ตอนที่ 203-1 ปลอบโยน

ชายาเคียงหทัย

เช้ามืด เยี่ยหลีลืมตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเบาๆ ดังมาจากด้านนอก นางผินหน้าไปมองพื้นที่ข้างกายที่ว่างเปล่า เมื่อคืนม่อซิวเหยามิได้กลับมา

 

 

ชิงซวงถือน้ำเดินเข้ามา เมื่อเห็นเยี่ยหลีตื่นอยู่ ก็รีบวางอ่างน้ำลงเข้าไปประคองเยี่ยหลีให้ลุกขึ้นนั่ง ยิ้มพร้อมเอ่ยเบาๆ ว่า “พระชายาตื่นแล้วหรือเพคะ”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า เอ่ยถามว่า “เมื่อคืนท่านอ๋องไม่ได้กลับมาหรือ”

 

 

ชิงซวงพยักหน้า “ได้ยินจากพี่ชิงอวี้และพี่ชิงหลวนว่าเมื่อคืนท่านอ๋องพักที่ห้องหนังสือ อยากให้บ่าวไปเชิญท่านอ๋องมาหรือไม่เพคะ หมัวมัวสั่งไว้แล้วว่า ยามนี้พระชายาต้องอยู่เดือน จะลงจากเตียงไม่ได้เพคะ”

 

 

เยี่ยหลีส่ายหน้า เมื่อเห็นสภาพตนเองแล้วก็จนใจ การต้องอยู่เดือนในยุคสมัยนี้ก็ให้รู้สึกเกินรับไหวไม่น้อย เพียงแต่นางไม่อยากฝืนร่างกายตนเอง นางผินหน้ามองห่อผ้าน้อยที่ยังคงหลับสนิทอยู่ในเปลไกว แล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ “เหตุใดลูกยังหลับอยู่อีกหรือ”

 

 

เว่ยหมัวมัวเดินถือโจ๊กหม้อหนึ่งเข้ามา เมื่อได้ยินนางถามเช่นนี้ก็ยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว “พระชายาอายุยังน้อย ไม่เคยเลี้ยงเด็กย่อมไม่รู้ เด็กที่เพิ่งคลอดพอกินแล้วก็จะนอนหลับ ซื่อจื่อน้อยนอนเยอะๆ ถึงจะโตเร็วๆ เพคะ”

 

 

เยี่ยหลีอมยิ้มรับผ้าอุ่นๆ มาเช็ดหน้ากับมือ และใช้น้ำอุ่นๆ บ้วนปากก่อนรับโจ๊กจากมือเว่ยหมัวมัวมาชิม รสชาติอ่อนๆ ทำให้เยี่ยหลีสบายท้องขึ้นมาก “แม่นมของซื่อจื่อน้อยจัดการเรียบร้อยแล้วหรือยัง”

 

 

เว่ยหมัวมัวยิ้ม “เตรียมแม่นมไว้แล้วสี่คนเพคะ เป็นคนที่รู้ประวัติเป็นอย่างดี พระชายาวางใจเถิดเพคะ”

 

 

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เยี่ยหลีก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “สี่คนเยอะเกินไป เอาไว้สักคนสองคนก็พอ นอกจากคอยให้นมแล้ว เวลาอื่นๆ ก็เอาซื่อจื่อน้อยมาไว้ที่ข้านี่ก็แล้วกัน”

 

 

เว่ยหมัวมัวมองเยี่ยหลีด้วยความลำบากใจ ถึงแม้นางเอกก็เป็นแม่นมของพระชายา แต่การให้แม่นมใกล้ชิดซื่อจื่อน้อยมากเกินไป นางก็ไม่เห็นด้วย หากต่อไปซื่อจื่อน้อยเติบใหญ่ขึ้นแล้วจะติดแม่นมจนไม่สนิทสนมกับพระชายา แต่หากให้พระชายาเป็นคนเลี้ยงด้วยตนเอง เกรงว่าท่านอ๋องก็คงไม่พอใจ

 

 

เยี่ยหลียิ้มบางๆ “จัดการตามนี้ก็แล้วกัน ไว้ลูกข้าอายุครบขวบปีก็ควรเลิกนมได้แล้ว ถึงเวลาค่อยจัดการให้แม่นมไปอยู่ที่อื่นก็แล้วกัน”

 

 

นางไม่คิดจะให้แม่นมเลี้ยงลูกนางจนโต และยิ่งไม่คิดอยากให้มีแม่นมและสาวใช้คณะใหญ่คอยล้อมหน้าล้อมหลังลูกนาง จะได้ไม่เลี้ยงเขาออกมาได้อย่างจย๋าเป่าอวี้

 

 

เว่ยหมัวมัวเอ่ยเตือนเสียงเบาว่า “พระชายาเลี้ยงดูซื่อจื่อน้อยด้วยตนเอง เกรงว่าท่านอ๋องคงจะไม่พอใจ”

 

 

เยี่ยหลียิ้ม “ไม่เป็นไรหรอก เวลาปกติแม่นมกับหลินหมัวมัวคอยช่วยข้าก็พอ ไว้รอเขาโตสักหน่อยก็ไม่ต้องมีคนคอยดูแลแล้ว”

 

 

เว่ยหมัวมัวถึงได้รับคำ โน้มตัวลงไปอุ้มเด็กน้อยที่ดูท่าใกล้จะตื่นเต็มที ไปให้แม่นมให้นม

 

 

เมื่อกินโจ๊กหมดไปถ้วยหนึ่ง เยี่ยหลีก็ยื่นถ้วยคืนกลับไปให้ชิงสยาที่คอยรับใช้อยู่ข้างกาย แล้วเอ่ยถามว่า “เมื่อคืนมีเรื่องอันใดเกิดขึ้นหรือไม่”

 

 

ชิงซวงตอบว่า “เมื่อคืนดูเหมือนใต้เท้าซูที่พักอยู่ที่เรือนใต้จะป่วยนะเพคะ ท่านอ๋องได้เชิญให้ท่านเสิ่นกับท่านหมอหลินไปช่วยดูอาการ ได้ยินว่าป่วยหนักทีเดียวเพคะ”

 

 

ชิงสยาก็พยักหน้าเอ่ยว่า “ตั้งแต่ท่านอ๋องกลับห้องหนังสือไปเมื่อคืน ก็ไม่ออกมาอีกเลย ได้ยินว่าคนที่จะเข้าไปส่งอาหารเช้าก็ถูกกันไว้ที่ด้านนอกเพคะ”

 

 

เยี่ยหลีขมวดคิ้วนิ่งใคร่ครวญอยู่คู่หนึ่ง ”ชิงซวง เจ้าไปที่ห้องครัวอีกที ไปส่งอาหารเช้าให้ท่านอ๋องอีกชุดหนึ่ง บอกว่าข้าสั่ง อีกอย่าง ไปเชิญผู้บัญชาการฉินมาที บอกว่าข้ามีเรื่องจะถาม”

 

 

ชิงซวงพยักหน้าเอ่ยรับว่า “บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้เพคะ”

 

 

“ข้าน้อยฉินเฟิง ขอเข้าพบพระชายาพ่ะย่ะค่ะ” ไม่นาน ฉินเฟิ่งก็มาขอเข้าพบอยู่ที่ด้านนอก

 

 

เยี่ยหลีเอ่ยเบาๆ ว่า “เข้ามาเถิด”

 

 

แต่ไหนแต่ไรมาเยี่ยหลีและม่อซิวเหยาต่างมิได้เคร่งครัดเรื่องพิธีรีตองเหล่านี้ ยามนี้เมื่อเยี่ยหลีไม่สะดวกจะออกไปข้างนอก ฉินเฟิงจึงยืนรายงานอยู่ข้างฉากกั้นรูปเทือกเขาเมฆครึ้ม

 

 

ฉินเฟิงก็รู้ว่าเยี่ยหลีต้องการถามเรื่องใด จึงไม่รอให้เยี่ยหลีเอ่ยถาม ก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้เยี่ยหลีฟังโดยละเอียด และย่อมรวมถึงวิธีจัดการกับซูจุ้ยเตี๋ยด้วย

 

 

ซุจุ้ยเตี๋ยสู้อดทนมากว่าครึ่งปี ในที่สุดก็มาถึงจุดจบจนได้ ก่อนตายนางยังได้บอกที่เก็บราชโองการแห่งปฐมฮ่องเต้ออกมาอีกด้วย หากม่อซิวเหยาไม่ต้องการของสิ่งนี้ สิ่งนั้นก็มิใช่ยันต์รักษาชีวิตนางอีกต่อไปแต่เป็นเพียงกระดาษไร้ประโยชน์แผ่นหนึ่งเท่านั้น

 

 

ของสิ่งนั้นยามนี้ยังอยู่ที่เมืองหลวง ยามนั้นซูจุ้ยเตี๋ยรีบร้อนหนีออกจากเมืองหลวงไปโดยมีหานหมิงเย่ว์คอยช่วยเหลือ ไม่มีเวลาไปเอาของที่นางซ่อนเอาไว้ อีกอย่าง หากนางเก็บของสิ่งนั้นไว้กับตัว เกรงว่าคงจะกลายเป็นยันต์คร่าชีวิตนางแทน

 

 

เมื่อได้ฟังเรื่องราวจากฉินเฟิง เยี่ยหลีก็อึ้งไป ถึงแม้ตั้งแต่เกิดเรื่องถานจี้จือขึ้น ในใจเยี่ยหลีพอจะคาดเดาเรื่องราวเอาไว้บ้าง แต่คาดไม่ถึงเลยว่า เมื่อได้มาฟังเรื่องจริงๆ แล้ว นางจะตกใจถึงเพียงนี้ อีกทั้งหนึ่งในนั้นยังมีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการตายของอดีตฮ่องเต้และท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการ ม่อหลิวฟางอีกด้วย ดูท่าที่ราชวงศ์ต้องการกำจัดตำหนักติ้งอ๋องคงไม่ใช่แค่ช่วงเวลาสั้นๆ แล้ว

 

 

“ท่านอ๋องมีแผนจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไรแล้วหรือยัง” เยี่ยหลีเอ่ยถาม

 

 

ฉินเฟิงส่ายหน้า “ท่านอ๋องปิดตัวอยู่ในห้องหนังสือตั้งแต่เมื่อคืน และมิได้มีบัญชาอันใดพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า เรื่องนี้ส่งผลต่อจิตใจม่อซิวเหยามากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย คงต้องใช้เวลาในการใคร่ครวญจริงๆ

 

 

เวลาผ่านไปจนถึงช่วงเที่ยง ม่อซิวเหยาถึงได้กลับมาพร้อมสีหน้าเหนื่อยล้า เมื่อเห็นเขานัยน์ตาแดงก่ำ เยี่ยหลีก็รู้ว่าเขาไม่ได้นอนทั้งคืนอย่างแน่นอน

 

 

เยี่ยหลีถอนใจเบาๆ ไม่ยอมให้เขาพูดอันใด เพียงเอ่ยเสียงเบาว่า “นอนพักเสียก่อนเถิด มีเรื่องอันใดตื่นมาแล้วค่อยว่ากัน”

 

 

ม่อซิวเหยาเหนื่อยล้ามากจริงๆ แรกเริ่มเดิมทีเขาโกรธจัดจากคำสารภาพของเซวียเฉิงเหลียง จากนั้นเยี่ยหลีคลอดบุตรก็ทำให้เขาเคร่งเครียดไปหมด เมื่อคืนนี้ด้วยเพราะสิ่งที่ซูจุ้ยเตี๋ยคายออกมาทำให้เขาตกใจเป็นอย่างมาก หากมิใช่เพราะหลายปีนี้ ม่อซิวเหยาฝึกทำจิตใจให้สงบมาได้เป็นผลดี เกรงว่าคงไม่ต้องรอให้ซูจุ้ยเตี๋ยพูดจบ เขาคงเอาดาบฟันคอซูจุ้ยเตี๋ยแล้วเคลื่อนพลเข้าด่านไปสังหารคนที่เมืองหลวงโดยทันที

 

 

ตั้งแต่เมื่อคืนวานจนถึงยามนี้ ม่อซิวเหยายังมิได้ข่มตาลงอีกเลย วันนี้เกิดเรื่องขึ้นมากเกินไปจริงๆ เขาจะไม่รู้สึกเหนื่อยได้อย่างไร

 

 

เขาเอนตัวลงนอนบนเตียง หันมองเยี่ยหลีที่เอนตัวมาดึงผ้าห่มห่มให้เขา ม่อซิวเหยาเปิดปิดตาอยู่หลายครั้ง แล้วในที่สุดก็ผล็อยหลับไป

 

 

เยี่ยหลีก้มหน้ามองบุรุษที่กำลังหลับลึก แล้วก็ได้แต่ถอนใจเบาๆ อย่างหดหู่ นางเอนหลังพิงหัวเตียง หลับตาลงนึกใคร่ครวญถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในซีเป่ย ยามนี้เรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้วก็กระจ่างชัดขึ้นมาแล้ว ที่สามารถทำให้ม่อซิวเหยาตื่นขึ้นมา เกรงว่าสถานการณ์ในซีเป่ยและต้าฉู่คงมีเรื่องอื่นที่สำคัญอีกเป็นแน่

 

 

เยี่ยหลีไม่อยากขัดไม่ให้ม่อซิวเหยาทำอันใดตามที่ตนเองต้องการ ม่อซิวเหยาเองก็ถูกกดหัวเอาไว้นานเกินไปเช่นเดียวกับกองทัพตระกูลม่อ ส่วนการกระทำของท่านนั้นในวังหลวง ก็มิอาจทำให้คนเชื่อได้ว่าเขาเป็นประมุขที่ดีที่รักใคร่ประชาชนเสมือนหนึ่งบุตร

 

 

“พี่ใหญ่…เสด็จพ่อ…พี่ใหญ่! พี่ใหญ่…” ในความฝัน ม่อซิวเหยาเอ่ยละเมอเสียงเบา ประหนึ่งกำลังอยู่ในฝันร้ายอันน่าตื่นกลัว

 

 

เยี่ยหลีนึกย้อนไปถึงคำสารภาพของซูจุ้ยเตี๋ยที่ฉินเฟิงเล่าให้นางฟังแล้วถึงกับใจสั่น นางตบเบาๆ ลงบนผ้าห่มบนตัวเขา เอ่ยเสียงต่ำว่า “เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของท่าน ซิวเหยา…ไม่ต้องกลัว…ไม่ใช่ความผิดของท่าน…”

 

 

“เสด็จพ่อ พี่ใหญ่…”

 

 

ม่อซิวเหยารู้สึกตัว ก็ได้ยินเสียงม่อซิวเหยาเอ่ยเบาๆ พร้อมยิ้มน้อยๆ อยู่ข้างหู

 

 

เมื่อลืมตาขึ้น ก็เห็นเยี่ยหลีนั่งอยู่ข้างกายตน เอนหลังพิงหัวเตียง กำลังหยอกล้อลูกน้อยที่เปลี่ยนผ้าห่อมาใหม่เป็นสีม่วงอ่อน บนใบหน้าที่หมดจดงดงามมีรอยยิ้มบางๆ อย่างอ่อนโยน

 

 

เยี่ยหลีเมื่อหันไปเห็นม่อซิวเหยาลืมตาอยู่ ก็ยิ้มให้เขาโดยไม่รู้ตัว “ตื่นแล้วหรือ ดูลูกสิ”

 

 

ม่อซิวเหยาลุกขึ้นนั่ง มองเด็กที่อยู่ในห่อผ้า ที่กำลังมองเขาด้วยสองตาที่เป็นประกาย ใบหน้าที่เมื่อวานและแดงก่ำและเ**่ยวย่น ดูดีขึ้นไม่น้อย ถึงแม้จะไม่ถึงกับขาวและอวบอ้วน แต่ก็ต่างกับเจ้าลิงน้อยตัวแดงๆ ของเมื่อวานอย่างมาก

 

 

เยี่ยหลีอุ้มลูกน้อยโยกไปมาเบาๆ ด้วยความรักใคร่ เด็กคนนี้นอนเก่งเกินไปจริงๆ นอกจากกินนมแล้ว ตั้งแต่คลอดออกมาก็เพิ่งเห็นเขาตื่นเช่นนี้เป็นครั้งแรก “หึหึ ยามนี้ลูกยังมองไม่เห็นหรอก ไว้ผ่านไปสักสามสี่วันก็จะยิ่งน่ารักขึ้น”

 

 

ม่อซิวเหยานิ่งมองเยี่ยหลีที่กำลังเย้าแหย่ลูกน้อย ถึงแม้จะรู้สึกว่าเจ้าตัวเล็กนี้ดูน่ารำคาญตายิ่งนัก แต่เขาก็มิได้พูดอันใดมาก เพียงมองดูเยี่ยหลีที่สีหน้าเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและดูรักใคร่ขึ้นหลายส่วนอยู่เงียบๆ เท่านั้น สีหน้าที่เดิมดูเย็นชาก็ดูอ่อนลงโดยไม่รู้ตัว

 

 

รอจนลูกน้อยผล็อยหลับไปอีกครั้ง เยี่ยหลีถึงได้เรียกเว่ยหมัวมัวให้มาอุ้มเขาออกไป ก่อนหันกลับมามองม่อซิวเหยาที่อยู่ข้างกาย เมื่อเห็นสีหน้าเขายังดูหม่นหมองก็เอ่ยเบาๆ ว่า “เรื่องเหล่านั้นไม่ใช่ความผิดของท่าน พี่ใหญ่ไม่โทษท่านหรอก”

 

 

ม่อซิวเหยาอึ้งไป เมื่อตั้งสติได้ถึงได้รู้ว่าเยี่ยหลีกำลังพูดเรื่องอันใด เขายกมือขึ้นลูบเบาๆ ที่ผมด้านหลังเยี่ยหลี เอ่ยด้วยน้ำเสียงแห้งๆ ว่า “เสด็จแม่คลอดข้าได้ไม่เท่าไรก็จากไป เสด็จพ่อก็ยุ่งกับงานราชการ เรียกได้ว่าพี่ใหญ่เป็นคนเลี้ยงข้ามาตั้งแต่เล็กจนโต พวกเราพี่น้องย่อมรักใคร่กลมเกลียวกัน อีกทั้งด้วยความสามารถของข้า ต่อให้ไม่สามารถมียศถาบรรดาศักดิ์อันใดได้ แต่อย่างไรก็คงมิอาจพึ่งพาตำหนักติ้งอ๋องแล้วใช้ชีวิตอย่างสุขสบายไปวันๆ อย่างคุณชายเจ้าสำราญได้”

 

 

เรื่องเหล่านี้เยี่ยหลีย่อมรู้ดี อันที่จริงม่อซิวเหวินกับม่อซิวเหยาก็อายุต่างกันเพียงเจ็ดแปดปีเท่านั้น เยี่ยหลีดูจะพอจินตนาการเห็นภาพม่อซิวเหวินที่อายุเจ็ดแปดปี กำลังอุ้มน้องชายแรกเกิดในตำหนักติ้งอ๋องที่แสนเปลี่ยวเหงาว่าเป็นอย่างไร ก็ไม่แปลกใจว่าเหตุใดพวกเขาพี่น้องถึงได้รักใคร่กันนัก เกรงว่าในใจม่อซิวเหยา ฐานะของพี่ใหญ่คนนี้คงจะมิได้ยิ่งหย่อนไปกว่าม่อหลิวฟางผู้เป็นเสด็จพ่อแม้แต่น้อย

 

 

และด้วยเพราะเหตุนี้ ม่อซิวเหยาที่เพิ่งอายุได้สิบกว่าปีถึงต้องออกไปทำศึก เพื่อเป็นการบอกเสด็จพ่อและพี่ชายว่า ถึงแม้ตนจะมิได้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งอ๋อง แต่ก็สามารถมีความทะเยอทะยาน เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตอย่างอิสระได้