ตอนที่ 203-2 ปลอบโยน

ชายาเคียงหทัย

“เป็นเพราะยามนั้นข้าประเมินซูจุ้ยเตี๋ยคนสารเลวนั่นต่ำเกินไป! หากมิใช่เพราะข้า…” ยามนั้นซูจุ้ยเตี๋ยเคยเอ่ยเรื่องตำแหน่งท่านอ๋องและตำหนักติ้งอ๋องต่อหน้าตนจริงๆ ยามนั้นเขาต่อว่าซูจุ้ยเตี๋ยไปอย่างรุนแรง และสั่งนางว่าต่อไปห้ามเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก แล้วเขาก็ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท

 

 

ยามนั้นสิ่งที่เขาคิดคือ ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างตนกับพี่ใหญ่ จะมาถูกสตรีนางหนึ่งยุแหย่ได้อย่างไร และไม่เคยคิดว่าว่าซูจุ้ยเตี๋ยจะมีแผนการร้าย คิดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นการฝังรากปัญหาให้กับตำหนักติ้งอ๋องและพี่ใหญ่ แม้แต่เขาเองก็ยังต้องแลกมาด้วยการสูญเสียอย่างน่าเวทนา

 

 

เยี่ยหลีถอนใจเบาๆ เอ่ยปลอบใจเสียงอ่อนโยนว่า “พี่ใหญ่ไม่มีทางโทษท่านหรอก ซิวเหยา…นี่ไม่ใช่ความผิดของท่าน ม่อจิ่งฉีคิดอยากจัดการตำหนักติ้งอ๋องกับพี่ใหญ่อยู่ก่อนแล้ว ต่อให้ซูจุ้ยเตี๋ยไม่มีความคิดนั้นก็ไม่แน่ว่าพวกเขาจะไม่หาโอกาสเล่นงานทางอื่น”

 

 

เขาดึงเยี่ยหลีเข้ามากอด ม่อซิวเหยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงโกรธแค้นว่า “ม่อจิ่งฉี! ข้าจะทำให้มันอยู่เหมือนตายทั้งเป็น!”

 

 

เยี่ยหลีอมยิ้มตบบ่าเขา เอ่ยเบาๆ ว่า “ไม่ว่าท่านจะทำอันใด ข้ากับกองทัพตระกูลม่อทุกคนจะคอยสนับสนุนท่าน”

 

 

เมื่อพักสักครู่แล้วเห็นว่าม่อซิวเหยาสงบลงมาก เยี่ยหลีถึงได้เอ่ยถามขึ้นว่า “ในใจซิวเหยามีคิดวางแผนอันใดไว้หรือไม่ ยามนี้ในซีเป่ยก็มีเรื่องไม่น้อยทีเดียว ช่วงนี้จำนวนคนที่เดินทางเข้ามาในซีเป่ยจากที่ต่างๆ ก็เพิ่มขึ้นจากปกติหลายเท่า เกรงว่าพื้นที่บริเวณโดยรอบหงโจวคงถูกคนเหล่านั้นพลิกแผ่นดินหากันจนทั่วแล้ว”

 

 

น่าเสียดายที่คนเหล่านั้นไม่รู้ว่า หากคิดอยากเข้าสุสานหลวงของปฐมฮ่องเต้ผ่านทางซีเป่ย ถือเป็นความพยายามที่สูญเปล่า นอกเสียจากจะฝืนขุดเปิดสุสาน มิเช่นนั้นต่อให้ถานจี้จือมาด้วยตนเอง ก็ทำได้เพียงอ้อมไปเข้าทางอื่นเท่านั้น

 

 

ยามนี้ในซีเป่ย นอกจากกองทัพตระกูลม่อ ผู้ใดเลยจะกล้าอุกอาจขุดเปิดสุสาน และกองทัพตระกูลม่อก็ไม่มีทางขุดค้นสุสานของปฐมฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ก่อนอย่างแน่นอน ถึงแม้ราชวงศ์ก่อนจะล่มสลายไปแล้ว แต่ปฐมฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ก่อนก็เป็นวีรบุรุษที่ชนรุ่นหลังเล่าขานสืบต่อกันมา อีกอย่างการขุดค้นสุสาน ไม่ว่าสุสานที่ขุดค้นจะเป็นสุสานของผู้ใด ก็มิใช่ชื่อเสียงที่ดีเอาเสียเลย ถึงอย่างไรสุสานหลวงก็อยู่ในเขตซีเป่ย และอยู่ไม่ห่างจากเมืองหรู่หยางสักเท่าไรนัก นอกจากถานจี้จือและท่านหมอหลินแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดรู้ดีไปกว่าเยี่ยหลีว่าข้างในมีของสิ่งใดอยู่บ้าง ของอยู่ในนั้นก็หนีไปที่ใดไม่ได้ นางย่อมไม่จำเป็นต้องรีบร้อน

 

 

ม่อซิวเหยาหัวเราะเยาะทีหนึ่ง “ในเมื่อม่อจิ่งฉีใจร้อนถึงเพียงนี้ ข้าก็ย่อมต้องให้ของขวัญชิ้นใหญ่แก่เขาชิ้นหนึ่ง แล้วยังคนเหล่านั้นที่ใจร้อนอยากได้แท่นประทับหยกสืบทอดแคว้น…ก็รับของขวัญชิ้นใหญ่ของข้าไปพร้อมๆ กันเลยก็แล้วกัน”

 

 

เมื่อเห็นสีหน้ายิ้มเย็นของม่อซิวเหยา เยี่ยหลีก็เอ่ยถามด้วยความใคร่รู้ว่า “ของขวัญชิ้นใหญ่อันใดหรือ”

 

 

ม่อซิวเหยายิ้ม เอ่ยว่า “ถึงเวลาอาหลีก็จะรู้เอง ใช่สิ พอเจ้าเด็กนั่นอายุครบเดือนแล้วจะต้องเชิญท่านชิงอวิ๋นกับท่านหงอวี่มาที่ซีเป่ยหรือไม่”

 

 

เยี่ยหลีมีท่าทีลังเล “เกรงว่าท่านตากับท่านลุงใหญ่คงจะไม่สะดวกกระมัง”

 

 

หากว่ายามนี้ม่อจิ่งฉีไม่ส่งคนไปคอยจับตาดูท่านตากับท่านลุงใหญ่ไว้ เกรงว่าแม้แต่เด็กที่เพิ่งเกิดอย่างม่อตัวน้อยก็คงไม่เชื่อเช่นกัน ถึงแม้พวกเขาจะจัดสรรคนไปคอยคุ้มกันความปลอดภัยของสำนักศึกษาหลีซานแล้ว แต่ไม่ว่าจะออกเดินทางอย่างเปิดเผยหรือลักลอบเดินทางออกมา หากสำนักศึกษาหลีซานขาดบุคคลสองท่านนี้ไป อย่างไรก็ไม่มีทางที่จะไม่เป็นที่สนใจของผู้คน หากเป็นไปได้ เยี่ยหลีก็หวังที่จะรับท่านตาและท่านลุงใหญ่ทั้งครอบครัวมาที่ซีเป่ยได้ แต่ด้วยนิสัยของท่านตา ไม่มีทางยอมอย่างแน่นอน เพราะเหตุนี้ หากรีบร้อนรับตัวพวกท่านมา กลับจะยิ่งทำให้พวกเขาเข้าสู่วังวนของการต่อสู้เหล่านี้

 

 

ม่อซิวเหยาเอ่ยกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “หลายวันก่อนข้าได้อ่านสิ่งที่เจ้าเขียนไว้เกี่ยวกับการการปกครองซีเป่ย หนึ่งในนั้นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งคือเรื่องการศึกษา แต่ซีเป่ยอยู่ค่อนข้างห่างไกล มิได้มีบัณฑิตมากมายเท่าที่อวิ๋นโจว ในประวัติศาสตร์ก็มิได้มีบัณฑิตผู้มีชื่อเสียงสักเท่าไรนัก ต่อไปต่อให้พวกเราเปิดสำนักศึกษา เกรงว่าก็คงหาอาจารย์ดีๆ มาคอยชี้แนะไม่ได้ เรื่องนี้คงต้องขอร้องให้ท่านชิงอวิ๋นกับท่านหงอวี่ช่วยถึงจะดี”

 

 

เยี่ยหลีหน้าแดงขึ้นเล็กน้อย “ข้าก็ซี้ซั้วเขียนไปอย่างนั้น หากมีตรงใดที่ไม่เหมาะสม…”

 

 

ม่อซิวเหยายิ้ม “จะไม่เหมาะสมได้อย่างไร อาหลีของข้าช่างเป็นสตรีแปลกประหลาดที่ไม่มีผู้ใดในใต้หล้าเสมอเหมือนจริงๆ ไม่เพียงสามารถควบม้าออกไปห้ำหั่นศัตรู แต่ยังสามารถบริหารแว่นแคว้นได้อีกด้วย ถ้าเทียบกับอาหลีแล้ว พวกเสนาบดี เจ้ากรมทั้งหลายเหล่านั้น ก็เป็นแค่พวกไร้ประโยชน์ที่เอาแต่กินดื่มไปวันๆ เท่านั้น”

 

 

เมื่อถูกม่อซิวเหยาเอ่ยชมอย่างไม่เกรงใจเช่นนี้ เยี่ยหลีก็ยิ่งรู้สึกขัดเขิน คราแรกที่นางเขียนสิ่งเหล่านั้นออกมา มิได้คิดอันใดมากเลยจริงๆ คิดเพียงว่า ภายหลังจากสงคราม ซีเป่ยคงอยู่ในสภาพที่ยุ่งเหยิง ไม่ว่านางหรือม่อซิวเหยาต่างก็ไม่เคยมีประสบการณ์ในการปกครองจริงๆ มาก่อน หากถึงเวลาจะต้องวุ่นวายแล้ว สู้ไตร่ตรองไว้ก่อนดีกว่าเมื่อถึงเวลาแล้วจะทำอันใดไม่ถูก

 

 

เพียงแต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อมานั้นกลับมิใช่สิ่งที่เยี่ยหลีสามารถคาดเดาได้เลยแม้แต่น้อย แต่ก็ยังโชคดีที่ซีเป่ยมิได้ถูกโจมตีอย่างรุนแรงเท่าที่คิดไว้ และม่อซิวเหยาก็สามารถบุกยึดพื้นที่นอกด่านเฟยหงไว้ได้อย่างรวดเร็วประหนึ่งสายฟ้า ทำให้สถานการณ์ในซีเป่ยภายหลังการรบคลี่คลายไปได้มากทีเดียว

 

 

ม่อซิวเหยาโอบกอดเยี่ยหลีไว้พร้อมเอนหลังพิงหัวเตียง ขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด พลางเอ่ยว่า อันที่จริงข้ายังหวังให้ท่านชิงอวิ๋นกับท่านหงอวี่มาที่ซีเป่ย ใต้เท้าสวีและคุณชายชิงเฉินด้วย ต่อไปเรื่องในซีเป่ยคงจะยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ในตำหนักติ้งอ๋องถ้าเป็นแม่ทัพสายบู๊ย่อมมีไม่น้อย แต่หากพูดถึงคนที่สามารถบริหารพื้นที่และทำความดีเพื่อสังคมแล้ว กลับไม่มีแม้แต่คนเดียว”

 

 

ตำหนักติ้งอ๋องเดิมก็เป็นตระกูลที่มีผลงานด้านการทหาร ถึงแม้ติ้งอ๋องทุกรุ่นล้วนมีความสามารถทั้งด้านบุ๋นและบู๊ แต่บรรดาลูกน้องก็ยังคงเป็นนายทหารเสียส่วนใหญ่ เพราะถึงอย่างไรตำหนักติ้งอ๋องก็มิใช่ราชสำนัก ไม่จำเป็นต้องมีขุนนางสายบุ๋นสำหรับบริหารพื้นที่หรือร่วมว่าราชการให้มากมาย

 

 

เยี่ยหลีคิดแล้วเอ่ยว่า “ยามนี้พี่ใหญ่อยู่ที่ซีเป่ย ให้คนไปส่งจดหมาย ขอเพียงเขาได้รับจะต้องมาเยี่ยมลูกอย่างแน่นอน แต่ท่านตากับท่านลุงใหญ่คงออกจากอวิ๋นโจวไม่ได้ง่ายๆ หรือเช่นนั้น…ข้าเดินทางไปเอง?”

 

 

“ไม่ได้!” เขากระชับมือที่เอว แล้วเยี่ยหลีก็ถูกดึงกลับเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนอีกครั้ง คางของม่อซิวเหยากดอยู่บนหัวไหล่ของเยี่ยหลี เขาเอ่ยเสียงขรึมว่า “เรื่องท่านชิงอวิ๋น ข้าจะเขียนจดหมายไปปรึกษาท่านด้วยตนเอง ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าไปไหนทั้งนั้น!”

 

 

เยี่ยหลีเลิกคิ้ว นี่ก็ออกจะเกินไปสักหน่อยกระมัง

 

 

เขาไม่รอให้เยี่ยหลีพูดอันใด ม่อซิวเหยาถูกคางเล็กน้อย น้ำเสียงที่เคยดุดันอย่างยิ่ง เปลี่ยนเป็นน่าสงสารและระมัดระวังขึ้นในพริบตา “อาหลี อย่าไปเลย อย่าไปจากข้า…”

 

 

สวบ… ธนูเล็กๆ ดอกหนึ่งพุ่งเข้าเสียบกลางใจ เยี่ยหลีหน้าหมองคล้ำลงทันที เขาคนนี้เปลี่ยนเป็นคนน่าไม่อายเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน

 

 

“อาหลี…เจ้าจะไปจากข้าอีกแล้ว…เช่นนั้นเจ้าไปที่ใดข้าก็จะไปกับเจ้าด้วยดีหรือไม่ ข้ากลัว…หากเกิดอันใดขึ้นกับเจ้า ข้าจะเอาเจ้าม่อตัวน้อยไปโยนทิ้ง จนเขากลายเป็นเด็กกำพร้าที่ไม่มีพ่อมีแม่ ต้องเร่ร่อนไปทั่วได้แต่อดมื้อกินมื้อ…”

 

 

เยี่ยหลียื่นมือไปหยิกเข้าที่เอวใครบางคนอย่างอดไม่อยู่ “นั่นเป็นลูกของท่านนะ ท่านมีความแค้นกับเขาลึกซึ้งเพียงใดกันแน่เนี่ย”

 

 

ม่อซิวเหยาหาได้สนใจเรื่องนี้ไม่ เขาเจ็บจนเบ้ปากแต่ก็ยังคงไม่เปลี่ยนคำพูด จนเมื่อเห็นว่าในดวงตาที่หรี่ลงของเยี่ยหลีมีประกายเย็นวาบของความอันตรายแล้ว เขาถึงได้ฝืนใจหยุดปากลง เอ่ยถามว่า “เช่นนั้นอาหลีจะไม่มีวันทิ้งข้า”

 

 

เยี่ยหลีถอนใจเอ่ยว่า “ไม่มีวัน ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้น ท่านกับลูกอยู่ที่นี่กันหมดแล้วข้าจะไปที่ใดได้”

 

 

เมื่อได้ยินเช่นนี้ม่อซิวเหยาถึงได้โอบกอดเยี่ยหลีด้วยความพอใจ หากท่านชิงอวิ๋นไม่มา ไว้อีกสองปีเขาจะแอบส่งม่อตัวน้อยไปให้เขา อาหลีก็จะเป็นของเขาคนเดียว

 

 

เยี่ยหลีเหลือบมองม่อวิวเหยาที่เอาแต่กอดนางอยู่อย่างเกียจคร้าน แล้วก็ได้แต่นึกถอนใจอย่างจนใจ แล้วกลับไปพูดเรื่องก่อนหน้านี้ต่อ “ที่ท่านพูดเมื่อครู่ หมายความว่าพอเจ้าตัวน้อยครบเดือนแล้วท่านจะจัดงานเลี้ยงใหญ่หรือ”

 

 

ม่อซิวเหยายิ้ม “ซื่อจื่อของข้าเกิดทั้งทีย่อมต้องจัดงานใหญ่ คนพวกนั้นมิได้เพียงคิดหาทางมาซีเป่ยเพื่อสืบเรื่องสมบัติหรือ ถ้าต้องให้พวกเขาหลบๆ ซ่อนๆ ลอบเข้ามา สู้เชิญพวกเขามาอย่างเป็นทางการเลยไม่ดีกว่าหรือ ข้าจะคอยดูว่าพวกมันจะหาตราประทับหยกสืบทอดแคว้นอันใดมาได้” ต่อให้มีแท่นประทับหยกสืบทอดแคว้นจริง หากไม่ได้รับความเห็นชอบจากเขา เขาจะคอยดูว่าผู้ใดกันที่จะสามารถเอาของออกไปจากซีเป่ยได้

 

 

เยี่ยหลีถึงกับใจกระตุก เอ่ยว่า “ท่านกำลังคิดว่า…”

 

 

ม่อซิวเหยายิ้มอย่างน่าสยดสยอง “มิได้ว่ากันว่า ผู้ที่มีแท่นประทับหยกสืบทอดแคว้นเท่ากับได้ครอบครองใต้หล้าหรือ เช่นนั้นก็มาดูกันว่าผู้ใดจะแย่งแท่นประทับหยกนั้นมาได้ และผู้ใดจะแย่งชิงใต้หล้ามาได้”

 

 

เยี่ยหลีขมวดคิ้วนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง “แท่นประทับหยกหากหลุดออกไปจากตำหนักติ้งอ๋องคงมิใช่เรื่องดี ถ้ามี…”

 

 

นางคิดขึ้นมาได้ว่าตนได้หยิบผ้าผืนสีเหลืองสดผืนหนึ่งออกมาจากสุสานหลวง แล้วเยี่ยหลีก็ระบายยิ้มออกมาทันที

 

 

นางหันมองม่อซิวเหยาแล้วเอ่ยว่า “ข้าลืมไปเสียสนิทเลย ว่าตอนนั้นได้นำแผนที่สมบัติลับชิ้นหนึ่งออกมาจากสุสานหลวงด้วย”