ตอนที่ 56 เจ้ากับกูเยว่ ไม่เคย

เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า]

เยี่ยเม่ยมิได้ตอบคำถามของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน

 

 

ส่วนเขาก็ไม่ได้หวังให้นางตอบ

 

 

ไม่ช้าบ่าวก็จูงมือเยี่ยเม่ยเดินไปยังห้องหอ ส่วนเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ต้องอยู่รับแขกตามธรรมเนียมปฏิบัติ

 

 

ความจริงมีสักกี่คนที่กล้าให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนรับรองกัน

 

 

วันนี้เขาเหมือนเปลี่ยนนิสัยเป็นคนละคน กระตือรือร้นไปต้อนรับฮ่องเต้และฮองเฮา ทำเอาฮองเฮารู้สึกจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะหลงกลก็ไม่ปาน

 

 

แต่ฮ่องเต้ไม่รู้สึกเช่นนั้นเลยสักน้อย พระองค์คิดว่าตราพยัคฆ์คุมทหารสองแสนนายนั้นทำให้เกิดผลลัพธ์ตรงหน้า ดังนั้นการเอาใจใส่ของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ก็ทำให้พระองค์รับได้ด้วยความสบายใจ

 

 

หลังจากเสวยภายใต้การดูแลของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแล้ว ก็เสด็จกลับวัง

 

 

ทันทีที่ฮ่องเต้เสด็จกลับ เหล่าขุนนางต่างกังวลความปลอดภัยในชีวิต มารดามันเถิด องค์ชายสี่แต่งภรรยาก็เปลี่ยนไปเช่นนี้ ทุกคนต่างเป็นขุนนางร่วมราชสำนัก ต่างได้ฟังจากเจ้ากรมราชพิธีมาเช่นกันว่า ชุดแต่งงานพระชายาองค์ชายสี่เป็นคนเลือก องค์ชายสี่ยังเอ่ยว่าอันใดนะ ในจวนองค์ชายสี่มีแต่ภรรยาเป็นใหญ่ ไม่มีสามีเป็นใหญ่

 

 

ดังนั้นหากพวกเขายังรั้งรออยู่ต่อไป ทำให้การเข้าห้องหอของผู้อื่นล่าช้าไป จะเป็นการรนหาที่ตายหรือเปล่า

 

 

ทุกคนต่างก็รำลึกได้ด้วยตัวเอง จากไปด้วยความหวั่นกลัว

 

 

แต่ว่า

 

 

ในเวลานี้เสินเซ่อเทียนก็มาถึง

 

 

เขากวาดตามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน บนร่างเขายังคงแฝงไปด้วยอายศักดิ์สิทธิ์ดุจทวยเทพ เดิมมาตรงหน้าเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เอ่ยเบาๆ “ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ตัวข้าเสินเซ่อเทียนก็นับเป็นอาจารย์ เป็นสหายกับเจ้า เรื่องนี้ถูกต้องไหม”

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนสองมือไพล่หลัง ตอบกลับไปว่า “ไม่ผิด”

 

 

เสินเซ่อเทียนเอ่ยต่ออีกว่า “นับตั้งแต่พบเจ้าในวังปีนั้น ภายหลังข้าก็เฝ้ามองการเติบโตของเจ้ามาตลอด เรื่องนี้ถูกต้องไหม”

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยกยิ้มมุมปาก ตอบช้าๆ “ก็ไม่ผิด!”

 

 

เสินเซ่อเทียนถามออกอีกว่า “เยี่ยเม่ยเองก็เป็นสตรีที่ข้าชอบ แต่ว่าวันนี้เจ้าแต่งกับนาง แย่งสิ่งที่ข้ารักไป จุดนี้เจ้ายอมรับหรือไม่”

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนแค่นเสียงเย็น ตอบอย่างไม่ยี่หระว่า “เดิมทีนางก็เป็นของเยี่ยน จะเรียกว่าแย่งได้อย่างไร แต่ว่าเรื่องที่แต่งงานกับคนรักของท่าน ข้ายอมรับ”

 

 

“อย่างนั้นก็ดี!” เสินเซ่อเทียนหัวเราะเบาๆ ชี้ไปที่ไหสุราหลายไหด้านข้าง เอ่ยปากว่า “เจ้ากับข้าดื่มด้วยกัน ถือเป็นการฉลองงานแต่งงานของเจ้า ทั้งยังเป็นการจบสิ้นความสัมพันธ์หลายปีของพวกเรา เป็นอย่างไร”

 

 

“ได้!”

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองออก วันนี้เสินเซ่อเทียนจงใจมาเอ่ยถึงบุญคุณ เอ่ยถึงความขุ่นเคือง เป้าหมายก็เพื่อกรอกสุราเขาให้เมามาย ทำลายการเข้าเรือนหอของเขา

 

 

แต่ว่าเทียบกันเรื่องดื่มสุรา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่เคยกลัวใครมาก่อน

 

 

……

 

 

ทั้งสองคนเริ่มดื่มสุรา

 

 

เสินเซ่อเทียนคิดถึงเรื่องขายหน้ายามเป่ยเฉินเสียเยี่ยนฝึกวรยุทธ์ในวัยเยาว์ เขาค่อยๆ เล่าออกมาเป็นระยะๆ

 

 

จนกระทั่งคนทั้งสองเมาจนแทบไม่ได้สติ

 

 

อวี้เหว่ยก้าวเข้ามา ยื่นยาสร่างเมาให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเม็ดหนึ่ง เสินเซ่อเทียนมองแล้วก็โมโหจนชี้หน้าเป่ยเฉินเสียเยี่ยน หัวเราะเสียงขมอยู่ครู่หนึ่ง “ที่แท้เจ้าก็เตรียมการอยู่ก่อนแล้ว!”

 

 

เขาเดาว่าตนไม่เพียงมาร่วมงานเท่านั้น ทั้งยังจะมาชวนเขาดื่มสุราด้วย

 

 

มิหนำซ้ำยังดื่มกันจนถึงขั้นนี้

 

 

หลังจากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกินยาลงไป แววตาก็สดชื่นสดใสขึ้นมามองไปที่เสินเซ่อเทียน ยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “ถึงเยี่ยนไม่คิดว่าระหว่างพวกเรามีไมตรีอันใดต่อกัน อย่างไรก็ตามคำว่าไมตรี ก็เป็นแค่คำกล่าวอ้างไว้อธิบายว่าตัวเองใจกว้างของคนที่อำมหิตไม่พอ ในเมื่อท่านจะพูดถึงเรื่องไมตรีให้ได้ เยี่ยนก็ย่อมต้องร่วมมือด้วย!”

 

 

เมื่อเอ่ยถึงยามนี้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็กล่าวต่อว่า “ทว่าเยี่ยนไม่อาจปล่อยให้สตรีที่รักเฝ้าเรือนหอโดยลำพัง”

 

 

เสินเซ่อเทียนยิ้มออก

 

 

ในความเป็นจริงวันนี้จะดื่มหรือไม่พวกเขาก็แต่งงานกันแล้ว วันนี้พวกเขาจะเข้าเรือนหอหรือไม่ พรุ่งนี้ก็เข้าได้เช่นกัน เขาก็แค่ต่อสู้ดิ้นรนไปอย่างนั้น

 

 

บางทีลูกศิษย์เพียงคนเดียวในใจของเขาแต่งงาน ดังนั้นจึงอดมาฉลองอวยพรด้วยไม่ได้ ดื่มจนไม่เมาไม่เลิกราเท่านั้นเองกระมัง แต่ว่าสตรีที่อีกฝ่ายแต่งด้วยดันเป็นสตรีที่อยู่ในดวงใจเขาเช่นกัน

 

 

เสินเซ่อเทียนโบกมือ เอ่ยปากว่า “ไปเถอะ ไปเถอะ!”

 

 

เมื่อพูดจบ เขาก็ล้มฟุบเมาหลับไปบนโต๊ะ

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยืนเงียบอยู่หน้าเสินเซ่อเทียนสักพักใหญ่ เสินเซ่อเทียนไม่เหมือนกับเขา นอกจากเยี่ยเม่ยแล้ว เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่มีน้ำใจไมตรีกับใครทั้งสิ้น แต่เสินเซ่อเทียนไม่เหมือนกัน นอกจากเขาจะอยู่จุดสูงสุดในใจทุกคนแล้ว เขายังมีน้ำใจไมตรี

 

 

ดังนั้นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเข้าใจว่าที่วันนี้เสินเซ่อเทียนมา ความจริงก็มาเพื่ออวยพรให้กับลูกศิษย์ที่เขาไม่ยอมรับ ทว่าอบรมสั่งสอนเลี้ยงมาจนเติบใหญ่

 

 

ผ่านไปครู่หนึ่ง

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยื่นมือไปแตะบ่าเสินเซ่อเทียน “ขอบคุณ”

 

 

สิ้นเสียง

 

 

เขาก็เดินจากไป

 

 

เสินเซ่อเทียนเมาจนไม่เป็นผู้เป็นคน ไม่ช้า เป่ยเจี้ยนเกอก็เข้ามาพาเขาจากไป

 

 

ระหว่างทางกลับตำหนักเขาหลิงซาน ก็ได้ยินเขาเมามายละเมอว่า “เจ้าเด็กนี่ แต่งกับใครไม่แต่ง ดันแต่งกับนาง…เจ้า…แทบจะเอาชีวิตอาจารย์ไปแล้ว…”

 

 

……

 

 

เรือนหอ

 

 

เดิมทีเยี่ยเม่ยก็หาใช่กุลสตรีที่เฝ้ารอให้สามีกลับมา ดังนั้นนางถอดมงกุฎหงส์หนักๆ บนหัวออกนานแล้ว นั่งขัดสมาธิใช้ความคิดอยู่บนเตียง

 

 

ความจริง

 

 

ก็ไม่ใช่ว่า…นางไม่ตื่นเต้นเลย

 

 

อย่างไรก็เป็นคืนแต่งงาน

 

 

รอจนกระทั่งฟ้ามืด เยี่ยเม่ยผล็อยหลับไปแล้วประตูเรือนหอถึงเปิดออก เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเยื้องย่างอย่างสง่างามมาถึงเบื้องหน้าเยี่ยเม่ย

 

 

เยี่ยเม่ยเงยหน้ามองเขา แอบลนลานขึ้นมาทว่ายังฝืนสงบใจจ้องเขา “ข้าถอดผ้าคลุมหน้าเองแล้ว!”

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพยักหน้า เอ่ยอย่างแช่มช้า “แบบนี้ยิ่งงามเสียมากกว่า!”

 

 

เยี่ยเม่ย “…คือ…”

 

 

ยังไม่ทันคิดว่าจะเอ่ยอะไรดี เขาก็นั่งลงข้างเตียง

 

 

“เยี่ยเม่ย!” อากัปกิริยาของเขาสง่างามสูงส่ง ม้วนปอยผมดำขลับบริเวณอกของนาง แววตาแพรวพราวมองนาง “แต่งกับข้า เพียงแค่หลอกใช้ข้าเท่านั้นจริงหรือ”

 

 

แววตาเขาแฝงไปด้วยการเฝ้ารอ คล้ายกับกำลังคอยว่าคำตอบที่ออกจากปากนางในครั้งนี้จะต่างออกไป

 

 

เยี่ยเม่ยชะงัก สีหน้ากลับมาเย็นชาอย่างรวดเร็ว “ไม่ผิด!”

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนชะงักไปเล็กน้อย แววตาชั่วร้ายไม่พบความโกรธเคือง มือเขาวางลงที่ม่านเตียง “ถูกเจ้าหลอกใช้ เป็นโชคดีในชีวิตข้า !”

 

 

สิ้นเสียงเขาก็กดจูบลงมาที่ริมฝีปากนาง

 

 

เยี่ยเม่ยไม่ขัดขืนโอนอ่อนผ่อนตาม

 

 

เขาเริ่มถอดอาภรณ์นางออก ริมฝีปากรบเร้าพัวพัน เนื้อกายแนบชิด เดิมเขาคิดว่านางจะขัดขืน แต่นางกลับไม่

 

 

ความยินดีจนคลุ้มคลั่งทำให้เขาสูญเสียสติสัมปชัญญะไป

 

 

เยี่ยเม่ยพลันกุมบ่าของเขา ใบหน้าซีดขาว “เจ็บ!”

 

 

ถัดมา

 

 

เขาก้มมองรอยเลือดบนเตียงก็ตะลึงไปแล้ว แววตาร้ายกาจเผยความยินดี ก้มมองนาง “เจ้ากับกูเยว่ ไม่เคย?”

 

 

เมื่อเห็นประกายตาของเขา เยี่ยเม่ยไม่รู้ว่าเพราะความเขินอายหรือเปล่า ใบหน้าแดงก่ำ นางไม่ตอบคำถาม เพียงเอ่ยเบาๆ ว่า “ท่านเบาหน่อย!”