ตอนที่ 55 วางแผน

หรือว่าเขาต้องหาทางเอาตัวรอดด้วยตัวเอง?

คนที่เรียกตนเองว่าเป็นพี่ใหญ่ตกตะลึง เขาขยี้ตาตัวเอง มองไปยังพวกพ้องที่เรียกตัวเองว่าพี่น้อง ก่อนจะหันไปมองพลลาดตระเวนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ และพบว่าจำนวนของพวกเขามีน้อยกว่า

ถึงจะเป็นแบบนั้น แต่ครั้งนี้ เหล่าพวกพ้องก็ทำให้เขาผิดหวังอีกครั้ง “พี่ใหญ่! ตาของท่านเป็นอะไรอย่างงั้นหรือ? ตาของท่านกำลังจะบอดเหรอ? แต่ท่านไม่ต้องกลัวไป อีกไม่กี่วันพวกข้าจะกลับมาล้างแค้นให้ท่านเอง!”

“หึ”

ซูหวานหว่านแสยะยิ้มหัวเราะให้แก่ความโง่เขลาของคนเหล่านั้น มองดูคนที่วิ่งหนีไปโดยที่ไม่คิดจะหันกลับมามองข้างหลังแม้แต่น้อย ขณะเดียวกันนางได้แอบนับเลขอยู่ในใจ

หากนางจำไม่ผิดตอนนี้ยาน่าจะเริ่มออกฤทธิ์แล้ว นางพึมพำนับเลขอยู่ภายในใจ ‘สาม สอง หนึ่ง!’

เมื่อนับครบตามที่คาด พวกที่กำลังวิ่งหนีกันอยู่ก็ดูเหมือนจะหมดไร้เรี่ยวแรงลงฉับพลัน ร่างกายของพวกเขาคนอ่อนแรงราวกับคนไร้กระดูก

หากคนทั่วไปมองมา คงคิดว่าคนเหล่านี้ต้องสะดุดบางอย่างล้มลง แล้วพอร่างกายสัมผัสกับพื้น พวกเขาต่างร้องครวญครางออกมาด้วยความเจ็บปวด

พลลาดตระเวนยืนมองเหตุการณ์ตรงหน้าว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เวลาเดียวกันร่างของพี่ใหญ่ได้ล้มลงอย่างไม่อาจควบคุม และบังเอิญล้มแล้วคอไปโดนคมดาบในมือของพลลาดตระเวน เลือดสาดกระเซ็นออกมา

ดูเหมือนว่าชายคนนี้จะเป็นคนโง่เขลาที่ทำให้ตัวเองตายด้วยน้ำมือของตนเอง!

นางเคยคิดว่าทักษะของคนเหล่านี้คงจะพอมีบ้าง แต่เมื่อเห็นแบบนี้… ก็นับว่าสมแล้วแหละ!

ซูหวานหว่านกลอกตาพลางเอ่ยแผ่วเบา ๆ “จะเลือกลูกพี่ทั้งที ควรเลือกอย่างรอบคอบ”

ซูต้าเฉียงช่วยพลลาดตระเวนย้ายศพของชายผู้นั้น ส่วนพวกที่เหลือก็วิ่งไปหยุดที่ด้านหลังของซูหวานหว่านราวกับว่านางเป็นพี่ใหญ่ของตน ทำให้คนพบเห็นรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา

“เจ้าให้พวกเขากินอะไรกันแน่…” บุคคลหนึ่งเอ่ยถามออกมา น้ำเสียงของเขาแผ่วเบาราวเสียงกระซิบ แม้แต่คนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็อาจจะไม่ได้ยิน แล้วนางที่ยืนอยู่ตั้งไกลจะได้ยินเสียงของเขาได้อย่างไร!

แต่เนื่องด้วยซูหวานหว่านมีพลังวิเศษ ทำให้นางได้ยินเสียงของเขาได้อย่างชัดเจน เด็กสาวขยับเข้าไปใกล้เจ้าของคำถาม ส่งเสียงหัวเราะทุ้มต่ำ “เจ้ากินอะไรเข้าไปเจ้ายังไม่รู้เลย เมื่อความตายคืบคลานเข้ามาใกล้เจ้ายังไม่สังเกตถึงมันด้วยซ้ำ”

นับตั้งแต่ก้าวเท้าข้ามธรณีประตูบ้านของซูหวานหว่าน พวกเขาต้องรับรู้ถึงผลที่จะตามมา ทั้งเข้ามาและถอนทำลายบ้านของนาง อีกทั้งยังกล้าดื่มและกินอาหารของผู้อื่นอย่างเย่อหยิ่ง คนเช่นนี้ช่างเห็นแก่ได้นัก!

“จะ… เจ้า…!” หนึ่งในชายฉกรรก์อยากด่าทอหญิงสาว แต่พลันรู้สึกว่าร่างกายตัวเองกำลังหมดเรี่ยวแรง เขาเอ่ยแต่ละคำออกด้วยความยากลำบาก และเริ่มหอบหายใจอย่างทรมาน

“…ช่างน่าเสียดาย พวกเจ้ามีร่างกายแข็งแกร่งแท้ ๆ แต่หัวสมองกลับเต็มไปด้วยขี้เลื่อย หากจะให้ข้าเดา พวกเจ้าคงถูกเลี้ยงดูมาด้วยมูลสัตว์แน่ ๆ” เด็กสาวพูดพลางแสยะยิ้ม และเอ่ยถามต่ออย่างจริงจัง “ใครเป็นคนส่งพวกเจ้ามาที่นี่?”

“เฮอะ!” คนเหล่านั้นสูดหายใจอย่างเย็นชา แต่ไม่ยอมปริปากเอ่ยคำใด

“ เอ๊ะ! หรือว่าจะเป็นผู้ดูแลหลี่?” ซูหวานหว่านยิ้มราวกับว่าได้ยินใครบางคนเอ่ยออกมา สีหน้าของพวกเขาพลันซีดเผือดไร้เลือกฝาด ทั้งยังสายหัวปฏิเสธ “ไม่ใช่เขา! ไม่ใช่! จะเป็นเขาได้อย่างไรกัน!”

หากผู้ใดปฏิเสธออกมามากกว่าสามครั้ง แน่นอนว่าสิ่งนั้นมีแนวโน้มว่าร้อยทั้งร้อยจะเป็นเรื่องจริง

ซูหวานหว่านเคยเดาไว้ว่าครั้งนี้จะต้องเป็นฝีมือของผู้ดูแลหลี่ และนางเพียงแค่ต้องการตรวจสอบให้แน่ใจ เด็กสาวมองไปยังชายคนหนึ่งที่กำลังส่ายหัวไปมา และเอ่ยด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “ข้ารู้แล้ว ช่วยบอกที่อยู่ของผู้ดูแลหลี่ให้ข้าทีเถอะ”

นางมั่นใจได้อย่างไรว่าเป็นฝีมือของผู้ดูแลหลี่? เพราะคนเหล่านั้นพากันยิ้มด้วยความขมขื่น และตอนนี้พวกเขาไม่อาจหนีไปไหนพ้น แม้แต่เงินค่าจ้างก็ไม่สามารถไปรับได้ ช่างน่าอนาจเสียจริง ๆ!

หลังนางถามคำถามยาก ๆ ออกไป คนพวกนั้นต่างก็จ้องมองไม่วางตา เด็กสาวจึงทำทียักไหล่อย่างไม่ใส่ใจแล้วพูด “อย่ามองข้าเช่นนั้น ข้าอุตส่าห์หาน้ำให้พวกเจ้าดื่ม หาข้าวให้พวกเจ้ากิน แทนคำขอบคุณที่พวกเจ้ามาช่วยทุบบ้านเก่าของข้าให้ เท่านี้ยังไม่พอใจอีกหรือ?”

ในน้ำมียาพิษ!

ใครจะอยากได้ของตอบแทนแบบนี้กัน!

ชายคนหนึ่งโกรธจนกระทั่งอาเจียนออกมาเป็นเลือด ไม่นานก็เสียชีวิตลงทันที

คนที่เหลือต่างมองหน้ากันด้วยความตื่นตระหนก ฉับพลันความกลัวก็ปะทุขึ้นในใจ

เมื่อครู่ได้ยินซูหวานหว่านบอกว่าบ้านหลังเก่า แสดงว่านางจะสร้างบ้านหลังใหม่งั้นหรือ? นางต้องการจะรื้อถอนบ้านหลังนี้อยู่แล้วงั้นหรือ?

และพวกเขาก็ได้ช่วยนางรื้อถอนบ้านด้วยความบังเอิญ

ไม่แปลกใจเลยที่นางหาน้ำมาให้พวกเขาดื่ม ทำอาหารให้พวกเขากิน

“เจ้า…” ผู้คนเหล่านั้นต่างพูดไม่ออก

เมื่อเห็นรอยยิ้มของซูหวานหว่าน พลลาดตระเวนที่อยู่ด้านข้างก็เกิดอาการหวาดกลัวนางขึ้นมา ทำให้พวกเขารู้ว่าไม่ใช่ใครก็ได้ที่จะลงไม้ลงมือกับนางก่อน โชคดีมากที่พวกเขาไม่ได้กลายเป็นศัตรูกับอีกฝ่าย ไม่เช่นนั้นชีวิตคงจบไม่สวยไม่ต่างไปจากคนเหล่านี้

ซูหวานหว่านพูดกับหัวหน้าพลลาดตระเวนอย่างรวดเร็วว่า “เสี่ยวไป๋ เจ้าช่วยค้นหาและเก็บหลักฐานที่พวกเขาใช้ตกลงกับผู้ดูแลหลี่เอาไว้ด้วย แล้วพรุ่งนี้เช้าช่วยไปบ้านของผู้ดูแลหลี่กับข้า”

“ขอรับคุณหนูซู พวกเราจะรอท่านนะขอรับ” ไป๋หยวนซูพยักหน้าตอบกลับไป ชายหนุ่มโบกมือเรียกลูกน้องคนอื่น ๆ มาช่วยกันจับเจ้าคนพวกนั้น จากนั้นจึงเรียกเกวียนวัวของหลี่ฉือโทวให้ไปส่งพวกเขาในเมือง

เกวียนวัวมีขนาดเล็ก ดังนั้นจะต้องจับคนเหล่านั้นนอนซ้อนทับกันไปเหมือนกับการตั้งฟืน และไม่รู้ว่ามีผู้ใดจะถูกทับจนตายหรือเปล่า

เมื่อเหตุการณ์กลายเป็นเช่นนี้ ซูหวานหว่านได้แต่เยาะเย้ยอีกฝ่ายในใจ กล้ามากที่มาท้าทายความอดทนของนาง อีกทั้งยังมากระตุ้นความร้ายของนางให้ตื่นขึ้นมา จนนางต้องมาทำตัวร้ายกาจเช่นนี้

ในเวลาไม่นาน เหล่าพลลาดตระเวนก็เดินทางมาถึงในเมือง จึงรีบพาตัวคนเหล่านั้นไป

ณ ห้องโถงบ้านตระกลูหลี่

เมื่อผู้ดูแลหลี่ได้ยินเรื่องจากผู้ส่งข่าว เขาทุบโต๊ะด้วยความโกรธ “ว่าอย่างไรนะ! พวกนั้นมันไม่มีสมองเลยหรือ! เหตุใดถึงถูกนังผู้หญิงคนนั้นเล่นงานได้! อีกทั้งนังผู้หญิงคนนั้นยังให้น้ำและอาหารแก่พวกนั้นด้วยเหรอ? มันชักจะดูถูกข้าเกินไปแล้ว!”

“นายท่านหลี่ ข้าได้ยินมาว่าเดิมทีแล้วนางวางแผนที่จะสร้างบ้านใหม่ ดูเหมือนว่าแผนที่เราทำลงไปจะเหมือนเป็นการช่วยนางรื้อถอนเสียมากกว่า…”

ชายคนนั้นรายงานสิ่งที่ได้รับรู้มาทั้งหมดให้กับคนเป็นนายฟัง ผู้ดูแลหลี่ที่ได้ยินดังนั้นก็โกรธมากจนโยนถ้วยน้ำชาในมือทิ้ง

กลายเป็นว่าไปช่วยนางเสียได้!

ผู้ดูแลหลี่ถึงกับโกรธจัด

คนส่งข่าวยังรายงานอีกว่า “นายท่าน ข้าได้ยินมาว่ามีพลลาดตระเวนส่วนหนึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องวันนี้ด้วย ข้าเชื่อว่าหน่วยลาดตระเวนคงทราบเรื่องจากลูกน้องตนเองแล้ว พรุ่งนี้พวกเขาจะต้องมาที่หน้าประตูบ้านของท่าน เพื่อมาสืบสวนคดีอย่างแน่นอน พวกเราจะทำอย่างไรดีขอรับ?”

“เฮอะ! เจ้าจะกลัวไปทำไม!” ผู้ดูแลหลี่กล่าว “หากซูหวานหว่านแข็งแกร่งและมีชีวิตอยู่จนถึงวันพรุ่งนี้ ก็มาเจอกันสักตั้ง!”

เขาจะฆ่านางทิ้งในคืนนี้ นางจะไม่มีวันได้เห็นดวงตะวันในวันพรุ่งนี้เช้าอีก!

แววตาของผู้ดูแลหลี่นั้นเต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาท แผนการต่าง ๆ ถูกคิดเอาไว้เงียบ ๆ ภายในใจ

เขาไม่ใช่คนประเภทที่ลงมือทำมาครึ่งทางแล้วจะยอมแพ้ หากเขาต้องการจะฆ่าใคร คนคนนั้นจะต้องตาย!

เมื่อแม่เจิ้นเห็นคนเหล่านั้นแยกย้ายกันไปจนหมด นางจึงเอ่ยเรียกซูหวานหว่านมากินข้าว

ยามนี้พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน หลังจากขบคิดเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วนแล้ว ซูหวานหว่านตัดสินใจว่าจะกลับเข้าไปในเมืองเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายคืนนี้ และแม้ว่าแม่เฒ่าเจียงจะไม่ใช่คนในครอบครัวของนาง แต่นางก็กลัวว่าแม่เฒ่าเจียงจะได้รับอันตราย นางจึงคิดจะพาแม่เฒ่าเจียงไปกับพวกเขาด้วย

แต่กระนั้นแล้วก็ไม่สามารถยกโขยงกันไปอย่างเปิดเผยได้ เช่นนั้นเราจะทำอย่างไรดี?

ซูหวานหว่านครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจว่าแสร้งทำเป็นพาคนในครอบครัวขึ้นไปบนหลังภูเขา และทำเป็นสะพายตะกร้าไม้ไผ่เอาไว้บนหลัง

เมื่อท้องฟ้าเริ่มมืดลง พวกเขาก็ออกเดินทาง แต่ใครจะไปคาดคิดว่าในระหว่างเดินทาง พวกนางกลับไปเจอกับแม่เฒ่าซูที่เพิ่งกินดื่มมาจากที่ใดก็ไม่รู้