บทที่ 363 คนสำคัญ (7)
หลายวันต่อมา
ผู้คนศึกษาอาณาเขตคร่าวๆ ของพื้นที่ชั้นในวัดตราทมิฬจนเข้าใจแล้ว
ที่นี่มีทั้งหมดสามเขตได้แก่ เขตวัดธรรมจักร เขตวัดเสียงพุทธ และเขตวัดประกายพุทธ สามอาณาเขตใหญ่ล้อมรอบตรงกลางเป็นลักษณะอารักขา
อาณาเขตตรงกลางระหว่างสามเขตใหญ่กับรูปแกะสลักพระพุทธเจ้าที่อยู่ตรงกลางเป็นสิ่งก่อสร้างที่ยุ่งเหยิงและวังเวงกลุ่มใหญ่ สถานที่เหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นวิหารหรือไม่ก็วัดที่กระจายตัวกัน
หลังจากลู่เซิ่งเข้าใจแล้ว ก็พาทุกคนเดินวนรอบวัดธรรมจักรรอบหนึ่ง สัตว์ประหลาดที่เจอมีอยู่สามชนิดเป็นหลัก
พระสงฆ์ที่หลับตา กำแพงดำเปิดปัญญาที่งอกมือดำออกมาได้ รวมถึงวิหารเล็กๆ ที่มีหลักคำสอนพุทธอันเป็นสัตว์ประหลาดซ่อนตัวอยู่
กำแพงเปิดปัญญาเคลื่อนที่อย่างต่อเนื่อง บางครั้งก็จะหนีไปยังอาณาเขตส่วนรวมระหว่างสามสำนัก นั่นเป็นสัตว์ประหลาดที่พวกลู่เซิ่งได้เจอตอนเพิ่งเข้ามา พวกที่สามารถหนีออกไปได้เหล่านี้ล้วนเป็นแค่ตัวละครธรรมดาๆ
สิ่งที่ร้ายกาจยิ่งกว่าซึ่งอยู่ในวัดธรรมจักรไม่ใช่สิ่งเหล่านี้ ในพวกพระสงฆ์หลับตายังมีเทวราชหลับตา ธรรมราชาหลับตา และอรหันต์หลับตา
ปัจจุบัน ด้านในสวนดอกไม้ด้านหลัง ทางซ้ายของเขตวัดธรรมจักร
เปรี้ยง!
เงาร่างสีทองเข้มที่สูงใหญ่และมีแขนหกข้างล้มลงไปในบ่อน้ำแห้งเหือดซึ่งอยู่ด้านในสวนดอกไม้อย่างหนักหน่วง
กงฉือหายใจกระหืดกระหอม ใบหน้าแดงก่ำ มีเลือดหลายสายไหลออกมาจากหางตา แม้จะยังฟื้นตัวอยู่ แต่เห็นได้ว่าลูกตาของนางได้รับบาดเจ็บ
รอบๆ ตัวนางมีคนอยู่ด้วย เซี่ยอวี้ฉยงกับบุรุษหล่อเหลาที่ไว้ผมยาวสีฟ้าคนหนึ่งต่างก็คุ้มกันอยู่ด้านข้างนางทั้งๆ ที่ได้รับบาดเจ็บ
“ศิษย์พี่กงฉือ…ครั้งนี้น่าจะสำเร็จแล้วกระมัง” บุรุษคนนั้นคือเสวียนจู ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดจากกลุ่มคนที่พวกเขาได้ช่วยเหลือไว้หลังจากเข้ามา พอรู้ว่าผู้นำกลุ่มก็คือกงฉือกับลู่เซิ่ง ก็ขอเข้าร่วมด้วยตัวเอง
ลู่เซิ่งไม่ได้ว่าอะไร เขาเข้ามาเพื่อตามหาคน แต่ว่านั่นเป็นเป้าหมายเดิม หลังจากบรรลุขีดจำกัดด้านจิตใจ วิถีแปดมารสูงสุดก็ยกระดับอย่างบ้าคลั่งตลอดเวลา อีกทั้งกายเนื้อก็กำลังพัฒนาไปสู่ระดับชั้นที่ไม่อาจเข้าใจได้เหมือนกับไร้ขีดจำกัดด้วย
ความจริงหลังจากทำความเข้าใจแผ่นหินจนปรุโปร่ง เขาก็ไม่จำเป็นต้องตามหาคนอีกแล้ว ตอนนี้อยากจะออกจากที่นี่เร็วๆ เพื่อกลับไปหาเชียนตู้ที่เขตถ่ายทอดความลับมากกว่า
เขาจำเป็นต้องใช้ตำแหน่งและการสรุปรวบยอดต่อระดับจ้าวแห่งมารที่ชัดเจนกว่านี้ ถึงอย่างไรเขาก็เพิ่งเลื่อนระดับ จึงไม่คุ้นเคยกับอาณาเขตนี้โดยสิ้นเชิง
แต่เขาก็ฉุกใจได้ว่า ถ้าหากช่วงชิงอันดับหนึ่งที่ว่านี้ได้ ก็จะได้รับโอกาสในการเผชิญหน้ากับเจ้าแห่งอาวุธ
ระดับเจ้าแห่งอาวุธอยู่เหนือกว่าจ้าวแห่งมารและอริยะเจ้า นั่นคือระดับที่สามารถควบคุมอาวุธเทพศัสตรามารได้โดยสมบูรณ์ ลู่เซิ่งจินตนาการไม่ออกเลยว่าระดับชั้นแบบนั้นเป็นอย่างไร ดังนั้นเขาจึงคิดสัมผัสด้วยตัวเอง
ทว่าการไปเผชิญหน้ากับตัวตนที่มีพลังในการบดขยี้ตนเองอย่างเด็ดขาดในสถานการณ์ที่ไม่ทราบท่าทีของอีกฝ่าย ไม่ใช่การกระทำของคนฉลาด มิสู้ยกระดับอันดับขึ้น แม้จะไม่ได้เผชิญกับเจ้าแห่งอาวุธโดยตรง แต่ก็ได้ของรางวัลในอันดับรองลงไปอยู่ดี
ถึงอย่างไรต่อให้เป็นอันดับสอง รางวัลที่ได้รับก็เหนือกว่าจินตนาการของลู่เซิ่งแล้ว สองแสนทองคำมาร และอาวุธเทพระดับรองที่ใช้เพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่กายเนื้อโดยเฉพาะชิ้นหนึ่ง
รางวัลแบบนี้ถ้าหากสามารถย่อยสลายได้โดยสมบูรณ์ ก็จะสามารถยกระดับลูกศิษย์ที่มีคุณสมบัติธรรมดาๆ สักคนไปถึงระดับที่น่ากลัวได้ในพริบตา เช่นผู้ถืออาวุธ หรือสูงกว่านั้น อย่างไรสามสำนักก็มีสมบัติระดับพิสดารอย่างหอคอยวิญญาณจริงแท้อยู่ด้วย
เพราะฉะนั้น เขาที่มีความคิดเช่นนี้จึงใช้เวลาอยู่ที่นี่ แถมยังนำคนออกล่าสัตว์ประหลาดชั้นใน นอกจากการกำจัดคู่แข่งแล้ว การหาคะแนนด้วยการล่าที่มากพอยังเป็นวิธีที่จะได้รับอันดับที่สูงกว่าเดิมได้ด้วย
“เทวราชหลับตาไม่ใช่สิ่งที่จัดการได้ง่าย” กงฉือส่ายหน้าเล็กน้อย พร้อมกับกวาดตามองคอที่แทบจะบิดหักของเซี่ยอวี้ฉยง กับท้องน้อยที่ถูกแทงทะลุของเสวียนจู จากนั้นก็มองศิษย์จำนวนมากที่ถูดคัดทิ้งจนเหลือแค่ห้าหกคนซึ่งนอนกระจัดกระจายอยู่รอบๆ พลางถอนใจเงียบๆ
‘แค่เทวราชหลับตาหนึ่งตนกับพระสงฆ์หลับตาสามตนก็ทำให้คนจำนวนมากของฝ่ายเรายากจะรับมือแล้ว…นึกออกได้เลยว่าศิษย์พี่ลู่ที่อยู่ในวัดจะเจอสถานการณ์น่ากลัวแบบไหน’
สวบ!
แขนสีดำอมม่วงข้างหนึ่งชักออกมาจากทรวงอกของธรรมราชาหลับตาที่สูงสองหมี่อย่างช้าๆ ลู่เซิ่งซึ่งยืนอยู่ด้านในวิหารชักมือกลับมาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง เทวราชหลับตาสามตนล้มอยู่รอบตัวเขา
ธรรมราชาหลับตาที่อยู่ตรงหน้าเขาเป็นสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งที่สุดในวัดแห่งนี้ เทียบได้กับคู่ต่อสู้แข็งแกร่งในระดับสามขั้นบนของขอบเขตปฐมปฐพี
แน่นอนว่านี่เป็นความแข็งแกร่งสำหรับคนอื่นๆ
ธรรมราชาหลับตามีร่างที่หอกดาบฟันแทงไม่เข้า หากพลังไม่ถึงจุดสูงสุดของระดับสัตตะลักษณ์ แม้แต่ผิวหนังของมันก็ยังไม่อาจเจาะทะลุ ยิ่งอย่าว่าแต่ฆ่ามันเลย บวกกับมันเคลื่อนไหวได้อย่างว่องไวประดุจพายุ แถมยังมีพละกำลังน่าตกตะลึง หากไม่มีพลังระดับปฐมปฐพี แม้แต่หนีก็ยังยาก
“เมื่อเผชิญหน้าความกลัว เมื่อเผชิญหน้าการทำลายล้าง พวกเราไม่ควรลนลาน ไม่ควรบ้าคลั่ง
จงมอบมือให้แก่แสง จงมอบใจให้แก่พุทธ จงมอบอนาคตให้แก่โชคชะตา
จงมอบพลังแด่ความตาย”
เสียงที่ราบเรียบเคร่งขรึมดังมาจากด้านหลังวิหาร
ลู่เซิ่งเงยหน้าขึ้นมอง ธรรมราชาหลับตาที่ทั้งร่างเป็นสีทองเข้มและสวมจีวรสีแดงตนหนึ่งเดินออกมาจากด้านหลังพระพุทธรูป
ธรรมราชาตนนี้ดูเหมือนจะแก่มากแล้ว แม้ร่างกายจะแผ่ซ่านแสงพุทธของธรรมราชาสีทองเข้มเฉพาะตัวออกมา แต่ผิวหนังกลับเหี่ยวย่น กระดูกเหมือนกับฟืน คล้ายกับไม้แขวนเสื้อที่แขวนจีวรไว้
“กู่ลี่!” ธรรมราชาเฒ่ากำลังเดินออกมา อยู่ๆ ด้านหลังก็มีเณรน้อยรูปหนึ่งพุ่งออกมาจับขาของธรรมราชาเฒ่าไว้แน่น
“กู่ลี่! อาซาหลู่! อาซาหลู่!” เด็กคนนี้มีเลือดไหลออกจากสองตาเหมือนกัน ทว่าเวลานี้กลับกอดธรรมราชาไว้ไม่ยอมปล่อยเหมือนกับเณรน้อยจริงๆ
ธรรมราชาเฒ่าพูดกับเณรน้อยด้วยสีหน้าจริงจังสองสามประโยค ฝ่ายหลังจึงค่อยๆ คลายมือพลางสะอึกสะอื้น “ให้ท่านเห็นเรื่องน่าหัวเราะแล้ว” ธรรมราชาเฒ่าเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มให้ลู่เซิ่ง คำพูดของเขากลับเป็นภาษาทางการของต้าอิน
ในที่สุดเวลานี้สีหน้าที่เย็นชาราบเรียบมาโดยตลอดของลู่เซิ่งก็เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย ตอนแรกเขานึกว่าพระสงฆ์หลับตาหรืออะไรก็ตามที่อยู่ที่นี่ล้วนเป็นสัตว์ประหลาดของวัดตราทมิฬชั้นใน แต่ดูจากตอนนี้…
“ท่านประหลาดใจมากกระมัง” ธรรมราชาเฒ่ายิ้ม “ถูกต้อง…ข้าใช้เวลาหนึ่งร้อยสามสิบเก้าปีในการเรียนภาษามารสวรรค์ ในที่สุดก็แกะภาษาที่ใช้กันในชั้นนอกจนเรียนภาษามารสวรรค์ของจริงได้เมื่อสิบปีก่อน”
“ภาษามารสวรรค์หรือ” ลู่เซิ่งงุนงง “หมายความว่าอย่างไร”
ธรรมราชาเฒ่าก็งุนงงเช่นกัน “จริงสิ พวกท่านบางคนมาจากประเทศศักดิ์สิทธิ์ชื่อต้าอิน บางคนก็มาจากเผ่าพันธุ์ที่ชื่อมารสีชาด บางทีคำเรียกอาจไม่เหมือนกัน”
ลู่เซิ่งเงียบงัน เขาพลันมีการคาดเดาที่ทำให้ตนเองรู้สึกหนาวเหน็บจากคำพูดของธรรมราชาเฒ่า
“พวกท่าน เรียกพวกเราว่ามารสวรรค์หรือ” เขาถามซ้ำอีกครั้ง
“ถูกต้อง พวกท่านทั้งใช้คนเป็นทาส ทั้งทำลายโลกเบื้องล่าง ทั้งจัดพิธีน่าสยดสยอง โลกใบนี้ก็ถูกพวกท่านทำลายถึงขั้นนี้เหมือนกันไม่ใช่หรือ” ธรรมราชาย้อนถามด้วยเสียงอบอุ่น “แน่นอนว่าสิ่งที่ข้าเห็นจากดวงตาของท่านไม่ใช่ความป่าเถื่อนหรือความละโมบ หากเป็นความสงบและความเรียบเฉย นี่เป็นสาเหตุที่ข้าปรารถนาจะแลกเปลี่ยนกับท่านอย่างแท้จริง”
“อย่างนั้นตอนนี้ท่านคิดทำอะไร จะพูดอะไรกับข้า” ลู่เซิ่งเงียบเสียงสักพักจึงค่อยๆ เอ่ยถาม
“ถูกแล้ว…ข้าอยากจะพูดอะไร อยากจะทำอะไร” สีหน้าของธรรมราชาเริ่มเหม่อลอย เขาก้มหน้ามองเณรน้อยข้างเท้าด้วยดวงตาที่กำลังปิดอยู่
“ความจริง ขนาดพวกเราศึกษามาหลายปี ข้าก็ยังไม่รู้ความคิดในใจคนอื่นๆ แค่ตัวข้า แค่ข้าเท่านั้น สิ่งที่อยากทำคือ แค่ถามคำถามข้อหนึ่ง”
ลู่เซิ่งมองเณรน้อยเช่นกัน เด็กน้อยผู้นี้ดูเหมือนจะสูงไม่ถึงเข่าของเขา ตัวจ้ำม่ำ ผิวนวลเนียน ศีรษะล้านเลี่ยน ถ้าหากไม่ใช่ว่าสองตาที่กำลังหลับอยู่มีเลือดไหลออกมา เกรงว่าจะน่ารักกว่านี้
“ท่านอยากถามอะไร” เขากล่าวอย่างสงบ
ธรรมราชาเฒ่ายื่นมือไปลูบศีรษะล้านของเณรน้อย สีหน้ามีความจนปัญญา เจ็บปวด และเสียใจผสมกัน
“ข้าเพียงอยากถามว่า ทำไม”
“ทำไมหรือ”
ลู่เซิ่งทวนซ้ำ
ทำไม ทำไมกัน เพราะเหตุใด จึงบุกโลกของพวกเรา แล้วทำลายทุกอย่าง เพราะอะไรกัน
ลู่เซิ่งได้ยินหลายสิ่งหลายอย่างที่แฝงอยู่ในคำพูดของธรรมราชาเฒ่า
“ท่าน…” เขาได้สติกลับมา มองไปยังธรรมราชาเฒ่าอีกครั้ง กลับเห็นอีกฝ่ายยืนอยู่เฉยๆ โดยที่พิงพระพุทธรูปเงียบๆ พร้อมกับลูบศีรษะของเณรน้อยไปด้วย เหมือนกับหลับฝัน
ซ่า…
ลมอ่อนพัดผ่าน ร่างของธรรมราชาเฒ่ากับเณรน้อยค่อยๆ กลายเป็นฝุ่นดำ ก่อนปลิวไปตามลม พวกเขาถึงกับมรณะไปพร้อมกัน
ลู่เซิ่งยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เขารู้สึกว่าตนเองเหมือนเข้าใกล้ความจริงของโลกใบนี้เป็นครั้งแรก
ในสายตาของธรรมราชาเฒ่า พวกเขาคือมารสวรรค์ อย่างนั้นพิภพมารในภัยพิบัติมารคืออะไรสำหรับพวกเขา
คำถามมากมายทะลักสู่ห้วงสมองของเขา เขาเดินออกจากวิหาร พวกกงฉือที่อยู่ด้านนอกสู้กันเสร็จแล้ว บาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก ก่อนหน้านี้ยังมีคนเกือบยี่สิบคน ตอนนี้คนที่รอดอยู่เหลือไม่ถึงสิบคน
กงฉือเดินเข้ามาหา “ศิษย์พี่ลู่ จัดการด้านในแล้วหรือ”
“อือ ไปต่อเถอะ หลายวันมานี้คิดว่าคนจากจังหวัดไร้เหมันต์คงเหลือไม่เยอะแล้ว” ลู่เซิ่งสงบสติอารมณ์ก่อนพยักหน้าตอบเบาๆ
“พวกเราสามารถรวบรวมคนของสำนักพันอาทิตย์กับสำนักซ่อนธาตุให้มากๆ เข้าไว้ได้ แบบนี้คะแนนโดยรวมของทุกคนจะเพิ่มขึ้น นอกจากนี้อันดับในต้าอินของจังหวัดไร้เหมันต์ก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ทุกคนจะได้รางวัลจากสาขาหลักมากขึ้น” กงฉือเสนออย่างระมัดตัว
“แล้วแต่เจ้าเถอะ นอกจากนี้ถ้าเจอคนของสำนักผูกวิญญาณ ไม่ต้องไปเสียเวลาด้วย ให้ฆ่าทิ้งเสีย อย่าให้ข้าลงมือด้วยตัวเอง” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างเรียบเฉย
เขาค่อยๆ สร้างบารมีที่แข็งแกร่งขึ้นท่ามกลางศิษย์ของสองสำนักอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ไม่มีเหตุผลใดอื่นนอกจากว่าเขาจะรับมือศัตรูซึ่งหน้าหลายครั้ง จำนวนสัตว์ประหลาดที่ฆ่าไปยังมีมากกว่าคนอื่นๆ รวมกันเสียอีก
กงฉือยินดีเล่นงานสำนักผูกวิญญาณอยู่แล้ว นอกจากความเกี่ยวข้องกับสำนักพันอาทิตย์ พวกนางสองสำนักก็แข่งขันและเป็นศัตรูกันอย่างชัดเจนถึงขีดสุด ตอนนี้พอได้รับการสนับสนุนจากลู่เซิ่งที่เป็นยอดฝีมือของสำนักพันอาทิตย์ นางจึงมีความมั่นใจกว่าเดิม
“ศิษย์พี่ลู่ นอกจากนี้แล้ว พวกเราสามารถไปหาศิษย์พี่จ่างซุนหลันกับศิษย์พี่ใหญ่หลีม่ายของสำนักซ่อนธาตุในเขตอื่นได้ ถ้าหากทุกคนผนึกกำลังกัน อาจจะเก็บกวาดสามเขตใหญ่ได้ทั้งหมด และได้รับคะแนนที่สูงกว่าเดิม ภายหลังทุกคนค่อยมาประลองกันเพื่อหาว่าใครเป็นอันดับหนึ่งดีหรือไม่”
“ความคิดดียิ่ง แต่ว่านะศิษย์พี่กง เดิมพลังของสำนักซ่อนธาตุก็แข็งแกร่งกว่าสำนักพันอาทิตย์อยู่แล้ว บวกกับท่านควรจะทราบสถานการณ์ทุกอย่างของพวกเรา เกิดว่าพวกท่านอาศัยคนมากแย่งแรงสนับสนุนที่แข็งแกร่งที่สุดของจังหวัดไร้เหมันต์ไปเมื่อถึงเวลา ถึงตอนนั้นผู้ใดจะช่วยเหลือศิษย์พี่ลู่กับศิษย์พี่จ่างซุนของข้าเล่า” เซี่ยอวี้ฉยงรีบโต้แย้ง แม้กงฉือจะแข็งแกร่งกว่านางมาก ทว่าตอนนี้มีลู่เซิ่งคอยปกป้อง สำนักพันอาทิตย์จึงไม่กลัวสิ่งใด
……………………………………….