บทที่ 362 คนสำคัญ (6)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 362 คนสำคัญ (6)

“นี่คือหลักคำสอนพุทธ ว่ากันว่าเกิดจากคำบรรยายที่ไม่อาจทำความใจได้ในศาสนาพุทธ” กงฉือมองแวบเดียวก็จดจำความเป็นมาของสัตว์ประหลาดชนิดนี้ได้ทันที

“สัตว์ประหลาดชนิดนี้มีความเร็วสูง เปลือกนอกแข็ง ส่วนที่ตึงมือที่สุดคือภูมิคุ้มกันต่ออักขระกับวิชาลับระดับพื้นฐาน เป็นดาวข่มของศิษย์ประเภทใช้ธงค่ายกลกับอักขระค่ายกล” กงฉืออธิบาย

ลู่เซิ่งพยักหน้าอย่างเรียบเฉย เทียบกับเรื่องพวกนี้แล้ว เขาเป็นกังวลมากกว่าว่าจะได้รายชื่อกับข้อมูลตอนไหน

กงฉือมองเขา คล้ายอ่านความคิดของเขาออก “ต้องรอศึกช่วงชิงในครั้งนี้จบลงก่อน รายชื่อข้อมูลล้วนอยู่ด้านนอก”

“อยู่ที่โลกเดิมหรือ” ลู่เซิ่งถามอย่างสงสัย

“ถูกต้อง”

“ไม่เป็นไร” ความจริงลู่เซิ่งไม่ได้ละทิ้งความคิดเมื่อก่อนหน้า เขาไม่มีทางวางไข่ไก่ไว้ในตะกร้าใบเดียวกัน

เขากวาดตามองเหล่าคนที่กำลังต่อสู้กับสัตว์ประหลาด พบว่าในกลุ่มไม่มีใบหน้าที่ต้องการค้นหา จึงก้มหน้าลงเล็กน้อย และใคร่ครวญความเข้าใจต่อแผ่นหินเมื่อก่อนหน้านี้อีกรอบ

“ศิษย์พี่ลู่จะเข้าไปช่วยหรือไม่” เซี่ยอวี้ฉยงถามขึ้นด้านหลังเบาๆ

ลู่เซิ่งเงยหน้าขึ้น แล้วพบว่าทุกคนรวมถึงกงฉือล้วนมองเขาอยู่

“พวกเจ้าอยากช่วยก็ไปเองเถอะ” เขากล่าวอย่างแปลกประหลาด “ขอแค่อย่าช่วยคนจากสำนักผูกวิญญาณก็พอ”

กงฉือพยักหน้า ก่อนจะขยิบตาให้กับกลุ่มคนที่อยู่ด้านหลัง

ทันใดนั้นศิษย์สำนักซ่อนธาตุหลายคนโผพุ่งออกไป ตรงดิ่งเข้าหาสัตว์ประหลาดหลักคำสอนพุทธที่ยังต่อสู้อยู่ พวกกงฉือและเซี่ยอวี้ฉยงช่วยสนับสนุนพวกเขาอยู่ด้านนอก

ลู่เซิ่งหาบันไดหินแห่งหนึ่งนั่งลง ในห้วงสมองคือหลักการบนแผ่นหินที่ทำความเข้าใจเมื่อก่อนหน้านี้

เขาสังหรณ์ว่าบางทีเขาอาจจะบรรลุสิ่งที่อยู่บนแผ่นหินระหว่างการค้นหาในครั้งนี้

‘สรรพสิ่งคือกระบี่ หลักการนี้ใช้กับดาบได้เหมือนกัน รอยดาบบนแผ่นหินดูเหมือนซับซ้อน แต่ถ้าหากจัดเรียงตามลำดับที่แน่นอน จะได้ความรู้ที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง’ ลู่เซิ่งหลับตาพร้อมกับใช้สมองจำลองกระบวนการสร้างรอยดาบบนแผ่นหิน

ตอนแรกเสียงการต่อสู้ระหว่างคนกับหลักคำสอนพุทธด้านนอกยังระคายหูอยู่บ้าง ตอนนี้กลับค่อยๆ เหมือนออกห่างจากเขา ยิ่งมายิ่งเบา ยิ่งมายิ่งไม่ได้ยิน

‘ดีปบลู’

ลู่เซิ่งเรียกเครื่องมือปรับเปลี่ยนในใจ

เสียงพรึ่บดังขึ้น กรอบสีฟ้าโผล่ขึ้นตรงหน้าเขาอย่างรวดเร็ว ลู่เซิ่งมองไปด้านล่างแล้วเจอสิ่งที่ตัวเองต้องการในทันที

[รอยดาบปริศนา: ยังไม่ใช่ระดับเบื้องต้น ผลพิเศษ: ปริศนา]

‘ถ้าหากบอกว่ารอยดาบนี้บรรยายถึงหลักการชีวิตของสรรพสิ่ง อย่างนั้น…สิ่งที่ซ่อนอยู่ในท่าดาบนี้อาจจะเป็นปริศนาของลำดับในทุกสรรพสิ่งก็ได้’

ชั่วขณะนี้ลู่เซิ่งเหมือนเห็นกระบวนท่าดาบอันน่าอัศจรรย์ที่ดูคล้ายธรรมดา แต่ความจริงกลับแฝงหลักการยิ่งใหญ่เอาไว้ จากความตื้นลึกของรอยดาบทุกรอย

‘ถ้าหากใช้กระบวนท่าดาบนี้ออกมาตามลำดับ ไม่ว่าจะฟันใส่ผิวของวัสดุชิ้นใด ผลลัพธ์ที่ได้จะเหลือรอยดาบที่เหมือนกันทุกประการเอาไว้’ จิตใจของลู่เซิ่งสงบและล่องลอยไปไกลมากขึ้น

ลู่เซิ่งจ้องมองกรอบบนเครื่องมือปรับเปลี่ยน เป็นอย่างที่คาด ภายใต้ความเข้าใจของเขา ในที่สุดกรอบของรอยดาบบนแผ่นหินก็เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยค่อยๆ เปลี่ยนจากรอยดาบปริศนาเป็นเนื้อหาใหม่

[วิชาดาบปริศนา: ระดับที่หนึ่ง ผลพิเศษ: ความเร็วสูงขั้นหนึ่ง]

‘ผลพิเศษมีแค่ความเร็วสูงธรรมดาๆ หรือ ดูเหมือนเรายังไม่เข้าใจแก่นแท้’ ลู่เซิ่งแสดงสีหน้าราบเรียบ

‘ในเมื่ออาจารย์มอบรอยดาบนี้ให้เรา อย่างนั้นในนี้จะต้องซ่อนโอกาสพิเศษในการเลื่อนสู่ระดับจ้าวแห่งมารไว้แน่ ปัจจุบันเป็นเพียงผลพิเศษธรรมดา แสดงให้เห็นว่าเราไม่ได้เข้าใจสิ่งที่อยู่ในระดับชั้นลึกไปกว่านี้’

เขาฉุกคิดได้ จึงรวบรวมสมาธิในทันที ก่อนจะกดลงบนปุ่มปรับเปลี่ยนด้านล่างเครื่องมือปรับเปลี่ยน ทันใดนั้นดีปบลูก็สั่นไหวน้อยๆ แล้วหยุดนิ่งอีกครั้ง

เขากดปุ่มยกระดับเรียนรู้ที่อยู่ด้านหลังกรอบของวิชาดาบปริศนาอีกรอบหนึ่ง

‘ดำเนินการเรียนรู้วรยุทธ์หรือไม่’ กรอบสนทนาใหม่เด้งขึ้นมาอย่างกะทันหัน

‘ใช่’ ลู่เซิ่งยืนยันตัวเลือกอย่างรวดเร็ว

ซู่…

ชั่วขณะนั้นกรอบพร่ามัวลง พาให้ดีปบลูจางลงไปด้วย

ลู่เซิ่งรู้สึกว่าเนื้อหาของวิชาดาบนับไม่ถ้วนในห้วงสมองกำลังขยับอย่างรวดเร็ว ความรู้เกี่ยวกับวิชาดาบ ความเร็ว และจิตวิญญาณจำนวนมากปะทะเสียดสีกันเองจนเกิดแรงบัลดาลใจนับไม่ถ้วนขึ้นในชั่วพริบตา

หลังผ่านไปไม่กี่อึดใจสั้นๆ

ลู่เซิ่งหลับตาลงอีกครั้ง จากนั้นก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ความรู้สึกหนักแน่นที่ทั้งเคร่งขรึมทั้งเย็นเยียบค่อยๆ กระจายออกมาจากบนร่าง

‘นี่คือ…ที่แท้ก็เป็นสิ่งนี้…’ เขาเดี๋ยวก็ทำหน้าบรรลุ เดี๋ยวก็ขมวดคิ้ว คล้ายกับเข้าใจหลายสิ่งหลายอย่างที่ก่อนหน้านี้ไม่อาจทำความเข้าใจ

และในที่สุดเนื้อหาในกรอบก็ชัดขึ้น และกลายเป็นสิ่งใหม่

[วิชาดาบย้ายดวงดาว: ระดับที่สอง ผลพิเศษ: ความเร็วสูงขั้นที่สอง หลอมจิตขั้นที่สอง]

‘วิชาดาบย้ายดวงดาว นึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็นวิชาดาบพื้นฐานที่ธรรมดาๆ วิชานี้ สำนักพันอาทิตย์มีวิชาดาบและวิชากระบี่เป็นพันเป็นหมื่นวิชา วิชาดาบพื้นฐานที่เพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่จิตวิญญาณมีสามร้อยหกสิบห้าวิชา ตรงกับจำนวนวันในหนึ่งปี วิชาดาบย้ายดวงดาวจัดอยู่ในอันดับที่สิบ นึกไม่ถึงว่าความลับในการเลื่อนระดับจะ…ซ่อนอยู่ตรงนี้’ ลู่เซิ่งเข้าใจสิ่งที่อาจารย์เชียนตู้บอกใบ้เขาแล้ว

‘ถึงแม้เราจะยังมองไม่ออกว่าโอกาสในการเลื่อนสู่ระดับจ้าวแห่งมารอยู่ตรงไหน แต่ก็มองความลับที่ซ่อนอยู่ในรอยดาบออกแล้ว’ ลู่เซิ่งจ้องมองกรอบด้านหน้าอย่างสงบ

‘ก่อนหน้านี้เพิ่งใช้พลังอาวรณ์ไปแค่สองหน่วย ยังเหลืออีกห้าร้อยกว่าหน่วย ไหนดูหน่อยซิว่าวิชาดาบวิชานี้ซ่อนสิ่งใดไว้กันแน่…’ เขาหยีดวงตาซึ่งฉายแววคมกริบออกมาอย่างเลือนราง

ลู่เซิ่งรวบรวมสมาธิแล้วกดลงบนปุ่มเรียนรู้ปรับเปลี่ยนอีกครั้ง

‘จะดำเนินการเรียนนรู้วรยุทธ์หรือไม่’ กรอบสนทนากรอบใหม่เด้งขึ้น

เขากดใช่อย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย

วิชาดาบย้ายดวงดาวมีทั้งหมดสองระดับ การเรียนรู้เมื่อก่อนหน้านี้ทำให้เขาคืนสภาพวิชาดาบที่ใช้สร้างรอยดาบบนแผ่นหินสำเร็จ ส่วนการเรียนรู้ในครั้งนี้จึงเป็นการเรียนรู้สภาพสำเร็จขั้นสูงสุดของวิชาดาบย้ายดวงดาวที่แท้จริงขึ้นไปอีกขั้น

ชั่วขณะนี้วิชาดาบจำนวนนับไม่ถ้วนชนกระแทกและไหลเวียนในห้วงสมองของลู่เซิ่งอย่างต่อเนื่อง ผ่านไปหลายอึดใจ วิชาดาบย้ายดวงดาววิชาใหม่ก็ปรากฏในกรอบตรงหน้าเขา

เขาเกาะกุมกระบวนท่าดาบจำนวนมากที่แข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้ไม่น้อยได้อย่างเป็นธรรมชาติ ราวกับฝึกฝนมาหลายสิบปีก็ไม่ปาน

เนื้อหาในกรอบตรงหน้าเขาเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง

[วิชาดาบย้ายดวงดาว: ระดับที่สาม (ทั้งหมดสองระดับ) ผลพิเศษ: ความเร็วสูงขั้นที่สาม หลอมจิตขั้นที่สาม]

‘ถ้าหากมีแค่นี้ ก็ถือว่าเป็นกระบวนท่าดาบวิชากำลังภายนอกธรรมดาๆ วิชาหนึ่ง นอกจากส่วนที่หล่อเลี้ยงจิตแล้ว เนื้อหาในการฝึกฝนปราณจริงแท้ก็ตื้นเขินถึงขีดสุดเช่นกัน มองไม่ออกเลยว่ามีโอกาสเลื่อนสู่ระดับจ้าวแห่งมารตรงไหน ไปต่อเลย’

ลู่เซิ่งสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง เรียนรู้ต่อไป เพิ่งใช้พลังอาวรณ์ไปแค่สองหน่วยเท่านั้น

ผ่านไปครึ่งชั่วยามกว่าๆ

ฉึก!

กงฉือแทงกระบี่ลึกเข้าไปในดวงตาของสัตว์ประหลาดหลักคำสอนพุทธอย่างแม่นยำ ปลายกระบี่แทงทะลุออกมาจากด้านหลังใบหน้าของหลักคำสอนพุทธทรงสามเหลี่ยม พร้อมกับเลือดที่เหมือนกับโคลนสีดำ

ฉึก

นางชักกระบี่ออกมาแล้วหอบหายใจสองสามครั้ง หลังต่อสู้อย่างดุเดือดเป็นเวลานาน ต่อให้เป็นนางก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยอยู่บ้าง

‘หมดแล้ว’ นางกวาดตามองสภาพการต่อสู้ที่เละเทะรอบๆ นอกจากคนสามคนจากสำนักพันอาทิตย์แล้ว คนที่เหลือแทบจะได้รับบาดเจ็บทุกคน

‘ในที่สุดก็จบแล้ว’ กงฉือสะบัดเลือดบนกระบี่ทิ้ง แล้วเก็บมันเข้าฝัก จากนั้นก็หยิบหอกบนพื้นขึ้นมาแบกไว้ด้านหลัง ก่อนจะเดินไปถึงตรงหน้าลู่เซิ่ง

“ศิษย์พี่ลู่ รอนานแล้ว” นางเรียกเบาๆ

แต่ลู่เซิ่งที่นั่งบนพื้นไม่ขยับ เหมือนไม่ได้ยินเสียงของนาง

“ศิษย์พี่ลู่?” กงฉือสงสัยเล็กน้อย เร่งเสียงขึ้นอีก คนจากสำนักซ่อนธาตุคนอื่นๆ ค่อยๆ เข้ามาใกล้

เซี่ยอวี้ฉยงนั่งอยู่ด้านหลังลู่เซิ่ง พอได้ยินดังนั้นก็เงยศีรษะขึ้นมองด้านหน้าอย่างประหลาดใจ

“ศิษย์พี่ลู่ ควรไปได้แล้วกระมัง” นางเรียกอีกคน

‘…’

ลู่เซิ่งลืมตาขึ้นในฉับพลัน วินาทีนั้นกงฉือคล้ายเห็นความไพศาลที่ดำมืดล้ำลึกเหมือนกับหุบเหวจากในดวงตาของเขาแวบหนึ่ง

“อย่างนั้นหรือ ควรไปแล้วสินะ…” ลู่เซิ่งถอนใจยาว เหมือนกับผ่านไปนานแล้ว

“ที่แท้เป็นแบบนี้…ที่แท้…นี่ก็คือโอกาสที่แท้จริง…” เขาก้มหน้า พึมพำอะไรบางอย่างเหมือนไม่รู้ตัว

ตอนนี้เนื้อหาของวิชาดาบย้ายดวงดาวรูปแบบใหม่กำลังกะพริบอย่างชัดเจนอยู่ในกรอบด้านล่างสุดบนเครื่องมือปรับเปลี่ยนดีปบลูซึ่งอยู่ตรงหน้าเขา

[วิชาดาบย้ายดวงดาว: ระดับที่หนึ่งร้อยแปดสิบเก้า (เดิมมีสองระดับ) ผลพิเศษ: ความเร็วสูงขั้นที่หนึ่งร้อยแปดสิบเก้า หลอมจิตขั้นที่หนึ่งร้อยแปดสิบเก้า]

นอกจากนี้ก็ไม่มีเนื้อหาพิเศษใดๆ อีก

ทว่าลู่เซิ่งในเวลานี้กลับรู้สึกอย่างขมุกขมัวว่าได้สัมผัสขีดจำกัดหลังจากจิตวิญญาณและกายเนื้อผสมผสานกันแล้ว

เขายกมือขึ้นช้าๆ แล้วคว้าก้อนหินก้อนหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปอย่างแผ่วเบา ท่ามกลางสายตาประหลาดใจของพวกกงฉือ

ซ่า

เมื่อขีดจำกัดแหลกสลาย ก้อนหินขนาดเท่ากำปั้นก็แหลกสลายกลายเป็นผุยผงตามไปด้วย

“ศิษย์พี่ลู่?” กงฉือสงสัยเล็กน้อย ส่งเสียงเรียกอีกครั้ง

ลู่เซิ่งมองก้อนหินอย่างสงบ เงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มขึ้นในฉับพลัน มีแต่เขาที่รู้ดีว่าเมื่อครู่เขาไม่ได้ใช้พลังงานใดๆ ปราณจริงแท้ก็ดี ปราณภายในก็ดี แก่นมารหรือปราณมารก็ดี ล้วนไม่ได้ใช้

เขาเพียงคิดจินตนาการว่าก้อนหินก้อนนั้นสมควรกลายเป็นแบบใดก็เท่านั้น

จากนั้นก้อนหินก้อนนั้นก็กลายเป็นผุยผงไปเอง

เขาไม่ได้ใช้แรง แต่ส่งจิตเข้าไป ทำให้ก้อนหินก้อนนั้นนึกว่าตัวเองไม่ใช่ก้อนหิน แต่เป็นฝุ่นผง

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้…” ลู่เซิ่งวางมือลง เสื้อผ้าบนร่างสั่นไหวโดยไร้ลม ลมเย็นอ่อนๆ สายหนึ่งกระจายออกมาช้าๆ โดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง อนุภาคเล็กๆ สีดำนับไม่ถ้วนในอากาศพัดมารวมกันแล้วค่อยๆ ผนึกรวมตรงหว่างคิ้วของเขา กลายเป็นลวดลายสามเหลี่ยมที่เหมือนกับงูมีปีกสีแดงเข้ม

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” ม่านตาของเขาเปลี่ยนแปลงไป กลายเป็นลวดลายสามเหลี่ยมเหมือนที่หว่างคิ้วพร้อมกับหมุนวนช้าๆ

“ที่แท้…ก็เป็นเช่นนี้…” เขายกมือขึ้น ควันเย็นเย็ยบที่ดำมืดยิ่งกว่าหุบเหวหมุนวนบิดเบี้ยวกลางฝ่ามือของเขา

ฟู่ว…

ลมสีดำเข้มค่อยๆ แผ่กระจายไปทั่วทิศโดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง

เขตถ่ายทอดความลับ

“เอ๋?” ซูหนิงเฟยมองแผ่นหินที่พลิกออกมาด้านข้างมือตัวเองอย่างสงสัย

“นี่ให้เจ้าหนูลู่เซิ่งไปแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดยังอยู่นี่อีก”

“ลู่เซิ่งหรือ ศิษย์ที่เจ้ารับไว้เมื่อไม่นานมานี้นั่นน่ะหรือ” ในถ้ำยังมีคนอีกคนนั่งอยู่ เป็นชายชราผมขาวที่หนวดยาวถึงหลังเท้า

“อือ เขาแตกต่างกับศิษย์คนก่อนๆ…” เชียนตู้ซูหนิงเฟยส่ายหน้าน้อยๆ

“เอาแผ่นหินนั้นให้เขาแล้วหรือ” ชายชราถามอย่างแปลกใจ “ก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็นเจ้าใจกว้างขนาดนี้”

“จะเป็นไปได้อย่างไร ข้าเอาหินก้อนใหม่มาขีดเขียนมั่วๆ เท่านั้น แผ่นหินเงียบสงัดจะมอบให้คนอื่นๆ ง่ายๆ ได้อย่างไร”

“เขียนอะไรไว้เล่า”

“จำไม่ได้แล้ว เป็นกระบวนท่าดาบธรรมดาๆ กระมัง”

“เช่นนั้นเจ้าอยากให้เขาบรรลุสิ่งใด” ชายชราจนปัญญา

“ผู้ใดทราบเล่า” ซูหนิงเฟยผุดสีหน้าเย็นชา

……………………………………….