นางฟื้นขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิด

 

 

เมื่อจิตสำนึกเพิ่งคืนสู่ร่างกายก็รู้สึกได้เพียงความเจ็บปวด ความเจ็บปวดที่ไม่มีที่สิ้นสุด ดั่งเพลิงนิลที่ลุกไหม้กำลังลุกลามแผดเผาภายในส่วนลึกของร่างกาย ที่ซึ่งเปลวเพลิงพาดผ่าน กล้ามเนื้อโลหิตแหลกสลาย เส้นเอ็นเส้นเลือดม้วนขด อวัยวะภายในร่างกายต่างคล้ายกลายเป็นเถ้าธุลี

 

 

จิตใจทั้งหมดของนางถูกนำมาต้านทานความเจ็บปวดหลายระลอกนี้ก่อน ผ่านไปสักพักคล้ายจะไม่เจ็บขนาดนั้นแล้ว คล้ายเจ็บจนมึนชาแล้วด้วย นางถึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา

 

 

ความรู้สึกแรกคือทำไมตัวเองยังไม่ตาย?

 

 

ความรู้สึกต่อมาคือ โอ้ จริงด้วย ต้องเจ็บปวดทรมานสามวันสามคืนก่อนสิถึงจะตายได้

 

 

วาจาของเฟยหลัวดังก้องอยู่ข้างหูว่า ‘…ฝ่าบาท ยานี้พวกหม่อมฉันตั้งอกตั้งใจตระเตรียมเพื่อพระองค์ มันทำให้ทั่วพระวรกายของพระองค์ค่อยๆ แข็งทื่อ อวัยวะภายในเน่าเปื่อยจนสวรรคต ใช้เวลาสามวันสามคืน หลังจากผ่านไปสามวัน พระองค์จะทรงกลายเป็นซากศพทว่าพระพักตร์ดั่งยามมีพระชนม์ชีพ’

 

 

นางถอนหายใจออกมา ยามนี้ไม่รู้ว่าควรร้องไห้หรือควรหัวเราะดี ตายแล้วยังสวยอยู่นับว่ามีประโยชน์ด้วยหรือ?

 

 

ในใจพวยพุ่งด้วยความว้าวุ่นใจระลอกหนึ่ง ซ้ำยังมีเพลิงพิษสีดำหอบหนึ่งแผดเผาจนนางร้อนใจไม่สงบสุข…ทำไมไม่ตาย! ทำไมถึงไม่ตาย!

 

 

ตายแล้วก็จะทะลุมิติกลับไปได้!

 

 

ตายแล้วก็จะไม่ต้องหวนรำลึกเรื่องราวบ้าบอพวกนี้!

 

 

ตายแล้วก็จะได้ไม่ต้องคิดถึง…

 

 

นางอยากสะบัดศีรษะอย่างรุนแรง สะบัดให้ความทรงจำแห่งโลหิตและเปลวไฟที่แวบเข้ามาภายในสมองทิ้งไป นางนึกว่าตนเองออกแรงมากแล้ว ทว่าลำคอขยับเขยื้อนเพียงเล็กน้อย คอหอยเปล่งเสียงครวญครางเลือนรางระลอกหนึ่งออกมา

 

 

นิ้วมือนิ้วหนึ่งพลันลูบบนหน้าผากของนาง

 

 

ทั่วร่างของจิ่งเหิงปัวแข็งทื่อในทันที

 

 

มีคน!

 

 

มีคนด้วย!

 

 

นางเบิกตากว้างอย่างตื่นตระหนก…อุโมงค์ใต้ดิน ความมืดมิดไร้ขอบเขต นิ้วมือเย็นเยียบนิ้วหนึ่ง…

 

 

เจอผีดิบเข้าแล้วเหรอ!

 

 

นางดวงซวยขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย!

 

 

ตายด้วยเงื้อมมือผีดิบหรือตายเพราะถูกยาพิษทรมาน ไม่ว่าแบบไหนนางก็รับไม่ได้อย่างแรงเลย!

 

 

นางอยากจะกรีดร้องออกมา ดิ้นรนอยู่ครู่ใหญ่แต่ก็ยังคงเปล่งออกมาได้เพียงเสียงครวญครางแหบพร่า เจ็บเหลือเกิน เจ็บจนนางไม่มีความสามารถในการต่อต้านใดๆ เลย เจ็บจนสติปัญญาของนางลอยล่อง รู้สึกได้เพียงนิ้วมือเย็นเยือกของผีดิบที่กำลังจับชีพจรของนางอย่างรำไร จากนั้นก็ค่อยๆ ประคองนางขึ้นมาแล้วย้ายนางมาบนหลังของตนเองอย่างเชื่องช้า

 

 

ครู่หนึ่งนั้นที่ถูกแบกขึ้นไป นางกังวลเป็นอย่างมากว่าจะเจอขนยาวฟูฟ่องอะไรแบบนั้นหรือเปล่า แต่ว่าก็ไม่เจอขนอะไรทั้งนั้น ใต้ร่างคือเนื้อผ้าเย็นเยียบ หยาบกระด้างนิดหน่อย หลังค่อมเล็กน้อย ไม่นับว่าใหญ่กว้าง

 

 

ผีดิบไม่มีขนตัวนี้คิดจะแบกนางเข้าไปในโลงศพของเขาเพื่อใช้ชีวิตในโลกหลังความตายด้วยกันเหรอ?

 

 

นางดิ้นรนไม่ไหวและไม่อยากดิ้นรนด้วย อยากจะทำอะไรก็ทำไปเลย

 

 

ความเจ็บปวดของร่างกายและการอุดตันที่หน้าอกทำให้นางไม่อยากหวนรำลึกถึงอะไรทั้งนั้น ไม่อยากเผชิญหน้ากับอะไรทั้งนั้น ได้แต่ปลดปล่อยตนเองให้ครุ่นคิดเพ้อเจ้อ ใช้ความคิดสับสนวุ่นวายเหล่านั้นปกคลุมอดีตหิมะโปรยโลหิตหลั่งพวกนั้น

 

 

นางกลัวว่าพอตนเองสงบลงมาแล้วจะกรีดร้องร่ำไห้ ใจสลายเสียสติ ตายแบบนั้นต้องน่าเกลียดมากแน่นอน ในเมื่อตายแบบงดงามได้แล้ว ทำไมต้องจากไปแบบน้ำมูกน้ำตาเต็มหน้าด้วย?

 

 

ผีดิบใต้ร่างเดินช้ามาก เดินไม่กี่ก้าวแล้วหยุดพัก บางครั้งยังต้องลูบคลำกำแพง นางได้ยินเสียงหอบหายใจของเขาอย่างเลือนราง รู้สึกว่าเป็นชายสูงวัยคนหนึ่ง

 

 

ในความทรงจำของนางไม่เคยพบเจอคนแบบนี้

 

 

แผ่นหลังนี้แกว่งไกวสั่นไหว แต่นางกลับรู้สึกสบายใจขึ้น ผ่านไปเนิ่นนานถึงได้เสียงกลับคืนมา

 

 

“เจ้า…คือผู้ใด”

 

 

เสียงสะท้อนก้องในอุโมงค์ยาว ฟังแล้วดั่งมายา

 

 

ผีดิบที่แบกนางอยู่ไอโขลกแผ่วเบาระลอกหนึ่ง เสียงแหบแห้งล็กน้อย

 

 

“ฝ่าบาท…พระองค์ทรงดีขึ้นหรือยัง…”

 

 

พอได้ยินคำตอบในใจนางก็สงบลง เขาไม่ใช่ผีดิบ จากนั้นก็ฝืนหัวเราะออกมาเสียงหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “คนใกล้ตาย รู้สึกดีหรือไม่สำคัญนักหรือ?”

 

 

เขาไม่ตอบ เดินไปหลายก้าวแล้วเอ่ยว่า “พิษของพระองค์ไม่ได้หนักหนาเสมือนจินตนาการ พระองค์สวรรคตไม่ได้หรอก…อย่างไรเสียพระองค์ก็ได้เสวยยาถอนพิษแล้ว”

 

 

นางรู้สึกยินดีอยู่ในใจ จากนั้นก็เจ็บปวดอีกครั้ง กล่าวว่า “จริงหรือ?”

 

 

ไม่รู้เลยว่าควรดีใจหรือว่าเสียใจ เหมือนจะดีเหลือเกินที่ไม่ต้องตาย ไม่ว่าตายแบบไหนความเป็นไปได้ที่จะทะลุมิติกลับไปก็มีน้อยมาก แต่การมีชีวิตอยู่ก็เท่ากับต้องทำเรื่องราวมากมายหลายหลาก ต้องดิ้นรนเริ่มต้นอีกครั้ง แต่นางอ่อนแรงถึงเพียงนี้แล้ว

 

 

“…บำรุงรักษาให้ดี…พระองค์จะทรงดีขึ้น…” เขาเอ่ยประโยคหนึ่งแล้วไอโขลกออกมา รู้สึกได้ถึงวัยไม้ใกล้ฝั่ง เพลิงแห่งชีวิตใกล้จะมอดดับในครู่ต่อมา

 

 

“เจ้าช้าลงหน่อย…” นางกล่าวอย่างกังวล จากนั้นก็ถอนหายใจอีกครั้ง กล่าวว่า “บำรุงรักษาให้ดี…ใต้ฟ้านี้ยังมีสถานที่ให้ข้าหลบพักอาศัยหรือ…”

 

 

“ไม่ต้องกลัว ฝ่าบาท” เขาเอ่ยว่า “รากฐานของพระองค์อยู่ในหมู่ราษฎร กลับสู่ราษฎร พระองค์ถึงจะทรงกลับมามีอำนาจอีกครั้ง พระราชวังรังแต่จะยิ่งผูกมัดพระองค์มากขึ้น ควบคุมพระองค์ กักขังพระองค์ไว้ จนกระทั่ง…ฝังพระองค์ทั้งเป็น”

 

 

นางนิ่งเงียบ

 

 

ชีวิตไม่ใช่วิธีคำนวณแบบหนึ่งบวกหนึ่ง ไม่ใช่ถูกลบออกไปแล้วจะบวกคืนมาได้ทันที นางรู้ว่าตนเองควรโกรธ ควรเกลียด ควรฮึกเหิมขึ้นมาชักกระบี่ร้องว่าจะแก้แค้น แต่ตอนนี้ อย่างน้อยที่สุดก็ในตอนนี้ นางอับจนหนทาง

 

 

ทุกหนแห่งบนพื้นมีศัตรูของนางอยู่ทั้งนั้น ส่วนนางบาดเจ็บสาหัสจนถูกตาแก่คนหนึ่งแบกเดินอยู่ใต้ดิน อนาคตมืดมนไร้แสงสว่างเสมือนอุโมงค์แห่งนี้

 

 

ชุ่ยเจี่ยตายแล้ว จิ้งอวิ๋นหักหลังนางแล้ว อีกทั้ง อีกทั้งคนคนนั้น…

 

 

ลมหายใจของนางพลันจุกแน่นอยู่ในลำคอ ตรงหน้ามึนงงจนมองเห็นดาว คล้ายถูกคนฟันด้วยมีดครั้งหนึ่งตรงหน้าอกอีกครั้ง

 

 

ความรู้สึกลึกล้ำตั้งแต่ตอนไหน คิดถึงเขาดุจผ่านพ้นชั่วชีวิต ชื่อชื่อเดียวดั่งเป็นรอยแผลรอยหนึ่ง สัมผัสแผ่วเบาเพียงครั้งเถือเนื้อเถือหนัง โลหิตชุ่มโชก

 

 

นางได้แต่หัวเราะเหอะๆ

 

 

ช่างแม่งเขาสิ! เป็นแบบนี้แล้วยังนึกถึงอีก ยัยสารเลวเอ๊ย!

 

 

นางด่าตนเองอย่างรุนแรงหลายประโยคอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ ซบกายถอนหายใจอยู่บนหลังคนคนนั้น

 

 

“…เจ้าคือผู้ใดกันแน่…”

 

 

“ฝ่าบาททรงไม่รู้จักกระหม่อม…” เขาไอโขลก เอ่ยพลางยิ้มแย้มว่า “ขันทีชราคนหนึ่งในวัง…ชราจนแม้แต่ตนเองยังแทบจะลืมนามตนเสียแล้ว”

 

 

นางฟังเสียงไอโขลกว่างเปล่าของเขาอยู่ ลูบหลังของเขาอย่างสงสารอยู่บ้าง

 

 

หลังของเขาแข็งทื่ออย่างยิ่ง หนาวเย็นเล็กน้อย

 

 

“เจ้า…หาที่นี่เจอได้อย่างไร…เหตุใดถึงมาช่วยข้า…”

 

 

“ฝ่าบาททรงเคยช่วยเหลือคนมากมาย…ในวัง…” เขาเอ่ยว่า “มีครั้งหนึ่งกระหม่อมได้รับบาดเจ็บ ไร้เงินรักษา ฝ่าบาทเป็นผู้ตรัสให้คนนำเงินมาช่วยกระหม่อม…”

 

 

จิ่งเหิงปัวรู้สึกอย่างเลือนรางว่าเหมือนจะเคยมีเรื่องแบบนี้ คล้ายมีครั้งหนึ่งจื่อหรุ่ยเอ่ยว่าขันทีชราที่ดูแลตำหนักปีกคนหนึ่งน่าสงสารยิ่งนัก นางจึงสั่งให้คนไปดูแลสักหน่อย เรื่องราวแบบนี้ขณะอยู่ในวังนางทำไว้มากมาย จำได้ไม่ชัดเจนจริงๆ ว่าใครเป็นใคร

 

 

“…ราชินีหมิงเฉิงเปิดตำหนักบรรทมใต้ดิน สั่งให้คนค้นหาองค์ฝ่าบาท ทุกคนต่างหวาดกลัวไม่น้อย กระหม่อมคนต่ำต้อยวาจาย่อมไม่มีน้ำหนัก ถูกแยกไปตรวจสอบยังอุโมงค์ที่ไกลโพ้นที่สุด เดินไปคนเดียวไกลนัก ผลักประตูบานหนึ่งโดยไม่ตั้งใจจึงมองเห็นองค์ฝ่าบาท…”

 

 

นางคิดอย่างมึนงงวิงเวียน จริงด้วยสิ ทางสัญจรใต้ดินแห่งนี้ของจักรพรรดินีผู้สถาปนาแคว้นไม่อาจเรียกว่าทางสัญจรด้วยซ้ำ เรียกว่าวังใต้ดินถึงจะถูกต้อง ครั้งแรกที่นางกับยงเสวี่ยพบตำหนักใต้ดินเข้าก็ตกตะลึงจนแน่นิ่งไปเลย สิ่งปลูกสร้างใต้ดินกว้างใหญ่งดงาม เส้นทางเชื่อมต่อทั่วถึงกัน พอมองแล้วทำให้คนนึกว่าพระราชวังบนดินถูกย้ายลงมาใต้ดินแล้ว นางกับยงเสวี่ยต่างไม่กล้าเดินให้มาก แค่เลียบตามเส้นทางสายหนึ่งก็ได้พบของสำคัญมากมายหลายอย่าง ถ้าจะสำรวจที่นั่นจริง ใช้เวลาครึ่งปีหรือปีเดียวคงไม่พอ

 

 

นางรู้สึกว่าตำหนักใต้ดินแห่งนั้นคงไม่ใช่สถานที่ที่ราชินีทุกนางจะเข้าไปได้ จิ้งอวิ๋นรู้ทางเข้าอาจจะเป็นเหตุบังเอิญพอดี ไม่อย่างนั้นแผนภาพพระราชวังบนม้วนผ้าไหมคงไม่หลุดรอดมาถึงมือนางได้

 

 

อุโมงค์มืดมิดคล้ายยาวไกลอย่างยิ่ง เสียงไอโขลกแผ่วเบาและเสียงหอบหายใจเล็กน้อยของเขาดังอยู่

 

 

นางหวาดกลัวความเงียบเชียบแบบนี้เล็กน้อย มันทำให้นางนึกถึงเรื่องมากมายที่ไม่ควรนึกถึง ใบหน้าของชุ่ยเจี่ย รอยยิ้มของจิ้งอวิ๋น ใบหน้าเย็นชาของเหล่าขุนนาง อีกทั้ง…นางส่ายหน้าอย่างว้าวุ่นใจ พยายามหาหัวข้อสนทนาอย่างอื่น กล่าวว่า “…พวกเรามาคุยเล่นกันเถิด…เจ้าเป็นคนที่ใด…”

 

 

“แคว้นอวี่…”

 

 

“หาก…” นางนึกถึงปัญหาหนึ่งขึ้นมากะทันหัน กล่าวต่อไปว่า “หากข้าอยากจากไป ไปที่ใดจึงจะเหมาะสมที่สุด?”

 

 

“สำหรับต้าฮวงแล้ว หากเอ่ยถึงระดับความปลอดภัย…” เขาเอ่ยพลางทั้งไอทั้งหอบว่า “มีวาจาเก่าแก่เอ่ยว่า…ตี้เกอไม่สู้หกแคว้น หกแคว้นไม่สู้แปดชนเผ่า แคว้นบนสี่แคว้นไม่สู้แคว้นล่างสี่แคว้น…”

 

 

“หมายความว่าอย่างไร”

 

 

“ต้าฮวงมีโครงสร้างซับซ้อน โครงสร้างซับซ้อนเช่นนี้ แน่นอนว่ายิ่งห่างไกลยิ่งดี ยิ่งใกล้ศูนย์กลางยิ่งไม่ปลอดภัย”

 

 

นางคิดดูแล้วจริงด้วย คนคนนั้นเคยสอนนางแบบนี้เช่นกัน…

 

 

“เช่นนั้นเจ้าว่าชนเผ่าใดดีที่สุด” นางตั้งคำถามใหม่ออกมาทันที ขัดขวางความรู้สึกนึกคิดของตนเอง

 

 

“…ไต้เม่าหรือเฉินเถี่ยกระมัง…”

 

 

“เฉินเถี่ยไม่ใช่แคว้นบนสี่แคว้นหรือ?”

 

 

“เป็นสองแคว้นที่ตำแหน่งที่ตั้งค่อนข้างใกล้ศูนย์กลางในหมู่หกแคว้นแปดชนเผ่า…และเป็นสองแคว้นที่คบค้าสมาคมกับหกแคว้นแปดชนเผ่าบ่อยครั้ง ราษฎรมีนิสัยซื่อสัตย์ อำนาจของกษัตริย์ค่อนข้างมั่นคง ตำแหน่งดีด้วย ไปยังแคว้นใดชนเผ่าใดต่างไม่นับว่าไกล เผ่าไต้เม่านั้นอยู่ข้างบึงโคลนเฮยสุ่ย ฟังดูแล้วน่ากลัวยิ่งนัก ทว่าด้วยเพราะเหตุนี้เองจึงทำให้คนไม่กล้าเข้าไปโดยง่าย เพียงแต่ในเมื่อมีการป้องกันขั้นหนึ่งนี้ ฉะนั้นที่นั่นจึงมีพ่อค้าเสี่ยงโชคเสี่ยงอันตรายกลุ่มหนึ่งชุมนุมอยู่ และมีหัวหน้าโจรที่หลบหลีกการไล่ล่าของทางการ ซ้ำยังมีบุคคลที่ก่อกบฏถูกเนรเทศจากต่างแคว้นต่างชนเผ่า คนดีคนเลวปะปนกัน ปะทะกันด้วยกำลังอาวุธอย่างต่อเนื่อง ที่นั่นผลิตกระดองเต่ากระที่โด่งดังล้ำค่ามากมาย ส่วนบึงโคลนเฮยสุ่ยแม้ว่าน่ากลัว ทว่ารอบด้านมีผลิตผลมหัศจรรย์ซึ่งที่อื่นไร้หนทางเทียบเคียง เป็นสวรรค์ให้นักผจญภัยได้ช่วงชิงตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ที่นั่นอำนาจโผล่ขึ้นได้ง่ายดายยิ่งนัก และพินาศสูญสิ้นในชั่วพริบตาได้ง่ายดายยิ่งนักเช่นกัน…ทว่าเรื่องนี้เป็นตำนานที่กระหม่อมได้ยินมา ฝ่าบาททรงเป็นสตรีนางหนึ่ง อย่าเสด็จไปเสี่ยงอันตรายในสถานที่ซับซ้อนนั่นจะดีที่สุด…” ขันทีชราเอ่ยวาจาท่อนใหญ่ท่อนหนึ่ง หายใจหอบฮืดฮาด ฝีก้าวเชื่องช้ามากยิ่งขึ้น

 

 

จิ่งเหิงปัวร้อง “อ้อ” เสียงหนึ่ง ไม่ออกความเห็น