่ให้ผู้ใดพบเจอ พวกพลลาดตระเวนจึงไปหาที่นั่งพักไกล ๆ แล้วหลังจากนั้นประมาณหนึ่งก้านธูปค่อยเดินกลับเข้ามาใหม่

“พี่ใหญ่ เหตุใดพวกเขาจึงไม่ตะโกนห้ามกันล่ะ?” เหล่าชายฉกรรจ์รู้สึกแปลกใจที่ไม่เห็นพวกเขาเอ่ยห้าม

“เอ่อ…” ชายถูกเรียกว่าพี่ใหญ่ก็หยุดครุ่นคิด เขาก็ไม่รู้เหมือนกันเพราะเหตุใด หลังจากยกค้อนขึ้นมาทุบกำแพงบ้านต่อจึงพูดขึ้นว่า “รีบทำงานให้เสร็จเสีย! พวกเจ้าคิดว่าผู้เฒ่าหลี่จ่ายเงินค่าจ้างมาให้เจ้ามัวยืนเล่นอยู่หรืออย่างไร รีบทำให้เสร็จจะได้กลับไปรับเงินค่าจ้าง!”

หูของซูหวานหว่านได้ยินคำว่า ‘หลี่’ พลันใดก็นึกถึงอดีตผู้ดูแลหลี่ของร้านอาหารเจวียเซ่อขึ้นมา วันนั้นนางได้ทำให้ลูกสาวของเขา ‘หลี่เหลียนเอ๋อร์’ อับอายขายขี้หน้า

จากนั้นก็คิดออกแล้วว่าใครกันที่เป็นคนส่งคนมาลอบฆ่านางเมื่อคราวก่อน ดูเหมือนว่าครั้งนี้จะถูกคนจากที่ใดก็ไม่รู้เข้ามารื้อถอนบ้านของนาง แน่นอนว่ามันเป็นฝีมือของผู้ดูแลหลี่คนนั้นแน่ ๆ

ทว่าผู้ดูแลหลี่คงจะยังไม่รู้ การที่เขาได้ใช้คนมาทุบบ้านนางอยู่ ณ ขณะนี้ มันคือการช่วยเหลือครั้งยิ่งใหญ่!

ซูหวานหว่านถึงกับยิ้ม หยิบถังน้ำออกมาพลางพูดตะโกนออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “พวกพี่ ๆ มาดื่มน้ำแก้กระหายกันก่อนเถอะ! พักดื่มน้ำก่อนแล้วค่อยทำงานต่อ! ถ้าจะให้ดีพวกท่านควรทุบให้เสร็จหมดภายในหนึ่งเค่อ[1]”

“…”

นางกำลังกระตุ้นให้พวกเขารื้อบ้านตัวเองอยู่ใช่หรือไม่?

สมองของนางมีปัญหาไปแล้วหรืออย่างไรกัน?

คนพวกนั้นต่างมองซูหวานหว่านด้วยสีหน้างุนงง และคิดว่าผู้ดูแลหลี่ขอให้พวกเขามาแก้แค้นกับคนที่มีสติปัญญาไม่ดี!

“ดื่มหรือไม่?” ซูหวานหว่านเห็นว่าทุกคนกำลังเมินตัวเอง นางจึงยกน้ำไปให้กับทุกคน หลังจากที่ดื่มน้ำไปแล้ว ทุกคนก็เร่งมือทำงานอย่างขยันขันแข็ง แต่ความสงสัยใจของพวกเขาก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น

พลันใดนั้นมีก็มีคนพูดออกมาว่า “พวกเจ้าว่าจะมีอะไรอยู่ในน้ำหรือเปล่า? ทำไมนางถึงได้ใจดีเพียงนี้ หรือว่านางจะวางยาพิษพวกเรา?”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น คนที่เพิ่งดื่มน้ำก็พากันบีบคอตบไปที่ท้องตนอย่างแรง จนในที่สุดก็อ้วกเอาน้ำที่ดื่มเข้าไปออกมา

พวกเขาต่างหันไปจ้องที่ซูหวานหว่านแล้วพูดออกมาพร้อมกันว่า “เจ้าอย่าทำพวกเราเลย!”

ซูหวานหว่านยังคงยิ้มและพูดออกมาว่า “ข้าจะทำอะไรพวกท่านได้ น้ำนี้ถูกตักมาจากบ่อน้ำในสวน พวกท่านเห็นกันแล้ว ทำไมข้าจะต้องวางยาพิษพวกท่านด้วย? อีกทั้งยังมีหลายสายตาที่มองกันมา หากข้าวางยาพิษพวกท่าน น้ำมันต้องดื่มไม่ได้แล้ว ทำไมข้าถึงยังดื่มมันอยู่?”

ทุกคนต่างคิดตามคำพูดของซูหวานหว่าน ส่วนคนที่อาเจียนออกมารู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก พวกเขาโยนท่อนไม้ออกจากบ้านด้วยความโกรธ พร้อมกับยืนอยู่หน้ากำแพง เสียการควบคุมตัวเองไปชั่วขณะ

ซูหวานหว่านเดินมาพร้อมรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนหน้า นางแอบโยนตะปูทิ้งไว้ 2 – 3 ตัวโดยไม่มีใครสังเกต เมื่อนางเดินออกมาได้ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงคนกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด จึงพลันรู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย

แท้จริงแล้วนางไม่ได้ใส่ยาพิษอะไรลงไปในน้ำ นางเพียงทำให้พวกนั้นรู้สึกกลัว อีกทั้งยังคงต้องการคนเหล่านี้รื้อบ้านให้ และเมื่อถึงเวลาพวกเขาทำเสร็จประเดี๋ยวพวกเขาก็ต้องกลับไป และตอนนั้นพวกพลลาดตระเวนคงเข้ามาทำหน้าที่ของตนเอง จับกุมคนพวกนี้ไปทันที

ทว่าเมื่อคิดอีกทีหนึ่ง ด้วยความต่างของจำนวนคนพวกนี้กับกำลังพลลาดตระเวน ซูหวานหว่านจึงคิดว่าต้องระวังเรื่องนี้เป็นอย่างดี และเช่นนั้นแล้ว… คงต้องให้คนเหล่านี้กินยาพิษก่อน เพื่อที่พวกเขาจะได้หนีไปไหนไม่พ้น!!

ใครกันที่เป็นคนสั่งให้คนพวกนี้มาทำแบบนี้ นางต้องแก้แค้นอย่างแน่นอน

เมื่อเห็นถึงความช่วยเหลืออย่างขยันขันแข็ง ซูหวานหว่านก็ได้ปรึกษากับแม่เจิ้นและแม่เฒ่าเจียง หลังจากหารือกันเป็นเรียบร้อย พวกนางได้นำผักออกมาล้าง จากนั้นก็มองหาลู่ทางวิธียืมข้าวมาเล็กน้อยเพื่อนำมาปรุงทำโจ๊กหม้อใหญ่ เมื่อโจ๊กสุกดีแล้วซูหวานหว่านจึงเดินเข้าไปพร้อมกับพูดว่า “พวกพี่ ๆ ทั้งหลาย ในเมื่อพวกท่านรื้อบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว มากินข้าวกันก่อนเถิด! อาหารพร้อมแล้ว! ไม่ต้องเกรงใจหรอก มากินข้าวกันก่อน!”

ว่าอย่างไรนะ? คนพวกนั้นตกตะลึง

หาน้ำให้ดื่มก็ถือว่ามากพอแล้ว แต่ทำอาหารให้กินงั้นหรือ?

ทำเหมือนประหนึ่งว่า… พวกเขามาทำงานที่บ้านนางก็ไม่ปาน!

“ไม่ต้องหรอก” จู่ ๆ ผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหน้าพูดออกมา ก่อนจะผงะไปพวกเขาไม่จำเป็นต้องสุภาพต่อตระกูลซู

แต่ซูหวานหว่านก็พูดขึ้นมาอีกครั้งว่า “โจ๊กใส่เครื่องไปเยอะมาก! ข้ายังใส่เนื้อไปถึงครึ่งชามอีกด้วย! มากินกันก่อนเถิด”

ใส่เนื้องั้นหรือ?

ชายคนนั้นถึงกลับลอบกลืนน้ำลาย แต่ก่อนจะได้ตอบออกไป พี่ใหญ่สุดในกลุ่มก็เดินเข้ามาชกที่หน้าของชายคนนั้นพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ใครสั่งให้เจ้ากิน! เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกนางจะใส่อะไรลงไปในโจ๊กบ้าง?”

ในขณะที่กำลังสงสัยว่าซูหวานหว่านจะวางยาพิษพวกเขา จู่ ๆ พวกเขาก็เห็นซูเสี่ยวเหยี่ยนเดินมา พร้อมกับหอบกองผักที่เก็บมาจากในป่าเข้า เมื่อนางเห็นโจ๊กก็ตักมันขึ้นมาชามนึงและกินมันเข้าไป

แน่นอนว่าหลักฐานมันชัดเจนอยู่แล้วว่าไม่มียาพิษในโจ๊ก!

เพราะหากมีนางคงห้ามคนในครอบครัวกินโจ๊กหม้อนี้ไปแล้ว!

พวกเขาลอบมองหน้ากันไปมาอย่างควบคุมตนเองไม่ได้ ชายที่อ้างตัวว่าเป็นพี่ใหญ่จึงรีบตะโกนออมาว่า “ไปเอามาทั้งหมดเลย!”

จะไม่กินโจ๊กได้อย่างไรกัน!

พวกลูกน้องของชายผู้นั้นรู้สึกโกรธขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังเชื่อฟังคำพูดและเตรียมตัวเดินออกไปจากบ้าน ทว่าจู่ ๆ ก็มีพลลาดตระเวนวิ่งมาเข้าขวางพวกเขาเอาไว้ “พวกเจ้าได้ถูกจับข้อหาบุกเข้ามาทำลายรื้อถอนทรัพย์สินบ้านของผู้อื่นโดยไม่ได้ความยินยอมจากผู้เป็นเจ้าบ้าน พวกเจ้าจงไปกับพวกข้า”

“!”

ชายฉกรรจ์อยู่ในอาการตกใจ พลลาดตระเวนมาที่นี่ตั้งแต่เมื่อใด? ไหนผู้ดูแลหลี่กล่าวว่าพวกพลลาดตระเวนจะไม่มายังหมู่บ้านเล็ก ๆ เช่นนี้ไม่ใช่หรือ?

จบแล้ว จบเห่แล้ว

พวกเขาควรทำอย่างไรดี?

จะหนีไปได้หรือไม่?

พลลาดตระเวนคนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปจับชายที่อ้างตนว่าเป็นพี่ใหญ่ อีกทั้งยังใช้ดาบจ่อไปที่คอของเขาและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย “หากอยากให้เขารับโทษแทนพวกเจ้า ก็รีบหนีไปตอนนี้เสีย”

บรรดาลูกน้องที่กำลังเตรียมหลบหนีต่างก็ต้องหยุดชะงักมองสถานการณ์ตรงหน้าด้วยความมึนงง แล้วพากันเดินกลับมาอย่างไม่เต็มใจ

ชายที่เป็นพี่ใหญ่พยายามหันหน้าหนีความคมที่จ่ออยู่ตรงคอ จากนั้นก็เสแสร้งว่าตนเป็นผู้เสียสละ “พี่น้องทุกคน! รีบหนีไปซะ! ทิ้งข้าไว้! ไม่ต้องสนใจข้า! หากพวกเจ้ารอดไปได้พวกเจ้าอย่าลืมส่งคนมาฆ่าพวกเขาทั้งหมด เพื่อเป็นการล้างแค้นให้แก่ข้า!”

เขาคิดว่าหากพี่น้องของเขาได้ยินประโยคเช่นนี้ พวกเขาคงจะต้องตกตะลึงและซึ้งใจ ทว่าคนเหล่านั้นกลับไม่ได้รู้สึกอะไร ทุกคนต่างพยักหน้าและเตรียมเดินถอยหนี อีกทั้งยังไม่มีแม้น้ำตาสักหยดไหลออกมา “พี่ใหญ่! ท่าน ท่านยอดเยี่ยมมากจริง ๆ! พวกข้าสัญญาว่าจะกลับมาแก้แค้นให้กับท่านอย่างแน่นอน หวังว่าในชาติหน้าท่านจะมาเป็นพี่ใหญ่ของพวกข้าอีก!”

“…”

เจ้าพวกนี้! หากชาติหน้ามีอยู่จริงเขาอาจจะไม่ยอมรับคนเหล่านี้เป็นพี่น้องอีก!

[1]การนับเวลา 1 เค่อ เทียบเท่ากับ 15 นาทีโดยประมาณ