ตอนที่ 202-2 ความลับที่น่าตื่นตะลึง และบทสรุปของซูจุ้ยเตี๋ย

ชายาเคียงหทัย

ซูจุ้ยเตี๋ยมองชายตรงหน้าที่แข็งเย็นประหนึ่งหิมะด้วยสายตาหลงใหล แล้วเอ่ยเสียงอ่อนว่า “แต่ไม่เป็นไร…ข้ารักเขา ต่อให้ชนชั้นสูงทั่วเมืองหลวงมาทุ่มเททุกอย่างต่อหน้าข้า แต่ข้าก็รักม่อซิวเหยาเพียงคนเดียว แล้วเหตุใด…ซิวเหยา เหตุใดเจ้าไม่ยอมตอบตกลงกับคำขอร้องเพียงเล็กน้อยของข้า ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการเอ็นดูเจ้าถึงเพียงนั้น ขอเพียงเจ้าขอร้องท่าน ท่านจะต้องยกตำแหน่งติ้งอ๋องให้เจ้าสืบทอดอย่างแน่นอน ส่วนม่อซิวเหวิน…เขาไม่สนใจเรื่องการทหารการรบมาตั้งแต่แรกแล้ว เจ้าผลงานการรบมากกว่าเขาชัดๆ แต่เหตุใดเจ้าถึงต้องยอมยกตำแหน่งติ้งอ๋องให้กับเขา ข้าจะเป็นฮูหยินรองตัวเล็กๆ ของตำหนักติ้งอ๋องไปชั่วชีวิตได้อย่างไร จะปล่อยให้สตรีเหล่านั้นเหยียบหัวข้าได้อย่างไร ข้ารักเจ้าถึงเพียงนั้น แต่เจ้ากลับไม่ยอมทำสิ่งเล็กๆ นั้นเพื่อข้า…”

 

 

ภายในห้องเงียบสงัด พวกฉินเฟิงทั้งสามคนต่างมองสตรีบนเก้าอี้ประหนึ่งเห็นภูตผีปีศาจ ใบหน้าที่มีรอยแผลและบวมแดง เมื่อรวมกับสีหน้าเดี๋ยวคลั่งไคล้เดี๋ยวอ่อนโยน เดี๋ยวโกรธแค้น จนบิดเบี้ยวไปมาแล้ว ก็ยิ่งดูโหดเ**้ยมและน่าสยดสยองเป็นพิเศษ

 

 

ดูเหมือนในที่สุดนางก็ได้พูดสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจตลอดหลายปีออกมา ซูจุ้ยเตี๋ยดูเริ่มควบคุมตนเองไม่ได้ พรั่งพรูออกมาต่อว่า “ทั้งหมดต้องโทษเจ้า หากตอนนั้นเจ้าขึ้นเป็นติ้งอ๋อง ทุกอย่างก็คงจะเป็นไปด้วยดี แต่แค่เพียงข้าลองเอ่ยถามท่านเพียงประโยคเดียว ท่านกลับชักสีหน้าใส่ข้า ทั้งยังด่าว่าข้า! ม่อซิวเหยา! ทั้งหมดนี้ต้องโทษเจ้า! หึหึ ข้าจะยอมให้ผู้หญิงอัปลักษณ์พวกนั้นเหยียบหัวข้าขึ้นไปยะโสโอหังได้อย่างไร มีเพียงข้า ซูจุ้ยเตี๋ยเท่านั้น ที่เป็นสตรีชั้นสูงที่ควรค่าให้ทุกคนเคารพและอิจฉา แต่เจ้ากลับไม่ยอมแย่งสิ่งนั้นกับม่อซิวเหวิน ข้าช่วยเจ้า…ขอเพียงม่อซิวเหวินตายเสีย ตำแหน่งติ้งอ๋องก็จะเป็นของท่านแล้ว แล้วข้าก็จะได้เป็นชายาติ้งอ๋อง มีอันใดไม่ดีกัน แล้วเหตุใดข้าถึงจะไม่ช่วยม่อจิ่งฉีกับถานจี้จือเล่า”

 

 

ยิ่งพูดซูจุ้ยเตี๋ยก็ยิ่งใส่อารมณ์ สีหน้าก็ยิ่งดูคลุ้มคลั่งหนักขึ้นไปทุกที นางชี้หน้าม่อซิวเหยาแล้วหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “แต่… เหตุใดเจ้าถึงต้องได้รับบาดเจ็บ เหตุใดถึงต้องเสียโฉม เหตุใดถึงต้องกลายเป็นคนพิการ ม่อซิวเหยา ต้องโทษเจ้า ผู้ใดใช้ให้เจ้าไม่ยอมฟังข้า ผู้ใดใช้ให้เจ้าไม่รักข้า หากเจ้ารักข้า ก็ควรทำทุกอย่างเพื่อข้า เหมือนที่หานหมิงเย่ว์ทำ หึหึ…ครั้งแรกที่ได้พบหานหมิงเย่ว์ ข้าก็รู้ทันทีว่าเขาเป็นคนหน้าโง่ที่หลอกง่าย บางครั้งข้าก็นึกอยากให้เจ้าหลอกง่ายเหมือนกับเขา เหตุใดเจ้าถึงไม่ยอมทำตามข้า ข้ารักเจ้าถึงเพียงนั้นยังไม่พออีกหรือ…หากเจ้ายอมฟังข้า ม่อซิวเหวินจะตายได้อย่างไร หึหึ…ต้องโทษเจ้า ม่อซิวเหวินจะไม่ตายได้อย่างไร เพราะเจ้าทำให้เขาต้องตาย…”

 

 

เงาในชุดขาวพุ่งผ่านห้องไป เพียงพริบตาม่อซิวเหยาก็ถึงตัวซูจุ้ยเตี๋ย มือข้างหนึ่งบีบเข้าที่คอเล็กๆ ของนางอย่างไม่ออมแรง สายตาเย็นเยียบของเขา มองจ้องใบหน้าบิดเบี้ยวของสตรีที่พยายามดิ้นรนไม่หยุด

 

 

“ผู้ใดฆ่าพี่ชายข้า” ม่อซิวเหยาเอ่ยถามเสียงเย็น ซูจุ้ยเตี๋ยถูกบีบคออยู่ จึงหายใจไม่ทัน นางยกมือขึ้นคิดอยากดึงมือม่อซิวเหยาออก แต่ด้วยแรงของนางจะสู้แรงม่อซิวเหยาได้หรือ ไม่นานนางก็เริ่มตาลอย “พูด!”

 

 

“อึ๊กๆ…ม่อ…จิ่ง…อึ๊ก…” เมื่อเห็นว่าจะไม่ไหวแล้ว ม่อซิวเหยาก็คลายมือออก ซูจุ้ยเตี๋ยสูดอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่ แล้วไอออกมาโดยแรง

 

 

“ผู้ใดฆ่าพี่ชายข้า” ม่อซิวเหยาเอ่ยถามอีกครั้ง

 

 

“ม่อ…ม่อจิ่งฉีกับตระกูลหลิ่ว…แล้วยังมีราชวงศ์เป่ยหรง หนานจ้าวและซีหลิง…ม่อซิวเหวินไม่ได้ป่วยตาย…แต่ถูกคนลอบฆ่า…แค่กๆ…”

 

 

เมื่อม่อซิวเหยามาอยู่ตรงหน้า ซูจุ้ยเตี๋ยก็ไม่กล้าปิดบังอีก “มีอีก…มีอีกเรื่องท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการ…ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการเป็นอดีตฮ่องเต้วางแผนฆ่าเขา เพียงแต่…ก่อนท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการตายก็ได้ส่งคนไปทำร้ายอดีตฮ่องเต้อย่างหนัก ดังนั้นไม่ถึงสองปีต่อมาอดีตฮ่องเต้ก็สิ้นพระชนม์เช่นกัน เรื่องนี้…แค่กๆๆๆ…เรื่องนี้ม่อจิ่งฉีเป็นคนบอกข้า”

 

 

เมื่อเห็นม่อซิวเหยานิ่งไป ซูจุ้ยเตี๋ยก็รีบเอ่ยว่า “เป็นเรื่องจริง! อดีตฮ่องเต้ให้คนไปวางยาจุ้ยเฝินเซียงใส่ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการ มันเป็นพิษประหลาดที่ไม่มีสีไม่มีกลิ่น เมื่อถูกพิษไปแล้วก็จะเริ่มป่วยโดยที่ไม่มีอันใดผิดสังเกต แต่หลังจากนั้นห้าวัน ก็จะเริ่มป่วยหนัก และตายลงโดยไม่ทันได้รักษา ต่อให้เป็นท่านหมอเทวดาฝีมือล้ำเลิศเพียงใดก็หาสาเหตุการตายไม่พบ”

 

 

เฟิ่งจือเหยากับฉินเฟิงหันสบตากัน ในใจต่างสั่นสะท้านด้วยกันทั้งคู่ พวกเขาย่อมรู้ดีว่าจุ้ยเฝินเซียงคืออันใด ว่ากันว่าเป็นยาพิษที่หายสาบสูญไปเป็นพันปีแล้ว เป็นหนึ่งในสามพิษประหลาดของใต้หล้าเช่นเดียวกับดอกปี้ลั่วและคูกู่แดง เพียงแต่เรื่องที่การตายของท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการเกี่ยวข้องกับอดีตฮ่องเต้นั้น น่าตระหนกตกใจเสียยิ่งกว่าการตายของม่อซิวเหวินที่เกี่ยวข้องกับม่อจิ่งฉีเสียอีก

 

 

ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการ ม่อหลิวฟางถือเป็นขุนนางทรงคุณธรรมที่หาได้ยาก ก่อนที่อดีตฮ่องเต้จะขึ้นครองราชย์ สถานการณ์ของต้าฉู่ก็มิได้ดีกว่านี้สักเท่าไร ซีหลิงและเป่ยหรงจับจ้องเขาตาเป็นมัน ยามนั้นม่อหลิวฟางที่อายุยังไม่ถึงยี่สิบปีดี นำทัพเข้าต้านทัพใหญ่ของซีหลิงและเป่ยหรงแต่เพียงผู้เดียว จากนั้นก็ยังได้นำทัพไปปราบกบฏ อดีตฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์เมื่ออายุไม่ถึงสิบเก้าปี ม่อหลิวฟางที่เพิ่งอายุได้ยี่สิบกว่าปีก็ได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการ

 

 

ที่ว่าเป็นบู๊สามารถทำให้แคว้นสงบ เป็นบุ๋นสามารถปกครองแคว้น แต่ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแตกต่างจากขุนนางทรงอำนาจจำนวนมากที่ชอบรังแกประมุขที่ยังทรงเยาว์วัย ม่อหลิวฟางพยายามอย่างเต็มที่ในการปกป้องคุ้มครองอดีตฮ่องเต้ หลังจากอดีตฮ่องเต้อายุครบยี่สิบปี ก็เป็นผู้ร้องขอให้ถอนตำแหน่งผู้สำเร็จราชการของตนออกด้วยตนเอง

 

 

ความสมานสามัคคีระหว่างประมุขและขุนนางกว่ายี่สิบปี เรียกได้ว่าเป็นที่สรรเสริญกันไปอีกช้านาน แต่ยามนี้เมื่อซูจุ้ยเตี๋ยคายความลับข้อนี้ออกมา จะไม่ทำให้คนที่ได้ยินตื่นตกใจได้อย่างไร แท้จริงแล้วประวัติศาสตร์เขียนขึ้นเพื่อหลอกลวงผู้คนอย่างนั้นหรือ

 

 

ม่อซิวเหยาค่อยๆ เดินกลับไปนั่งลงไตร่ตรองเงียบๆ ไม่เอ่ยอันใด

 

 

ฉินเฟิงเหลือบมองม่อซิวเหยา เมื่อเห็นเขาไม่มีทีท่าว่าจะถาม จึงเอ่ยขึ้นว่า “เซวียเฉิงเหลียงบอกว่า ตอนนั้นเจ้าเอาของสองอย่างออกมาจากตำหนักติ้งอ๋อง แต่ให้ม่อจิ่งฉีไปเพียงอย่างเดียว ยังมีอีกอย่างหนึ่งอยู่ที่ใด”

 

 

ซูจุ้ยเตี๋ยหน้าเกร็งไป หน้าที่เดิมดูย่ำแย่อยู่แล้ว ยามนี้ยิ่งดูน่ากลัวเข้าไปใหญ่

 

 

ซูจุ้ยเตี๋ยนิ่งไปพักใหญ่ถึงเอ่ยเสียงต่ำออกมาว่า “ตอนนั้นปฐมฮ่องเต้ได้ทิ้งราชโองการฉบับหนึ่งให้ตำหนักติ้งอ๋อง”

 

 

ฉินเฟิงเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ เอ่ยถามว่า “ของอยู่ที่ใด เขียนว่าอย่างไร”

 

 

ซูจุ้ยเตี๋ยเอ่ยว่า “ราชโองการของปฐมฮ่องเต้เขียนไว้ว่า เชื้อพระวงศ์ของต้าฉู่กับตำหนักติ้งอ๋องจะถือเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดกันตลอดไป หากฮ่องเต้รุ่นหลังปฏิบัติผิดไปจากนี้และมีประสงค์ร้ายต่อตำหนักติ้งอ๋อง ท่านติ้งอ๋องสามารถปลดฮ่องเต้และแต่งตั้งฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นได้ทันที”

 

 

ทุกคนต่างตื่นตะลึง ของสำคัญเช่นนี้ ไม่แปลกใจที่ม่อจิ่งฉีคิดอยากช่วยซูจุ้ยเตี๋ยไปให้ได้

 

 

“ของอยู่ที่ใด” เฟิ่งจือเหยาเอ่ยถาม หากมีของสิ่งนี้ พวกเขาจะกลัวว่าจะจับเจ้าคนสารเลวม่อจิ่งฉีไม่ได้อีกหรือ

 

 

ซูจุ้ยเตี๋ยกัดฟันเอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าข้าจะบอกเจ้าหรือ” ซูจุ้ยเตี๋ยไม่ใช่คนโง่ หากพูดเรื่องนี้ออกมา ก็เท่ากับทิ้งยันต์รักษาชีวิตนางเพียงสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ไป

 

 

ม่อซิวเหยาลุกยืนขึ้น เอ่ยสั่งการด้วยเสียงราบเรียบว่า “ฉินเฟิง จัดการนางเสีย” พูดจบเขาก็หมุนตัวเดินออกไปทันที

 

 

ซูจุ้ยเตี๋ยตาค้างมองม่อซิวเหยาอย่างไม่อยากเชื่อ ร้องเสียงหลงว่า “เจ้าไม่อยากได้ราชโองการของปฐมฮ่องเต้หรือ”

 

 

ม่อซิวเหยาหันกลับมายิ้มอย่างเลือดเย็นว่า “หากข้าคิดจะฆ่าม่อจิ่งฉี จะมีหรือไม่มีราชโองการของปฐมฮ่องเต้ ก็สามารถฆ่าเขาได้อยู่ดี” พูดจบ ก็ไม่หันมองซูจุ้ยเตี๋ยที่ตัวแข็งล้มลงกับพื้น ยกเท้าก้าวเดินออกจากห้องไปทันที

 

 

ด้านนอกประตู ภายในห้องอีกห้องหนึ่ง ซูเจ๋อ หานหมิงเย่ว์ หานหมิงซีและหลี่ว์จิ้นเสียนต่างอยู่กันครบ มีเพียงสีหน้าของแต่ละคนที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง

 

 

สีหน้าซูเจ๋อเดี๋ยวแดงเดี๋ยวเขียว ริมฝีปากและมือทั้งสองข้างสั่นไม่ได้หยุด เห็นได้ชัดว่าคงอยู่ในอารมณ์โกรธไม่น้อย

 

 

หานหมิงเย่ว์ใบหน้าขาวซีด แม้แต่ยามที่ม่อซิวเหยาเดินออกมาก็ประหนึ่งมองไม่เห็นกระนั้น

 

 

หลี่ว์จิ้นเสียนกับพวกหัวหน้าพ่อบ้านม่อต่างมีสีหน้าเคียดแค้น แทบอยากจะบุกเข้าไปฆ่าซูจุ้ยเตี๋ยเสียให้รู้แล้วรู้รอด คนที่สงบที่สุดดูจะเป็นหานหมิงซี แต่ก็ยากที่จะปกปิดสีหน้าตื่นตกใจไปได้

 

 

“ผู้อาวุโสซูเข้าไปหานางได้นะ” ม่อซิวเหยาเอ่ยอย่างสงบ

 

 

มีเสียงอึ้กอั้กในลำคอซูเจ๋อสองที ครู่ใหญ่ถึงได้ฝืนพูดออกมา และฝืนยิ้มอย่างน่าเวทนาว่า “ข้าสั่งสอนไม่ได้ความ…ปีศาจร้ายถึงขั้นก่อเรื่องเลวร้ายถึงเพียงนี้ไว้ ข้าจะมีหน้าไปพบบรรพบุรุษของตระกูลซูได้อย่างไร…” เขาสะอึกไป ก่อนซูเจ๋อจะกระอักเลือดสดๆ ออกมา แล้วล้มลงทันที

 

 

หานหมิงซีที่อยู่ใกล้และมีสติที่สุดรีบเข้าไปประคองซูเจ๋อไว้ ได้ยินซูเจ๋อเอ่ยเพียงว่า “ปีศาจร้ายคนนี้…ท่านอ๋องจัดการเลยเถิด…”

 

 

เมื่อเห็นซูเจ๋อหมดสติไป ม่อซิวเหยาก็นิ่งไปครู่หนึ่ง “เชิญท่านเสิ่นมาที”

 

 

เดิมหลี่ว์จิ้นเสียนคิดอยากพูดอันใด แต่ท่านลุงม่อลอบดึงเขาไว้ “ดึกมากแล้ว เรื่องอื่นๆ ที่เหลือค่อยจัดการพรุ่งนี้ก็ยังไม่สาย อีกอย่างพระชายาเพิ่งให้กำเนิดซื่อจื่อน้อย หากตื่นขึ้นมาแล้วไม่พบท่านอ๋องคงรู้สึกไม่สบายใจ”

 

 

ม่อซิวเหยาพยักหน้า “พวกเจ้าก็รีบกลับไปเถิด”

 

 

เมื่อเห็นม่อซิวเหยาเดินจากไปแล้ว หลี่ว์จิ้นเสียนก็เอ่ยด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า “ข้ายังมีเรื่องอยากพูด เหตุใดหัวหน้าพ่อบ้านม่อ ท่านถึงได้…”

 

 

หัวหน้าพ่อบ้านม่อส่ายหน้า “ให้ท่านอ๋องทำใจก่อนค่อยว่ากันเถิด ถึงอย่างไรก็ได้รู้แล้ว ยังจะกลัวว่าจะล้างแค้นไม่ได้อีกหรือ”

 

 

เรื่องเช่นนี้ แม้แต่พวกเขาเมื่อได้ฟังก็ยังตระหนกตกใจไปหมด ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ว่าท่านอ๋องจะถูกทำร้ายจิตใจมากน้อยเพียงใด เดิมท่านอ๋องก็สุขภาพไม่แข็งแรงอยู่แล้ว หากทรุดลงด้วยเหตุนี้ นั่นถึงเรียกว่าได้ไม่คุ้มเสีย

 

 

เมื่อเข้าใจเหตุผลของหัวหน้าพ่อบ้านม่อ หลี่ว์จิ้นเสียนก็หันไปถลึงตาดุใส่กำแพง เอ่ยเสียงเข้มว่า “เอาเถิด คืนวันยังอีกยาวไกล! ข้าก็กลับล่ะ”

 

 

คนภายในห้องเดินหายกันไปอย่างรวดเร็ว หานหมิงเย่ว์มองนิ่งไปที่ประตูห้องที่ปิดสนิท แต่ขยับเขยื้อนไปไหนไม่ได้ เขารู้ว่าภายในห้อง…บางทีซูจุ้ยเตี๋ยอาจกำลังค่อยๆ ตายไป แต่เขากลับมิอาจทำให้ตนลุกขึ้นแล้วผลักประตูที่ไม่ได้ลงกลอนเข้าไปได้

 

 

“ครั้งแรกที่ได้พบหานหมิงเย่ว์ ข้าก็รู้ว่าเขาเป็นคนหน้าโง่ที่หลอกง่าย…”

 

 

ครั้งแรก…

 

 

ภายในป่าที่ดอกเถาฮวาร่วงหล่นประหนึ่งสายฝน ชายหนุ่มอายุสิบสี่ปี ได้พบสตรีอายุสิบสามปีในชุดสีชมพูอ่อนที่กำลังร่ายรำอยู่ท่ามกลางดอกไม้ที่ร่วงหล่น

 

 

“คุณชายเป็นสหายของม่อซิวเหยาหรือเจ้าคะ จุ้ยเตี๋ยคารวะคุณชายหมิงเย่ว์”

 

 

ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ตกลงสู่ห้วงแห่งความรักอย่างมิอาจถอนตัวได้ขึ้น