ตอนที่ 202-1 ความลับที่น่าตื่นตะลึง และบทสรุปของซูจุ้ยเตี๋ย

ชายาเคียงหทัย

ถึงแม้จะล่วงเข้าสู่ยามสองแล้ว แต่ตำหนักติ้งอ๋องก็ยังมีคนที่ยังไม่หลับ

 

 

ม่อซิวเหยานั่งอยู่ข้างเตียง มองเยี่ยหลีที่กำลังหลับสนิท สีหน้าเขาดูอ่อนโยนและสงบนิ่ง เขายกมือขึ้นลูบใบหน้าหมดจดงดงามของนางที่ดูขาวซีดเล็กน้อย นัยน์ตาดูอ่อนโยนและรักใคร่ ในเปลเล็กๆ ข้างเตียงที่บุนวมและหุ้มด้วยผ้าไหมอ่อนนุ่ม มีเด็กทารกตัวน้อยกำลังหลับสนิทอยู่ด้วย

 

 

แววตาม่อซิวเหยาที่มองผู้ใหญ่ทีเด็กที ไม่มีแววง่วงงุนเลยแม้แต่น้อย เขาโน้มตัวไปไกวเปลของเด็กน้อย เมื่อมองดูโดยรอบแล้วเห็นว่าไม่มีผู้ใด จึงอดยื่นมือไปหยิกแก้มนุ่มนิ่มของแก้มเล็กๆ นั้นไม่ได้ ถึงแม้เขาจะพยายามควบคุมแรงตนเองอย่างที่สุดแล้ว แต่เด็กน้อยก็ยังคงเบะปากประหนึ่งเตรียมจะร้องไห้อย่างไม่สบายตัว

 

 

ม่อซิวเหยารีบชักมือกลับ นั่งตัวตรงขึ้นก่อนโน้มตัวไปมองเด็กน้อยในเปลไกว ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เขาคงเป็นบิดาคนแล้ว เขาคิดไปถึงวัยเด็กในตำหนักติ้งอ๋องที่มีความเคร่งครัดและความรักใคร่ของท่านพ่อ ทุกคราที่เขาก่อเรื่อง ท่านพ่อมักทำโทษเขาอย่างไม่อ่อนข้อให้เลยแม้แต่น้อย แล้วพี่ใหญ่ก็จะรีบมาช่วยขอร้อง แต่เขารู้ดีว่า ทุกครั้งหลังจากที่ลงโทษเขา ท่านพ่อมักแอบมาดูเขาตอนดึกๆ เสมอ พร้อมกับทอดถอนใจอย่างจนใจ

 

 

เขาแทบไม่เคยคิดเลยว่า วันหนึ่งเขาจะได้เป็นบิดาคน แต่ยามที่เขารู้ว่าอาหลีกำลังตั้งครรภ์นั้น เป็นช่วงที่เขาอยู่ในอารมณ์โกรธจัด ดังนั้นเขาจึงรู้สึกว่าตนไม่ต้อนรับเด็กคนนี้มาโดยตลอด เพียงแต่…ในใจของเขากลับเต็มไปด้วยความรู้สึกอ่อนโยนและอบอุ่นบางอย่าง ซึ่งแตกต่างกับความรู้สึกที่เขามีต่ออาหลีโดยสิ้นเชิง

 

 

เด็กคนนี้เป็นบุตรชายของเขา ยามนี้ต้องการการปกป้องจากเขา เมื่อโตขึ้นก็ต้องการการอบรมสั่งสอนจากเขา แล้วเขาก็จะเติบใหญ่จนเป็นบุรุษที่รูปร่างสูงใหญ่เช่นเขา

 

 

“นี่ อย่าแย่งอาหลีกับข้าเชียว ถ้าไม่…พ่อจะรักเจ้าให้มากๆ เลย” ม่อซิวเหยาโน้มตัวลงไปจ้องเตือนทารกในเปลไกวที่กำลังหลับสนิท

 

 

เยี่ยหลีลืมตาขึ้นมาด้วยความสลึมสลือ เมื่อเห็นม่อซิวเหยาที่นั่งอยู่ข้างเตียวกำลังก้มลงไปพูดอันใดกับลูกน้อย ก็อดหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ได้

 

 

เมื่อถูกภรรยาที่รักจับได้ว่าตนกำลังทำตัวเป็นเด็ก ม่อซิวเหยาก็หน้านิ่งไปทันที แสร้งยืดตัวกลับมานั่งตัวตรงเสมือนไม่มีอันใดเกิดขึ้น แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ทำไมถึงตื่นเสียล่ะ”

 

 

เยี่ยหลีมองเขาที่แม้แต่เสื้อผ้าก็ยังไม่ได้เปลี่ยน เห็นได้ชัดว่าเขายังไม่ได้นอน “เหตุใดยังไม่ไปพักหรือ”

 

 

ม่อซิวเหยาดึงนางมากอด เอ่ยอย่างหดหู่ว่า “นอนไม่หลับ”

 

 

เยี่ยหลีลุกขึ้นนั่งกับอกเขา ผลักเขาออกเล็กน้อยเพื่อมองสำรวจสีหน้าเขาโดยละเอียด นางเอ่ยถามเสียงเบาว่า “เป็นอันใดหรือ คงมิใช่เพราะตื่นเต้นเรื่องที่ข้าคลอดลูกเกินไปกระมัง”

 

 

ม่อซิวเหยาเบ้ปากด้วยความรังเกียจ ปรายตามองเด็กน้อยที่นอนอยู่ในเปลไกวทีหนึ่ง

 

 

เยี่ยหลีได้แต่ยิ้มอย่างจนใจ ตั้งแต่ลูกน้อยยังอยู่ในท้องจนถึงยามนี้ที่เพิ่งคลอดออกมา ก็ถูกบิดาตนเองดูแคลนด้วยวิธีการต่างๆ หากนางมิได้เข้าใจความรู้สึกและความคิดของม่อซิวเหยา เยี่ยหลีคงได้นึกสงสัยว่าเขารังเกียจลูกที่ตนคลอดออกมา พ่อลูกคู่นี้…ต่อไปจะมีปฏิสัมพันธ์กันเช่นไรถึงจะดีนะ

 

 

“ก่อนหน้านี้ข้าก็เห็นสีหน้าท่านไม่ค่อยดี ตอนนั้นข้าก็ไม่มีแรงจะถาม เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ” เยี่ยหลีเอ่ยถามเสียงเบาขณะนั่งพิงม่อซิวเหยา

 

 

ม่อซิวเหยายกมือขึ้นลูบผมเยี่ยหลีที่ปรกลงมาเบาๆ นัยน์ตาเป็นประกายเย็นวาบ เขาเอ่ยเรียบๆ ว่า “ก่อนหน้านี้ที่พวกเราสืบเรื่องถานจี้จือกับซูจุ้ยเตี๋ย ใกล้จะได้ข้อสรุปแล้ว”

 

 

“อ้อ?” เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้น แค่เพียงเห็นสีหน้านิ่งขรึมของม่อซิวเหยานางก็รู้แล้วว่าเรื่องนี้คงน่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง

 

 

นางตบลงบนหลังมือม่อซิวเหยาเบาๆ เอ่ยปลอบใจว่า “ไม่ว่าจะมีเรื่องอันใด พวกเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป”

 

 

ม่อซิวเหยาอึ้งไป ก่อนพยักหน้า “ข้ารู้”

 

 

“ท่านอ๋อง ผู้บัญชาการฉินขอเข้าพบเพคะ” ด้านนอกห้อง ชิงอวี้ที่คอยเฝ้ายามดึกอยู่เอ่ยรายงานขึ้นเบาๆ

 

 

ม่อซิวเหยาพยักหน้า ลุกยืนขึ้นพลางเอ่ยกับเยี่ยหลีว่า “ข้าจะไปดูหน่อย อาหลีพักผ่อนก่อนเถิด”

 

 

เยี่ยหลีก็รู้ดีว่ายามนี้ร่างกายของตนเองไม่อำนวย จึงพยักหน้าพลางใช้ความคิด “หากซูจุ้ยเตี๋ยจะสารภาพจริงๆ ให้ผู้อาวุโสซูไปฟังด้วยก็ได้นะเพคะ”

 

 

ม่อซิวเหยาพยักหน้า “ข้ารู้ ไม่ต้องกังวลเรื่องพวกนี้หรอก พักผ่อนเถิด”

 

 

ม่อซิวเหยาประคองเยี่ยหลีให้นอนลง คลุมผ้าห่มให้นางเรียบร้อยแล้วถึงได้เดินออกไป เขากวาดตามองชิงอวี้และชิงหลวนที่ยืนรับใช้อยู่ที่หน้าประตู “ดูแลพระชายาให้ดีล่ะ”

 

 

ชิงอวี้และชิงหลวนรีบยืดตัวตรง เอ่ยว่า “ท่านอ๋องโปรดวางใจเพคะ”

 

 

ภายในห้องที่ว่างเปล่า ซูจุ้ยเตี๋ยนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่วางอยู่กลางห้อง ภายในห้องไม่มีแม้แต่คนคอยเฝ้าดูนาง สภาพนางในยามนี้ไม่มีผู้ใดนึกกังวลว่านางจะหลบหนีหรือฆ่าตัวตายอันใดทำนองนั้น นางที่เพิ่งเสียเลือดในปริมาณมากไป ทั้งยังถูกทรมานมาเป็นครึ่งปี ไม่มีแรงแม้แต่จะเดินออกไปจากห้องนี้ได้ถึงร้อยก้าวด้วยซ้ำ

 

 

เมื่อครู่มีคนมาลากนางออกไปล้างตัวและเปลี่ยนมาใส่ชุดที่สะอาด ซูจุ้ยเตี้ยมองตนเองที่อยู่ในเสื้อผ้าสะอาดสะอ้านอย่างใจลอย ตลอดครึ่งปีนางอยู่ในคุกที่มืดสลัวและสกปรก จนทำให้นางเกือบลืมไปแล้วว่าความสะอาดเป็นเช่นไร นางทำได้เพียงปลอบใจตนเองไม่หยุดว่า ตนต้องลืมมันไปถึงจะสามารถทนอยู่ในสภาพเช่นนั้นได้

 

 

แต่ในยามนี้…ในที่สุดนางก็ทนไม่ไหวแล้ว ยามที่รู้สึกว่าหยาดเลือดของตนหยดติ๋งๆ และไหลนองออกไปด้านนอกนั้น นางถึงได้รู้สึกจริงๆ ว่า ความตายน่ากลัวเพียงใด ถึงขั้นว่าหากคนเหล่านี้มาช้ากว่านี้อีกเพียงนิด บางทีเลือดนางอาจไหลหมดตัวแล้วก็เป็นได้ นางแพ้ตั้งแต่นางเปิดปากร้องขอให้ไว้ชีวิตนางแล้ว นางไม่มีทางรับได้ หากตนจะต้องผ่านความรู้สึกที่ค่อยๆ ตายอย่างสงบไปอีกครั้ง

 

 

ประตูถูกเปิดจากด้านนอก ม่อซิวเหยาค่อยๆ เดินเข้ามา โดยมีฉินเฟิง จั๋วจิ้งและเฟิ่งจือเหยาเดินตามมาด้านหลัง

 

 

ม่อซิวเหยาเดินไปนั่งลง คนอื่นๆ ก็ทยอยนั่งลงตาม

 

 

ซูจุ้ยเตี๋ยมองบุรุษผมขาวตรงหน้าด้วยสีหน้านิ่งอึ้ง ม่อซิวเหยาที่อยู่ตรงหน้านางขณะนี้อยู่ในชุดสีขาวและผมก็เป็นสีขาว สีหน้านิ่งสงบและเฉยชา ดูแล้วช่างห่างเหินและเย็นชาอย่างยิ่ง ซึ่งต่างจากม่อซิวเหยาในความทรงจำของเยี่ยหลีโดยสิ้นเชิง

 

 

“ซิว…ซิวเหยา…เจ้าคือซิวเหยา? เหตุใดเจ้า…”

 

 

ม่อซิวเหยาขมวดคิ้ว กวาดตามองฉินเฟิงอย่างหมดความอดทน

 

 

ฉินเฟิงหันมองซูจุ้ยเตี๋ยแล้วเอ่ยเสียงขรึมว่า “คุณหนูซู ในเมื่อท่านยอมสารภาพแล้ว ก็พูดมาต่อหน้าท่านอ๋องเถิด ดึกดื่นค่อนคืนเช่นนี้ ทุกคนไม่ได้มีเวลามากนัก”

 

 

ซูจุ้ยเตี๋ยได้สติขึ้นทันที หันไปสบตาเย็นเยียบของม่อซิวเหยา เอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าโศกว่า “ซิวเหยา เจ้าจะไม่เห็นแก่หน้ากันสักนิดเลยจริงๆ หรือ ท่านยังจำได้หรือไม่ว่าพวกเราโตมาด้วยกันตั้งแต่เล็ก…ข้าผิดไปแล้ว…”

 

 

ม่อซิวเหยาลุกยืนขึ้น ถลึงตาเย็นเยียบขึ้นจ้องฉินเฟิง “นี่คือผลที่เจ้าบอกหรือ เสียเวลาข้าจริงๆ จัดการซะเถิด…แล้วรีบส่งคนไปเมืองหลวงให้เร็วที่สุด!”

 

 

พูดจบ ก็หมุนตัวจะเดินออกไปด้านนอกทันที ที่เขาบอกว่าจัดการ ย่อมหมายถึงให้จัดการซูจุ้ยเตี๋ย เพียงแค่รู้เรื่องนี้ ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะสืบเรื่องต่อจากนี้ไม่ได้ ประโยชน์ของซูจุ้ยเตี๋ยดูจะน้อยเกินไปเสียแล้ว หากจะต้องมาอยู่ต่อหน้าสตรีที่เขารังเกียจในยามนี้ สู้กลับห้องไปอยู่เป็นเพื่อนอาหลีจะดีกว่า

 

 

ซูจุ้ยเตี๋ยอึ้งไป ดูคาดไม่ถึงว่าม่อซิวเหยาจะไร้เยื่อใยถึงเพียงนี้ ตนพูดเพียงสองประโยคเท่านั้น เขาก็ขี้เกียจฟังจนจะเดินออกไปเสียแล้ว

 

 

ในใจซูจุ้ยเตี๋ยเย็นวาบ เมื่อเห็นฉินเฟิงถลึงตามองตนพร้อมรังสีสังหาร ก็ให้ตื่นกลัวจนร้องเสียงหลงออกมาว่า “ไม่! ไม่นะ! ข้าพูด…เจ้าอยากถามอันใด ข้าจะตอบให้หมด!”

 

 

“พูดแต่แรกก็หมดเรื่องแล้ว” เฟิ่งจือเหยาหัวเราะอย่างดูแคลน กลับนั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง

 

 

“ตอนนั้นท่านเอาของอันใดออกมาจากตำหนักติ้งอ๋อง” ฉินเฟิงเอ่ยถาม

 

 

ซูจุ้ยเตี๋ยเหลือบมองม่อซิวเหยาที่นั่งหลับตาพักผ่อนอยู่บนเก้าอี้ แล้วกัดฟันเอ่ยว่า “เป็น…แผนที่การเคลื่อนทัพและการจัดทัพของกองทัพตระกูลม่อ ข้า…ข้าความจำดีมาตั้งแต่เด็ก มองแผนที่พวกนั้นรอบเดียวก็จำได้ขึ้นใจ พอออกจากตำหนักติ้งอ๋องจึงได้วาดขึ้นตามที่จำได้”

 

 

ทุกคนต่างสีหน้าเปลี่ยนไปทันที นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่กองทัพตระกูลม่อพ่ายแพ้ให้กับเป่ยหรงอย่างย่อยยับเมื่อสิบปีก่อน

 

 

ฉินเฟิงขมวดคิ้ว ถามต่อว่า “เจ้าเอาแผนที่มอบให้ถานจี้จือกับม่อจิ่งฉี?”

 

 

ซูจุ้ยเตี๋ยพยักหน้า “ถูกแล้ว ม่อจิ่งฉีให้ถานจี้จือมาพบข้า อยากให้ข้าช่วย ข้าก็เลยรับปาก”

 

 

“พวกมันเอาแผนที่วางกำลังทหารของกองทัพตระกูลม่อไปทำอันใด” เฟิ่งจือเหยาถาม ถึงแม้ในใจจะรู้คำตอบอยู่แล้วก็ตาม แต่ก็ยังอยากให้ซูจุ้ยเตี๋ยพูดความจริงออกมาจากปากของนางเอง

 

 

ซูจุ้ยเตี๋ยหันมองเฟิ่งจือเหยา แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะออกมา เอ่ยว่า “เอาไปทำอันใด? ม่อจิ่งฉีไม่พอใจกองทัพตระกูลม่อกับม่อซิวเหวินมานานแล้ว ที่เอาแผนที่จัดขบวนทัพไป ก็ย่อมเอาไปให้คนเป่ยหรง มิเช่นนั้นพวกเจ้าคิดว่าตอนนั้นเหตุใดกองทัพตระกูลม่อถึงได้ถูกเป่ยหรงลอบโจมตีจนล้มตายกันมากมายเช่นนั้นหรือ”

 

 

ฉินเฟิงหน้าขรึมลงทันที ตระกูลของเขาทุกรุ่นทุ่มเทแรงกายเพื่อตำหนักติ้งอ๋อง บิดาของเขาและท่านอาอีกหลายคนต่างเสียชีวิตในการศึกครานั้น

 

 

ฉินเฟิงมองจ้องซูจุ้ยเตี๋ยที่กำลังยิ้มอย่างได้ใจ แล้วเอ่ยถามว่า “เหตุใดเจ้าถึงต้องช่วยม่อจิ่งฉีทำร้ายตำหนักติ้งอ๋อง!”

 

 

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทุกคนต่างไม่เข้าใจ ซูจุ้ยเตี๋ยมีฐานะเป็นคู่หมั้นของคุณชายรองแห่งตำหนักติ้งอ๋อง เป็นที่อิจฉาของคุณหนูตระกูลใหญ่จำนวนมาก เหตุใดถึงต้องช่วยม่อจิ่งฉีทำลายตำหนักติ้งอ๋อง เรื่องนี้ไม่มีผลดีอันใดต่อนางเลย

 

 

ซูจุ้ยเตี๋ยอึ้งไป หันมองม่อซิวเหยาที่นั่งนิ่งประหนึ่งหลับ นางยิ้มเยาะทีหนึ่ง ก่อนยกมือข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บขึ้นชี้ไปทางม่อซิวเหยา “เพราะเหตุใด? เพราะเหตุใด…เรื่องนี้ต้องถามเขาสิ!”

 

 

เฟิ่งจือเหยาเลิกคิ้วขึ้น เหลือบมองม่อซิวเหยา “หรือว่าท่านอ๋องทำอันใดที่ผิดต่อเจ้า” ต่อให้เป็นเช่นนั้น แต่การแก้แค้นของสตรีผู้นี้จะไม่โหดเ**้ยมไปสักหน่อยหรือ มิน่านางถึงได้ทนอยู่ในเงื้อมือฉินเฟิงมาได้นานเช่นนี้โดยไม่ตายไปเสียก่อน

 

 

ซูจุ้ยเตี๋ยหัวเราะหึหึ สายตาที่มองม่อซิวเหยาเต็มไปด้วยความคับแค้น ระคนรักใคร่และคลั่งไคล้อย่างอธิบายไม่ถูก

 

 

“ผิดต่อข้า? ไม่…เขาไม่เคยทำผิดต่อข้า เพียงแต่…เขาก็ไม่เคยทำดีกับข้าเช่นกัน! ข้า ซูจุ้ยเตี๋ย เป็นถึงสาวงามอันดับหนึ่ง และมากความสามารถอันดับหนึ่งแห่งต้าฉู่ที่ท่านอ๋องและคุณชายชนชั้นสูงจำนวนมากต่างหมายปอง แต่ในสายตาของเขา ข้าเป็นเพียงคู่หมั้นที่หมั้นหมายกันแล้วเท่านั้น!”

 

 

เฟิ่งจือเหยาขมวดคิ้ว เขากับม่อซิวเหยาเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เล็ก ม่อซิวเหยาปฏิบัติต่อซูจุ้ยเตี๋ยอย่างไร เขาย่อมเห็นมาตลอด ซึ่งถือว่าไม่แย่เลยจริงๆ คุณชายรองแห่งตำหนักติ้งอ๋องมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วเมืองหลวง มีคุณหนูชนชั้นสูงและนางคณิกาจำนวนเท่าไรที่พร้อมจะพุ่งเข้าสู่อ้อมกอดของเขา แต่เขากลับไม่เคยเอ่ยอันใดกับคนเหล่านั้นเลยสักคำ และทำดีซูจุ้ยเตี๋ยที่หมั้นหมายกันไว้แต่เพียงผู้เดียว และใกล้ชิดกับนางแต่เพียงผู้เดียวเช่นกัน เช่นนี้แล้ว ซูจุ้ยเตี๋ยยังมีอันใดไม่พอใจอีกหรือ

 

 

ดูเหมือนนางจะอ่านสีหน้าของเฟิ่งจือเหยาออก ซูจุ้ยเตี๋ยส่งเสียงหึเบาๆ ก่อนเอ่ยอย่างถือดีว่า “ต่อให้เป็นพระโอรสหรือท่านอ๋องก็ยังดูแลข้าเป็นอย่างดี เอาอกเอาใจสารพัด แต่เขา…ทั้งๆ ที่ข้ามีสัญญากับเขาไว้แล้ว แต่แค่คำขอเล็กๆ น้อยๆ ของข้าเขาก็ยังไม่ยอมรับปาก!”

 

 

คำพูดของนาง ประหนึ่งจะบอกว่าที่นางยอมจับคู่กับม่อซิวเหยา เป็นนางที่ลดตัวลงมาหาเขากระนั้น