บทที่ 199 การแข่งขัน (2)
หนานหรงชินหวางองดูหลัวซิวในเวทีแข็ขัน และพูดอย่างเคร่งขรึม “เจ้ามีอะไรจะพูด”
เผชิญกับคำถามของราชายุทธ์หลายคน สีหน้าหลัวซิวไม่ได้เปลี่ยน ทำความคำรบต่อหนานหรงชินหวาง เอ่ยเสียงราบเรียบ “ข้าทำเพื่อคือการช่วยคนขอรับ”
“ตลก แข็งขันไม่สนความเป็นตาย หากใครๆก็สามารถช่วยคนได้ การแข่งขันจะไม่เป็นเรื่องตลกหรอกหรือ?” เหลยเว่ยหลงกล่าวพร้อมกับเยาะเย้ย
“งั้นก่อนหน้านี้มีคนช่วยชีวิตของเฉิงเซวียน หมายถึงอะไรขอรับ?” หลัวซิวโต้กลับอย่างเย็นชา
ทันทีที่คำกล่าวนี้ออกมา ปรมาจารย์ระดับ 5 ของแก๊งนักค่ายกลก็ขมวดคิ้วทันที
“เจ้าเป็นแค่ชายหนุ่มอายุน้อยคนหนึ่งเท่านั้น มีสิทธ์อะไรเทียบกับราชาจอมยุทธ์ได้? ” เหลยเว่ยหลงเยาะเย้ยอย่างดูถูก
หลัวซิวเพิกเฉยต่อการยั่วยุของเหลยเว่ยหลง สายตามองไปยังหนานหรงชินหวาง
ทุกอย่างในการต่อสู้เพื่อแย่งชิงโควต้าเ ป็นท่านผู้นี้ที่เป็นจอมยุทธ์แข็งแกร่งของราชวงศ์กษัตริย์มาเป็นผู้จัด
หนานหรงชินหวางขมวดคิ้ว “ถ้าไม่มีกฎเกณฑ์ จะไม่สามารถสร้างความแข็งแกร่งส่วนรวมได้ เว้นแต่ฝ่ายใดที่อยู่ในการแข่งขันจะยอมรับความพ่ายแพ้ ไม่มีอย่างนั้นจะไม่มีใครสามารถเข้าไปยุ่งได้ หลัวซิวและอาจารย์จู่วช่าว เข้ามาขวางการแข่งขัน ถือเป็นการละเมิดกฎ พวกเจ้าสองคนเอาหินพลังจิตออกมาคนละหนึ่งหมื่นชดเชยให้อีกฝ่าย”
ขณะพูด หนานหรงชินหวางกวาดสายตาไปทั่วผู้คน “หากใครกล้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวการแข่งขันอีก อย่าโทษข้าที่ลงโดยอย่างไร้จิตใจ!”
คำพูดของหนานหรงชินหวางนี้ ใครๆ ก็ฟังออกว่าเขาลำเอียงต่อหลัวซิว
“ท่านชินหวางนี่…”
ขณะที่เหลยเว่ยหลงกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ก็เห็นดวงตาที่เย็นชาของหนานหรงชินหวางที่มองมา “เจ้าสงสัยการตัดสินใจของข้าหรือ?”
สีหน้าของเหลยเว่ยหลงแข็งกระด้าง เขาพูดคำว่าไม่กล้าซ้ำกันหลายรอบ เขาทำได้เพียงกลืนคำที่จะพูดลงไปในท้อง
หลัวซิวหยิบแหวนเก็บของออกมาแล้วโยนให้หวางชวนที่อยู่ตรงข้ามโดยไม่พูดอะไรทันที
หวางฉวนคนนี้ เห็นได้ชัดว่าพ่ายแพ้แล้ว แต่เขากลับลอบโจมตี หากไม่ใช่สถานการณ์เป็นอย่างนี้ หลัวซิวจะไม่เลือกการประนีประนอมอย่างนี้
“อาจารย์จู่วช่าวมีข้อโต้แย้งใด ๆ ต่อการตัดสินใจของข้าหรือไม่?” หนานหรงชินหวางมองไปยังปรมาจารย์ระดับ 5 ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ
ชายชราผู้มีชื่อว่าจู่วช่าวหยิบแหวนเก็บของออกมาทันที สะบัดนิ้วของเขา แหวนก็กลายเป็นลำแสงและบินไปที่หลัวซิวที่อยู่บนเวทีแข่งขัน
หลังจากนั้น หนานหรงชินหวางก็พูดอีกครั้ง “ข้าประกาศว่า หวางฉวนชนะการต่อสู้ในครั้งนี้!”
ไม่มีใครคัดค้านการตัดสินใจของหนานหรงชินหวาง แม้ว่าเหยียนซีโร่วดูเหมือนจะชนะ แต่หวางฉวนก็ฉวยโอกาสลอบโจมตีเพราะความฟุ้งซ่านของนาง
สีหน้าของหวางฉวนแสดงออกถึงความยินดี เขาไม่ได้คาดหวังว่าสถานการณ์สุดท้ายจะพลิกผันเช่นนี้ ได้โควตาแดนปริษา แล้วยังได้หินพลังจิตเป็นการชดเชยอีกด้วย
“อาจารย์ ข้า…” เหยียนซีโร่วดูเศร้าใจ
“ฮึ่ม!” ไป่หุ้ยเหลียน เหลือบมองหลัวซิวอย่างเย็นชา หากไม่ใช่เขา เหยียนซีโร่วก็จะไม่ฟุ้งซ่านในการแข่งขัน ทำให้คู่ต่อสู้ของนางสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้
แต่นางเพิกเฉยเรื่องที่หากว่าไม่ใช่หลัวซิวให้เหยียนซีโร่วยืมดาบ เหยียนซีโร่วจะไม่สามารถชนะหวางฉวนได้
ใจคนเป็นอย่างนี้ มีแต่จะโยนความรับผิดให้ผู้อื่น
เรื่องนี้เป็นเพียงการรบกวนเล็กน้อยในการแข่งขันเท่านั้น แม้ว่าหนานหรงชินหวางจะตั้งใจลำเอียงหลัวซิว แต่เขาก็ยังคงยุติธรรมในเรื่องการตัดสินใจ
การแข่งขันยังคงดำเนินต่อไป ยกเว้นสวีเสว่ที่เคยชนะการท้าทายแข็งขันแล้วได้รับโควต้าก่อนหน้านี้ คนอื่นๆ ทั้งหมดล้มเหลวในการท้าทาย
ผู้ชนะทั้งสิบคน แต่ละคนได้รับเหล็กสี่เหลี่ยมเล็กๆที่สลักคำว่า ‘เทียนหวู’ หนึ่งปีข้างหน้าหลังจากประตู้เข้าสู่แดนปริศนาได้เปิด ผู้ถือเหล็กสี่เหลี่ยมเล็กๆนี้ สามารถไปที่เมืองหลวงและรับคุณสมบัติเพื่อเข้าสู่แดนปริษาได้
หลังจากผ่านการแข่งขัน การต่อสู้เพื่อชิงโควต้าได้สิ้นสุดลง และรับรองรายชื่อสิบคนสุดท้าย
อีกหนึ่งปีถึงจะเปิดประตูสู่แดนปริษา ซึ่งหมายความว่าสิบคน รวมทั้งหลัวซิว ยังมีเวลาอีกหนึ่งปีในการฝึกฝนความแข็งแกร่งของพวกเขาให้เพิ่มขึ้นอีกด้วย
สำหรับเหล็กสี่เหลี่ยมเล็กๆเทียนหวู ไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครกล้าแย่งชิง หากมีผู้ใดกล้าทำเช่นนั้น จะทำให้ตระกูลฝานของราชวงศ์กษัตริย์ไม่พอใจ ไม่ต้องพูดถึงการเข้าสู่แดนปริศนานี้ และจะถูกไล่ล่าสังหารจากราชวงศ์ผู้แข็งแกร่ง
ตามความตั้งใจของหัวหน้าเสิ่นหยวนหนาน คือหลังจากที่หลัวซิวกลับไปแล้ว ก็ฝึกฝนอยู่ที่เขตการปกครองโตว้ไห่อย่างตั้งใจ พยายามให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นก่อนที่แดนปริศนาจะเปิด
และหลังจากการแข่งขันจบลง มีผู้คนมากมายมาที่องค์กรนักล่ายุทธ์ไม่หยุด ในนามกองกำลังใหญ่เพื่อมาชักชวนหลัวซิวให้เข้าร่วมกองกำลังใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังพวกเขา
ในประเทศเทียนหวู มีสิบตระกูลชนชั้นสูงและหกสำนักที่มีอำนาจมากที่สุด ราชวงศ์ ตระกูลฝานนั้นเป็นตระกูลแรกในสิบตระกูลชนชั้นสูง และฐานะใหญ่มากที่สุด
หนานหรงชินหวางมาพบหลัวซิว ไม่ได้พูดถึงเรื่องของยาหิมะแย้ม และเงื่อนไขในการชักชวนเขาก็สูงมาก
หลัวซิวไม่ตอบตกลงและไม่ได้ปฏิเสธ เพียงแต่กล่าวว่าเขาจะพิจารณาเข้าร่วมกองกำลังหลังจากที่เขาออกมาจากแดนปริษาในหนึ่งปีข้างหน้า
ในเวลาเดียวกัน หลัวซิวได้ข่าวว่าคนของสำนักไป๋ซิงกู่ ได้ออกจากเขตการปกครองชิงฮัวแล้ว เหยียนซีโร่วไม่ได้มาหาเขา
ข่าวนี้ทำให้สีหน้าของหลัวซิวขรึมลงทันที เพราะดาบระดับกลางที่เขาให้เหยียนวีโร่วยืม ก็ถูกคนของสำนักไป๋ซิงกู่
หลัวซิวไม่ได้สงสัยว่าเหยียนซีโร่วไม่อยากคืนดาบ ต้องเป็นผู้ที่แข็งแกร่งของสำนักไป๋ซิงกู่พบว่าเป็นกาบและเกิดความโลภ ขึ้นมา ดังนั้นจึงจากไปโดยไม่บอกลา ไม่พูดอะไรกับเขาสักคำก็จากไปโดยตรง
อย่างที่ทุกคนทราบกันดี แม้ว่าหลัวซิวจะเป็นสมาชิกที่มีพรสวรรค์และความสามารถขององค์กรนักล่ายุทธ์ แต่เขาไม่มีอำนาจเบื้องหลังใดๆ ก่อนที่เขายังไม่แข็งแกร่งพอ จะไม่มีใครกลัวเขาจริงๆ
เรื่องของกระบี่ยุทธ์ หลัวซิวไม่ได้รีบไปตาม แม้ว่าเขาสามารถขอให้หัวหน้าเสิ่นหยวนหนานออกหน้าแทนเขา แต่กระบี่ยุทธ์ระดับกลางก็เพียงพอที่จะทำให้คนสำนักไป๋ซิงกู่หักหน้าได้
“ของของข้า จะเอาได้ง่ายอย่างนั้นหรือ?”
หลัวซิวทิ้งเรื่องนี้ไว้ชั่วคราว ข้างหน้ายังมีโอกาสให้สำนักไป๋ซิงกู่เอาคืนมาอย่างเชื่อฟัง
ก่อนจากไป หนานหรงชินหวางได้วางจดหมายรับรองให้หลัวซิว ด้วยจดหมายรับรองนี้ เขาสามารถไปยังเมืองหลวงของประเทศเทียนหวู และเข้าไปฝึกฝนในวิทยาลัยพระวงศ์
วิทยาลัยพระวงศ์เป็นที่ที่ตระกูลฝานของราชวงศ์ เพื่อปลูกฝังนักอัจฉริยะ มีสถานที่และวัสดุการฝึกฝนที่ดีที่สุด ดีกว่าสำนักอื่นๆ
ในบรรดาสมาชิกที่มีความสามารถขององค์กรนักล่ายุทธ์ ยกเว้นหลัวซิว ในพื้นที่สิบสามเขตการปกครอง มีเซี่ยหย่ง เท่านั้นที่ได้รับโควตาเข้าไปในแดนปริศนา
การต่อสู้เพื่อแย่งชิงได้สิ้นสุดลง กองกำลังทั้งหมดที่รวมตัวกันในเขตการปกครองชิงฮัวได้แยกย้ายกันไป
หลัวซิวถูกหัวหน้าเสิ่นหยวนหนานพาใช่ค่ายกลการเคลื่อนย้าย กลับไปยังเขตการปกครองโตว้ไห่