บทที่ 461 สิ่งที่ต้องชนะคือตัวเอง / บทที่ 462 เทพมาเยือน Ink Stone_Romance
บทที่ 461 สิ่งที่ต้องชนะคือตัวเอง
ทุกการกระทำของซวี่หมิง ทุกการออกแบบแววตาล้วนเข้าถึงอารมณ์ แม้แต่ความเร็วและจังหวะการพูดยังเหมาะเจาะกับอารมณ์ของตัวละคร
เทียบกับการแสดงเกินจริงและตื้นเขินของเหล่าเด็กหน้าใหม่ก่อนหน้านี้แล้ว มันคนละระดับกันเลยทีเดียว
[ว้าว! ซวี่หมิงของเราเก่งจังเลย! ท่าทางดุๆ นั่นเท่ระเบิด เป็นหลินลั่วเฉินในใจพวกเราจริงๆ! ใครมันกล้าพูดว่าข้ามผ่านหลินลั่วเฉินของลั่วเฉินไม่ได้?]
[แฟนคลับภาคก่อนขอบอกว่า…ไม่เลวเลย ดีกว่าพวกที่ออดิชันก่อนหน้านี้เยอะ! มีความรู้สึกของหลินลั่วเฉินที่ชั่วร้ายขึ้นอย่างชัดเจน! ความรู้สึกที่ปลดเปลื้องพันธนาการ หลุดพ้นจากขนบเดิมๆ น่ะ!]
[รู้สึกว่าลั่วเฉินได้เปรียบมากเลย ไม่ใช่แค่มีเวลาเตรียมตัวมากกว่า ยังลอกเลียนวิธีการแสดงของซวี่หมิงที่รักเพื่อผ่านออดิชันได้ด้วย! ไม่ยุติธรรมเลย]
[ฉันจะดูซิว่าเขาจะเล่นยังไง ถ้ากล้าเลียบแบบซวี่หมิงของเราละก็ พวกเราจะเล่นงานเขาให้ตายเลย!]
…
สำหรับฝีมือการแสดงของซวี่หมิง รองผู้กำกับและโปรดิวเซอร์ทุกคนต่างพากันพยักหน้า แม้กระทั่งซ่งจินหลินที่หน้าบูดบึ้งมาตลอดยังผ่อนคลายลงเล็กน้อย
เมื่อหันไปที่ลั่วเฉิน แววตาของผู้กำกับดูไม่ใส่ใจอย่างเห็นได้ชัด เอ่ยเตือนอย่างลวกๆ “ลั่วเฉิน นายเริ่มได้เลย”
เทียบกับซวี่หมิงที่เข้าถึงบทได้รวดเร็วภายในห้าวินาที หลังจากที่รองผู้กำกับเรียกให้เริ่ม ลั่วเฉินยังคงนั่งอยู่ที่ตำแหน่งเดิมของตัวเอง
บนการไลฟ์สดเริ่มมีคนวิพากษ์วิจารณ์
[ทำอะไรอะ เข้าถึงบทช้าขนาดนั้นเลยเหรอ? เมื่อกี้แค่ห้าวินาที ซวี่หมิงก็เข้าถึงบทได้แล้วนะ!]
[นักแสดงมืออาชีพน่ะ การเข้าถึงบทได้เร็วเป็นเรื่องพื้นฐาน แค่นี้ยังทำไม่ได้ นี่แหละเหตุผลที่ซวี่หมิงให้เขาเล่นทีหลัง!]
[สองคนนี้ห่างชั้นกันมากเกินไป!]
[คนไม่เกี่ยวข้องขอเชียร์ซวี่หมิง! รอให้ซวี่หมิงเล่นบทหลินลั่วเฉินในรูปแบบใหม่ให้พวกเราได้ชม!]
[แฟนคลับภาคก่อนขอบอกว่า หลังจากได้ดูการแสดงของซวี่หมิง เหมือนว่าจะคาดหวังได้นะ!]
ความจริงสถานการณ์ของลั่วเฉินเสียเปรียบมาก เพราะเขาคือนักแสดงชุดเดิม จุดเริ่มต้นอยู่สูงเกินไป ความคาดหวังที่บรรดาแฟนคลับมีต่อเขาก็ยิ่งสูง
คนที่เขาต้องเอาชนะไม่ได้มีเพียงผู้เข้าทดสอบหน้ากล้องทุกคน ยังมีตัวเขาเองด้วย
ผ่านไปประมาณสิบห้าวินาทีเต็ม ลั่วเฉินถึงได้เริ่มเคลื่อนไหว
เขาเงยหน้าขึ้นช้าๆ มองไปทางซวี่หมิง สายตาไร้ซึ่งความชั่วร้าย ไม่มีความเย็นชา กลับมีความสนิทสนมและความคิดถึงแฝงอยู่
อวิ๋นไห่เคยเป็นพี่น้องร่วมสำนัก ทว่าตอนนี้ จุดยืนของทั้งสองต่างกันราวฟ้ากับเหวแล้ว
อวิ๋นไห่คือคนรุ่นหลังที่โดดเด่นที่สุดในสายธรรม ส่วนเขาคือปีศาจร้ายซึ่งทุกคนขับไสไล่ส่ง
ถึงอย่างนั้น ต่อให้อยู่ในสถานะคนก็ไม่ใช่ปีศาจก็ไม่เชิง ในสถานการณ์ที่หลินลั่วเฉินละทิ้งทุกสิ่งในอดีตแล้ว ยามเผชิญกับอวิ๋นไห่ผู้ร่วมเป็นร่วมตายกันมา เขาก็ยังเห็นเป็นเหมือนสหายเก่า
พริบตาที่ลั่วเฉินมองซวี่หมิง ทั้งที่ซวี่หมิงไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ซวี่หมิงที่แสดงเป็นหลินลั่วเฉินเมื่อครู่ เวลานี้กลับกลายเป็นพระเอกอวิ๋นไห่ในพริบตา
ละครฉากนี้เป็นฉากที่เล่นคนเดียว ผู้กำกับไม่ได้ให้ใครมาเล่นเป็นพระเอกเพื่อต่อบทกับพวกเขา เมื่อครู่ซวี่หมิงใช้วิธีสร้างภาพขึ้นมาเอง ทว่าลั่วเฉินกลับยึดเอาซวี่หมิงเป็นอวิ๋นไห่
ลั่วเฉินปรายตามองซวี่หมิงแล้วหลับตาลง หัวเราะเบาๆ “เฮอะๆ…”
ใบหน้าอ่อนเยาว์หล่อเหลาของลั่วเฉิน ราวกับผ่านเรื่องมาโชกโชน เปลี่ยนไปอย่างมากมาย “สายธรรม? สายมาร? อะไรคือธรรม และอะไรคือมาร?”
ลั่วเฉินถอนหายใจเบาๆ พลางมองซวี่หมิง นัยน์ตาใสกระจ่างเหมือนฉายภาพหนุ่มน้อยที่เคยคุยเรื่องฟ้าดินขี่ม้าห้อตะบึงกับตัวเอง “อวิ๋นไห่ เจ้ายังไร้เดียงสาอยู่เหมือนเดิม!”
เมื่อลั่วเฉินแสดงมาถึงตรงนี้ แค่พูดสองประโยคสั้นๆ อีกทั้งยังเป็นบทพูดที่เหมือนกับซวี่หมิงเป๊ะๆ ถึงขนาดว่าฉากต่อไปหรือบทต่อไปคืออะไร ทุกคนก็รู้อยู่แล้ว แต่ว่า…
ทุกคนรวมถึงผู้ชมการถ่ายทอดสดซึ่งกำลังบ่นวิจารณ์อยู่ เวลานี้กลับมองจนลืมหายใจ รอการแสดงต่อไปของลั่วเฉิน
………………………………………
บทที่ 462 เทพมาเยือน
เห็นเพียงหลังจากลั่วเฉินพูดประโยคนี้จบ ในที่สุดก็ค่อยๆ ลุกขึ้นมา
เขาค่อยๆ เดินทีละก้าวไปยังหน้าซวี่หมิง หันข้างยืนอยู่ข้างกายสหายเก่า ยืนเคียงไหล่เขา ขณะที่ลืมตาขึ้นมา ราวกับกำลังมองผืนดวงดาวเวิ้งว้างที่อยู่ไกลๆ
“ให้ข้าเป็นคนบอกเจ้าเองว่า ประวัติศาสตร์เป็นผู้ชนะที่เขียนขึ้น”
“ตั้งแต่นี้ไป…ยุทธภพนี้…ข้าบอกว่าธรรมมันก็คือธรรม ข้าบอกว่ามาร เช่นนั้นก็คือมาร!”
ขณะที่ลั่วเฉินพูดประโยคนี้ ไม่เหมือนกับการแสดงของซวี่หมิงซึ่งบ้าคลั่งทรงอำนาจ น้ำเสียงของเขาเหมือนลมพัดเอื่อย คล้ายกำลังพูดเรื่องธรรมดาเรื่องหนึ่ง น้ำเสียงราบเรียบราวสระน้ำนิ่งสงบ
กล่าวประโยคนี้จบ เขาค่อยๆ ก้าวเท้าเดินผ่านไหล่ซวี่หมิงไป
สื่อความหมายว่าพี่น้องร่วมสำนักวิชากระบี่ในอดีตต่างคนต่างเดิน ไปกันคนละเส้นทางนับจากนี้…
ผ่านไปนาน ในที่นั้นยังคงเงียบสนิท
แม้แต่หน้าจอถ่ายทอดสดก็หยุดนิ่งไป
“การทดสอบหน้ากล้องของผมเสร็จแล้วครับ”
จนกระทั่งลั่วเฉินหันหลังกลับไปหาผู้กำกับและโปรดิวเซอร์ โค้งตัวลง ทุกคนถึงได้รู้สึกตัวจากห้วงอารมณ์
บนเวที ซ่งจินหลินที่นิ่งไม่ขยับเผยสีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด จ้องลั่วเฉินเขม็ง ราวกับไม่กล้าเชื่อ
แม้แต่สีหน้าของซวี่หมิงเองยังคงงงงัน ใบหน้าซีดขาว
เมื่อกี้เขาถูกดึงเข้าไปในการแสดงของลั่วเฉิน ดังนั้นความรู้สึกที่ได้รับโดยตรงจึงมากกว่าใครทั้งหมด
เมื่อครู่เขาเกือบถูกลั่วเฉินดึงเข้าบท นึกว่าตัวเองเป็นอวิ๋นไห่แล้ว…
หน้าจอที่หยุดนิ่งเมื่อครู่ ตอนนี้กลับมาเคลื่อนไหวอย่างบ้าคลั่ง
[โอ้…โห! สุดยอด! นี่มันหลินลั่วเฉินมาสิงร่างชัดๆ!]
[หลินลั่วเฉินสิงร่างอะไรล่ะ! นี่มันหลินลั่วเฉินตัวจริงต่างหาก! ฉันคิดว่าการแสดงเมื่อกี้ของซวี่หมิงสมบูรณ์แบบแล้วนะ พอได้ดูลั่วเฉินถึงได้รู้ว่าอะไรเรียกว่าเทพมาเยือน!]
[รูปแบบการแสดงของซวี่หมิงสมบูรณ์แบบจริง ฉันรู้ว่าทักษะการแสดงเขาดีมาก แต่ว่าลั่วเฉินทักษะการแสดงดีหรือเปล่า เขาไม่ได้ใช้ทักษะการแสดงเลยต่างหาก เพราะว่าเขาคือคนคนนั้นในบท เขาก็คือหลินลั่วเฉินเลย]
[นี่คือความแตกต่างระหว่างเทพตัวเป็นๆ กับนักแสดงไงล่ะ เมื่อกี้นี้ซวี่หมิงยังเป็นหลินลั่วเฉินอยู่เลย แต่แค่วินาทีเดียวก็ถูกลั่วเฉินดึงให้เข้าไปในบท กลายเป็นอวิ๋นไห่แล้ว]
[ที่จริงเมื่อกี้ตอนที่พวกเธอกำลังสนใจซวี่หมิยู่ ฉันคอยสังเกตลั่วเฉินตลอด เขาไม่ได้เข้าถึงบทช้า แต่เขาเป็นหลินลั่วเฉินตั้งแต่แรกแล้ว เพราะฉะนั้นเขาไม่จำเป็นต้องเข้าถึงบทเลย!]
[น่าตื่นเต้นมาก ภาคแรกก็คือภาคแรก! ไม่ใช่อะไรที่คนอื่นจะมาแทนที่ได้ง่ายๆ!]
…
บนที่นั่ง ซ่งจินหลินจมอยู่ในภวังค์โดยสมบูรณ์
วันนี้เขาเลือกฉากนี้มาไม่ใช่เลือกเอาตามสะดวก แต่มีความหมายเบื้องลึกอยู่
ฉากนี้ดูเหมือนจะธรรมดา แต่ความจริงเป็นฉากสำคัญฉากหนึ่งในเรื่องที่มีการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ พวกเขาเป็นทั้งเพื่อนทั้งศัตรู อุดมคติของทั้งสองไม่ตรงกัน แต่กลับเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน
ความขัดแย้งแบบนี้แสดงออกมายาก
อย่างการแสดงของซวี่หมิงเมื่อกี้ แม้ว่าจะแสดงได้ไม่เลว แต่ว่าตื้นเขินเกินไป แสดงออกมาเพียงความรู้สึกเท่านั้น ละเลยความสัมพันธ์กับพระเอกรวมถึงความเกี่ยวเนื่องของละครทั้งเรื่อง
แต่ฝีมือการแสดงของลั่วเฉินทรงพลังมาก บทพูดไม่กี่ประโยค ฉากอารมณ์ธรรมดาสั้นๆ กลับรวมเรื่องราวทั้งหมดเอาไว้ ในขณะเดียวกันก็แสดงถึงความขัดแย้งและความสับสนของตัวละครออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ถ้าไม่ได้ศึกษามาอย่างดี มองตัวละครนี้ได้ทะลุปรุโปร่ง ไม่มีทางที่จะทำได้ถึงระดับนี้แน่นอน
……………………………………………………..