“…เล่ากันว่าเผ่าไต้เม่ามีบุคคลมหัศจรรย์ผู้หนึ่ง…ต่อไปหากฝ่าบาทเสด็จประพาสที่นั่นอาจจะมีโอกาสได้พบ…หากคนผู้นั้นยอมช่วยพระองค์…ทุกสิ่งอาจจะเปลี่ยนแปลงไป?”
“โอ้?” นางถามอย่างเกียจคร้าน ไม่ได้มีความสนใจมากนัก
“เล่ากันว่าเป็นคนที่ถูกเรียกว่าท่านมู่…” เขาเอ่ยว่า “คนผู้นี้ลึกลับซ้อนไม่เปิดเผยตน ทว่าเอ่ยกันว่าภายใต้การควบคุมของเขานั้น เผ่าไต้เม่าเฮยสุ่ยที่ซับซ้อนถึงไม่เคยปรากฏเหตุร้ายใหญ่โตเป็นเวลานานหลายปีขนาดนี้ เขามีอำนาจที่นั่นมากนัก หากฝ่าบาททรงได้พบเขา อย่างน้อยที่สุดอย่าได้ล่วงเกินเขา…”
“โอ้ รู้แล้ว” นางยังคงฟังไปเรื่อยเปื่อย ไม่คิดจะใส่ใจ
อนาคตเปลี่ยนไปไกลมากกะทันหัน นางไม่มีเรี่ยวแรงครุ่นคิดให้มากมาย
ข้างหลังพลันมีเสียงฝีเท้าดังแว่วเข้ามา จิ่งเหิงปัวตื่นตระหนก ขันทีชราตัวสั่นเทิ้มเช่นกัน เอ่ยด้วยเสียงลนลานว่า “มีคนไล่ตามมาแล้ว…”
“เหตุใดเส้นทางยังไม่สิ้นสุดอีก…” นางฟังเสียงฝีเท้าที่ยิ่งใกล้เข้ามาอย่างวุ่นวายใจไม่น้อย เหมือนจะมีมากกว่าหนึ่งคน ซ้ำยังมีแสงสว่างเปล่งประกายเลือนราง ทว่าไม่ใช่สาดส่องมาโดยตรงแต่สะท้อนเปลี่ยนทิศทางอยู่บนกำแพง นางคล้ายเข้าใจขึ้นมา กล่าวว่า “ที่นี่คงไม่ใช่อุโมงค์วงกลมกระมัง…หรือว่าพวกเราเดินวนเป็นวงกลมมาโดยตลอด?”
ขันทีชราคล้ายรีบร้อนจนไร้ทางเลือก ล้มลุกคลุกคลานวิ่งไปข้างหน้า นางได้ยินเสียงหอบหายใจหนักหน่วงของเขา ในใจทนไม่ได้ อยากดิ้นรนลงมาเดินเอง แต่เขากลับกดหลังของนางไว้แน่น
นางสัมผัสมือของเขาโดยไม่ตั้งใจ นางชะงักไปเล็กน้อย…เย็นจัง
ความเย็นเยียบแบบนี้คล้ายคุ้นเคยอยู่บ้าง ในใจของนางเต้นระรัว แต่ครู่ต่อมาสัมผัสโดนเล็บของเขากลับร้อนผ่าว ซ้ำยังร้อนมากอีกด้วย
หัวใจที่เต้นระรัวพลันสงบลงดังตึ่กเสียงหนึ่ง
อา ไม่ ไม่ใช่
จากนั้นนางก็ยิ้มเยาะเย้ยตนเองเสียงหนึ่ง…จะใช่ได้อย่างไร!
ทำไมยังต้องคิดถึงเขา!
นางตบตัวเองอย่างแผ่วเบา ประณามความไม่สมควรของตนเอง แขนยกขึ้นชนเข้ากับกำแพงที่อยู่ข้างหนึ่งโดยพลัน
แครก เสียงหนึ่งดังแผ่วเบา กำแพงพลันหายไป เดิมทีนางกับขันทีชราแนบชิดติดกำแพงอยู่แล้ว เรือนร่างโซเซเพียงครั้งทิ่มเข้าไปในทันใด
เพิ่งเข้าไปคล้ายจะเป็นพื้นผิว เสียงครืนดังขึ้น สองคนเกลือกกลิ้งอยู่ชั่วครู่ ร่วงลงน้ำใต้ดินเย็นเยียบดังตู้มคราหนึ่ง
จิ่งเหิงปัวถูกกระตุ้นจนร้อง “อ๊าก” ออกมา ขณะนี้ร่างกายถูกกระตุ้น ความรู้สึกกลับค่อยๆ ฟื้นคืนมา ความสามารถในการขยับเขยื้อนแขนขากลับมาแล้วเช่นกัน แขนขาสองข้างแหวกว่ายไปข้างบนโดยจิตใต้สำนึก
ขณะที่ว่ายน้ำนางยังลากขันทีชรานั่นไว้ด้วย รู้สึกว่าขันทีชราว่ายน้ำเป็นเช่นกัน ซ้ำความสามารถในการว่ายน้ำยังค่อนข้างน่าอัศจรรย์ ในเวลาเดียวกันที่ตนเองแหวกว่ายเขายังผลักนางขึ้นไปข้างบนอย่างต่อเนื่อง
ข้างหลังมีเสียงขยับเขยื้อนลงน้ำคล้ายพลไล่ล่าตามลงน้ำมาด้วยแล้ว จิ่งเหิงปัวร้อนอกร้อนใจ ขันทีชราตามอยู่ข้างหลังนางโดยตลอด ผลักนางขึ้นไปข้างบน
ว่ายน้ำอยู่ระลอกหนึ่ง ก็พลันมองเห็นข้างบนคล้ายมีแสงสว่าง แสงขาวซีดเป็นเส้นเดียวแผ่ขยายออกมาจากบนศีรษะอย่างเงียบเชียบ
เกือบจะถึงทางออกแล้ว ดูท่าทางจะเป็นแม่น้ำหรือทะเลสาบอะไรสักแห่ง
นางวางใจเล็กน้อย หันหลังจะไปลากขันทีชรา น้ำในแม่น้ำพลันขึ้นลงเป็นคลื่นรุนแรงระลอกหนึ่ง เงาดำเหินว่อนรำไรคล้ายคนกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งตามขึ้นมาแล้ว
นางตื่นตระหนก รีบเร่งไปคว้าขันทีชราแต่กลับพบเจอกับความว่างเปล่า มือคู่หนึ่งค้ำยันฝ่าเท้านาง ส่งนางขึ้นไปข้างบนอย่างรุนแรง
นางโผล่ขึ้นมาจากน้ำดัง ซ่า! เบื้องหน้าเป็นฝั่งแม่น้ำที่มีคลื่นธารเปล่งประกายอย่างที่คิดไว้ นางมาถึงริมฝั่งแล้ว
นางเกาะอยู่ริมฝั่งแล้วหันหลังกลับ มองเห็นข้างใต้มีคลื่นน้ำวนเวียนขึ้นลงระลอกหนึ่งคล้ายมีคนกำลังต่อสู้ เงาขาวซีดกะพริบวูบรำไร ของสิ่งใดสิ่งหนึ่งถูกลากลงไปแล้ว
ครู่หนึ่งที่ถูกลากลงไปนั้น นางยังมองเห็นมือข้างหนึ่งโบกไปมาให้นางอย่างเด็ดเดี่ยวในระลอกคลื่นน้ำลึก
ไป!
นางมองสัญญาณมือนั้นเข้าใจ กัดฟันกรอด
ถึงลงไปก็ช่วยคนไว้ไม่ได้ แค่ทิ้งชีวิตของตนเองไปเสียเปล่า
นางทำร้ายคนมามากมายแล้ว ติดหนี้คนมามากมายแล้ว ครั้งนี้ติดค้างไว้อีกสักครั้งเถอะ!
สักวันหนึ่ง นางจะชำระสะสางคืนไปให้หมด!
คลื่นน้ำข้างหลังซัดสาด นางไม่รู้ว่ามีพละกำลังมาจากไหน พลิกร่างครั้งหนึ่งขึ้นไปบนฝั่ง โซซัดโซเซลุกขึ้น ร่างยังไม่ทันยืนให้มั่นคง เรือนร่างกะพริบวูบ
หายไปจากตำแหน่งเดิม
…
นางไม่ได้เคลื่อนย้ายไปไกลมาก
ครู่ต่อมานางล้มลงบนพื้นด้วยทั่วร่างชุ่มโชก ใต้ร่างกายคือพื้นชื้นแฉะเย็นเยียบ
ห่างออกไปไม่ไกลมีเสียงกรีดร้องดังขึ้น ฟังดูคล้ายเป็นสตรี นางฝืนยิ้มออกมาอย่างมึนงงเล็กน้อย ไม่มีพละกำลังวิ่งหนีอีกแล้ว
เอาแบบนี้ล่ะ อยากทำอะไรก็ทำไปเลย
นางหมอบอยู่บนพื้น ไม่รู้สึกหนาวและไม่รู้สึกเจ็บปวด รู้สึกเพียงอ่อนเพลีย ราวกับว่าความอ่อนเพลียย้อนทวนขึ้นมาจากส่วนลึกของวิญญาณ ทำให้นางไร้หนทางขยับเขยื้อน อย่างมากทำได้เพียงยืนหยัดไว้ไม่ให้ตนเองสลบไสลไปในทันที
ห่างไปไม่ไกล สตรีนางหนึ่งยืนอยู่ริมทะเลสาบ จ้องมองสตรีที่เส้นผมยาวสยายทั่วร่างย่ำแย่นางนั้นในพื้นหิมะอย่างตื่นตกใจ ชะงักงันอยู่ชั่วครู่ไม่กล้าเข้าใกล้ หันกายครั้งหนึ่งแล้ววิ่งหนีไป
…
จิ่งเหิงปัวมึนงงวิงเวียนได้ยินเสียงเจรจากันวุ่นวาย จอกแจกจอแจ ทำให้คนว้าวุ่นใจ
ข้างกายอบอุ่นอย่างยิ่ง ได้กลิ่นไอควันของกระถางไฟ ใต้ร่างกายนุ่มนวลเกลี้ยงเกลา บ้านที่มีฟูกนอนแบบนี้ได้ต้องเป็นตระกูลผู้ดีแน่นอน
“สตรีนางนี้ที่มาที่ไปไม่ชัดเจน ต้องรายงานเจ้านาย”
“คืนนี้ตี้เกอไม่สงบ อย่างไรเสียโยนออกไปลดปัญหาดีกว่า”
“เจ้านายไม่อยู่ ก่อนหน้านี้ออกไปอย่างรีบร้อน จนยามนี้ยังไม่กลับมา”
“ตี้เกอเกิดเรื่องขึ้นแล้ว เรื่องราววุ่นวายใหญ่โตยิ่งนัก หลายคนถูกขวางไว้ที่จัตุรัสหวงเฉิง ประตูจิ่วประกาศภาวะฉุกเฉิน อวี้จ้าวเคลื่อนพลเข้าพระราชวังแล้ว ยามนี้คนของจวนเราอย่าก้าวออกไปจากประตูแม้เพียงก้าวเดียวจะดีที่สุด”
“ตี้เกอเกิดเรื่องใดขึ้น”
“ได้ยินว่าเกี่ยวกับราชินี…เรื่องนี้ไม่ต้องสนทนาจะดีกว่า…ช้าก่อน!”
จิ่งเหิงปัวที่กึ่งสลบไสลจิตใจดิ่งวูบ
จากนั้นเสียงอุทานอย่างตกตะลึงดังขึ้น
“นางคือราชินี!”
“นางมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
จิ่งเหิงปัวแอบด่าตนเอง แต่ก่อนเปิดเผยตัวตนขนาดนั้นทำไมกัน? ตี้เกอมีคนมากมายแค่ไหนเคยเห็นตนเอง? ลี้ภัยแบบนี้ยังปลอดภัยได้อีกเหรอ?
ไม่ต้องพูดถึงลี้ภัยคราวหน้าเลย ตอนนี้อาจจะถูกฆ่าหรือถูกส่งให้พวกเซวียนหยวนจิ้งก็ได้!
บรรยากาศภายในห้องกลายเป็นความอึดอัดและกดดันหลังจากรู้สถานะนาง ผ่านไปครู่ใหญ่มีคนพึมพำว่า “นึกไม่ถึงว่าราชินีจะมาปรากฏกายที่นี่…”
ผ่านไปครู่ใหญ่ก็มีเสียงสตรีแก่หง่อมเสียงหนึ่งดังขึ้นอีกครั้ง เอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ว่า “ปล่อยนางไว้ไม่ได้! ส่งออกไปโดยพลัน!”
“ส่งไปที่ใด?”
“เจ้านายไม่อยู่ พวกเราไม่อาจสังหารนางตามใจชอบ และไม่อาจส่งนางให้พวกเสนาหญิงเฟยหลัว ทว่ายิ่งไม่อาจปล่อยไว้ในจวนด้วยเพราะจะนำความยุ่งยากมาสู่เจ้านาย ส่งไปสถานที่ลับตาคนสักแห่งก่อน สถานที่ซึ่งดูคล้ายไม่มีความเกี่ยวข้องกระไรกับพวกเรา รอเจ้านายกลับมาแล้วค่อยตัดสินใจ”
“เช่นนี้ย่อมดีแน่!”
นางถูกหามขึ้นมาแล้ว สั่นไหวเชื่องช้าคล้ายเดินออกไปข้างนอก ยังเดินไม่ทันถึงปากประตูก็รู้สึกได้ถึงความหนาวเหน็บน่าหวาดกลัวพุ่งเข้ามาปะทะใบหน้า
นางฝืนยิ้มอยู่ในใจ…ตอนนี้เวลานี้ไม่ได้รับการรักษา ถูกทิ้งไว้กลางทุ่งนาป่าเขาหรือบ้านรกร้างว่างเปล่า แบบนั้นประเดี๋ยวนางก็คงจะได้ไปเจอคาร์ล มาร์กซ์แล้ว
จากสถานที่อบอุ่นอย่างยิ่งสู่สถานที่หนาวเย็นอย่างยิ่ง นางเหน็บหนาวสั่นระริก ทั่วร่างพลันแข็งทื่อเป็นท่อนไม้ ความรู้สึกตัวที่เพิ่งรวบรวมมาได้ค่อยๆ สูญสลายไป
ก่อนที่จะจมดิ่งสู่ความมืดมิด นางรู้สึกขึ้นมาอย่างกะทันหันว่าเรือนร่างสะเทือนครั้งหนึ่งคล้ายชนกับของอะไรสักอย่าง จากนั้นมีคนเอ่ยด้วยเสียงเย็นชาว่า “เกิดเรื่องใดขึ้น?”
เสียงคล้ายทั้งแสนใกล้ทั้งแสนไกล เปี่ยมด้วยความประหลาดใจ
จากนั้นนางไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น
…