บทที่ 166 ข้าจะไม่ตกหลุมรักเจ้า

ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้

ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 166 ข้าจะไม่ตกหลุมรักเจ้า

ดวงตาของกู้โม่หานจ้องเขม็ง

นางต้องการให้เขาจากกันด้วยดี?

หากจะบอกว่าเมื่อครู่เขารู้สึกกลัดกลุ้มใจ เช่นนั้นในเวลานี้ก็เป็นความผิดหวังอย่างแท้จริง ความโกรธและความเคียดแค้นในใจลุกโชนขึ้น

เขาปล่อยหนานหว่านเยียนด้วยความโกรธ ลุกขึ้นยืนหันหลังให้นางเอามือไพล่หลัง แววตาเต็มไปด้วยความไม่พอใจและไม่มีความสุข

หนานหว่านเยียนเตือนเขาครั้งแล้วครั้งเล่า เขาและนางห่างเหินกันไปไม่ถึงครึ่งปีก็ต้องจากกัน เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกหนักใจ

ฮ่า อยากไปก็ไป คิดว่าเขาจะรั้งนางไว้หรือ? หากวันนี้กลับจวน รับสาวๆ เข้ามาแล้ว เขาจะไม่มีวันปล่อยให้นางพรากสาวน้อยทั้งสองไปเด็ดขาด!

ความคิดในใจเท่านั้นเอง เขาก็ไม่ต้องการแสดงออกมาทางใบหน้า พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้ารู้จักตนเองดีก็นับว่าดีที่สุดแล้ว”

“รู้ไหม ข้าจะไม่มีทางตกหลุมรักเจ้า!”

หนานหว่านเยียนน้ำเสียงไม่แยแส เห็นได้ชัดว่าไม่ใส่ใจมากกว่าเขาเสียอีก “เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าไม่เคยคิดอะไรกับเจ้าเลย”

ผู้ชายอย่างเขา หากจับมาอยู่ในยุคปัจจุบันคงถูกทัวร์ลงเป็นแน่! อีกอย่าง นางจะตาบอดหลงรักท่านอ๋องชั่วแบบนี้ได้อย่างไร

จะหย่ากันอยู่แล้ว สิ่งที่นางกำลังคิดอยู่ตอนนี้ คือจะหาเงินเลี้ยงลูกอย่างไร ทั้งสามคนอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ปราศจากความวุ่นวายทางโลก และไม่ต้องกลัวลนลานอีกด้วย

กู้โม่หานเห็นท่าทางดูถูกเหยียดหยามของหนานหว่านเยียน ก็โมโห โกรธเป็นฟืนเป็นไฟทันที

เขาอยากจะพูดอะไรมากกว่านี้ แต่พอได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวข้างนอก ในที่สุดก็มีคนรับใช้ก็มาเปิดประตู

ขันทีหนุ่มยิ้มสอพลออยู่ด้านนอกประตูวัง พลางพูดกับคนในห้องอย่างเกรงใจว่า “ท่านอ๋อง พระชายา ได้เวลาเสวยอาหารเช้าแล้ว อย่าให้ไทเฮาต้องรอ!”

กู้โม่หานได้ยินเช่นนี้ ก็สวมเสื้อผ้าด้วยใบหน้าเย็นชา รีบสะบัดชายเสื้อออกไป

เขาสะบัดมือเปิดประตูในทันใด ขันทีหนุ่มที่อยู่ข้างนอกตกใจคุกเข่าลงกับพื้นอย่างไม่คาดคิด

ผู้ชมภายนอกจะเห็นอะไรมากกว่าผู้เล่น กู้โม่หานไม่เข้าใจเลย สาเหตุที่เขาโกรธเพราะหนานหว่านเยียนไม่รักเขา ไม่ยินดีจะอยู่กับเขา

ยิ่งไปกว่านั้น แค่ไม่ถึงครึ่งปี หนานหว่านเยียนก็ต้องการจะจากไป…

ทันใดนั้นภายในห้องก็เงียบสงบน่ากลัว หนานหว่านเยียนหาวอย่างไม่มีเหตุผล ลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย จากนั้นก็เริ่มล้างหน้าบ้วนปากและเปลี่ยนเสื้อผ้าโดยการปรนนิบัติจากบรรดาสาวใช้ในวัง

ในที่สุดนางก็เปลี่ยนใส่เสื้อผ้าแปลกๆ หนานหว่านเยียนรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น เดินไปยังตำหนักหลวนเฟิ่ง

กู้โม่หานรออยู่ในโถงใหญ่นานแล้ว ในขณะนี้เขานั่งสงบนิ่งราวกับถูกแช่น้ำแข็งหนาสามฟุต

ในที่สุดเมื่อหนานหว่านเยียนมาถึง ชายหนุ่มก็หรี่ตาจ้องนางอย่างเกรี้ยวกราด “ทำไมถึงมาช้าจัง?”

ตอนนี้เขาหงุดหงิดมาก อธิบายจิตใจอันสับสนวุ่นวายไม่ถูก

หนานหว่านเยียนรู้สึกเหมือนกู้โม่หานกินรังแตนเข้าไป ขณะที่กำลังจะโต้กลับ ก็เหลือบไปเห็นไทเฮาที่มีหลี่หมัวมัวคอยประคองอยู่ข้างกาย เพียงชั่วพริบตาก็กลืนคำพูดที่ต้องการจะพูดกลับลงไป

นางแสร้งทำเป็นนั่งลงข้างกายกู้โม่หานอย่างนิ่มนวลและเอาใจ “หม่อมฉันยังล้างหน้าแต่งตัว เสียเวลาไปหน่อย”

กู้โม่หานชะงักงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะรู้สึกตัว ให้ความร่วมมืออย่างเย็นชา ไม่พูดอะไรอีก

ไทเอาพยักหน้าอย่างพึงพอใจ จากนั้นจึงเดินออกมา นั่งลงที่เก้าอี้หลัก

ใบหน้าหญิงชรากลั้นความรู้สึกภาคภูมิใจและมีความสุขไว้ไม่อยู่ นางมองหนานหว่านเยียนด้วยความรัก กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและเป็นห่วง “เยียนเอ๋อร์ เมื่อคืนราบรื่นดีไหม?”

หนานหว่านเยียนหลุบตาลงยิ้มเขิน เอามือขวาปิดหน้า “ทูลเสด็จย่า ดีมากเพคะ”

ดีเสียจนผู้คนปรบมือกรีดร้อง!

ไทเฮาตอบรับเบาๆ มองไปยังกู้โม่หานอย่างเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง แต่พอเห็นใบหน้าของเขา ก็รู้สึกตกใจทันที

“หน้าเจ้าไปโดนอะไรมา?”

ใบหน้าของกู้โม่หานแดงก่ำ บวมเล็กน้อย ไม่มีรอยนิ้วมือที่ชัดเจน แต่มันปวดแสบปวดร้อนมาก

เขาเหลือบมองหนานหว่านเยียนอย่างเด็ดเดี่ยว พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ทูลเสด็จย่า ไม่ทันระวังไปกระแทกเข้า”

หนานหว่านเยียนเชื่อว่าเขาพูดออกไปไม่ได้ว่าถูกนางทุบตี จึงนิ่งเงียบไป

ไทเฮาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ยาเมื่อคืนน่าจะแรงมาก เกรี้ยวกราดเป็นเรื่องปกติ จึงไม่คิดอะไรมาก

“เดี๋ยวค่อยทายา แต่ว่า เมื่อคืนเจ้าอ่อนโยนกับนางบ้างหรือเปล่า เยียนเอ๋อร์ร่างกายบอบบาง เจ้าทำให้นางเจ็บหรือเปล่า?”

คำถามของไทเฮาตรงประเด็นไม่หลบเลี่ยงเลย กู้โม่หานนึกขึ้นมาทีไรไฟโทสะภายในใจก็พวยพุ่ง ขณะที่เขากำลังจะระบายอารมณ์ ก็ได้ยินหนานหว่านเยียนใช้เสียงคำรามขู่ขวัญก่อน

นางยิ้มให้ไทเฮา ครู่เดียวก็มองกู้โม่หานด้วยสายตารักใคร่ “เสด็จย่าไม่ต้องห่วง ท่านอ๋องฝ่าบาททรงอ่อนโยนต่อหลานมาก หลานมีความสุขในจวนอ๋องเพคะ”

“เมื่อคืนก็ยิ่ง มีความสุขมากเป็นพิเศษเพคะ”

นางนั่งลง รินน้ำชาให้กู้โม่หาน “ท่านอ๋องกระหายน้ำแล้วใช่ไหม? ชานี้หม่อมฉันว่าหอมมาก ท่านลองชิมดูสิ”

ว่าแล้วหนานหว่านเยียนก็เบือนหน้าหลบอย่างเขินอาย

กู้โม่หานทอดสายตาเย้ยหยัน รับถ้วยชามาอย่างเงียบๆ

แน่นอน หนานหว่านเยียนยังเป็นจอมโกหกเช่นเคย เรื่องแบบนี้นางเอ่ยปากเล่าโดยไม่ลังเลเลยสักนิด

แล้วเขาจะรู้สึกเบื่อหน่ายเพราะคนอย่างนางได้อย่างไร?

เขาต้องไสยศาสตร์แน่!

ไทเฮามีความสุขเหมือนดอกไม้เบ่งบาน ได้ยินหนานหว่านเยียนพูดเช่นนี้ แผนของนางเมื่อวานช่างไร้ที่ติ!

นางตื่นเต้นมาก รีบให้หลี่หมัวมัวไปสั่งการห้องเครื่องวังหลวงให้ปรุงอาหารมาอีกสองสามอย่าง “เยียนเอ๋อร์ กินให้มากๆ อิ่มแล้วถึงจะมีกำลัง เจ้าดูตัวเจ้าสิ ผอมจนเหลือแต่โครงกระดูกแล้ว”

“ไม่กินอาหารบำรุงร่างกายไม่ได้นะ!”

“เจ้าก็ด้วย เป็นผู้ชายก็ต้องกินให้มากหน่อย หากเจ้าไม่กินให้มากกว่านี้ จะมีแรงมีเหลนให้ข้าเร็วๆ ได้ยังไง”

เหลน?

กู้โม่หานเสียงเย็นชา ดวงตาดำขลับเปล่งประกายเย็นวาบ

เขาทนไม่ไหวอีกต่อไป “วิธีการสกปรกเช่นนี้ หลานหวังว่าวันหลังเสด็จย่าจะไม่ใช้อีก”

“มิฉะนั้น เสด็จย่าอย่ามาโทษหลานก็แล้วกัน…”

ทันทีที่กู้โม่หานพูดเช่นนี้ออกมา ไทเฮาก็มีสีหน้าเคร่งรึม “เจ้าพูดอะไร?”

นางมีใบหน้าดุจหงส์อำนาจอันน่าเกรงขาม พอตวาดเสียงดังก็ทำให้ทุกคนที่อยู่รอบตัวตกใจจนไม่กล้าเงยหน้า

ทันใดนั้นบรรยากาศในตำหนักหลวนเฟิ่งก็ตึงเครียด หนาวเย็นลงถึงขีดสุดภายในชั่วพริบตา…