บทที่ 313 การตายของกงซุนเฉา

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

สุราขวดหนึ่งถูกเทลงบนพื้นหิมะ ขวดสุราหล่นลงบนพื้นเสียงดังโครมคราม นางพิงกรอบประตูแล้วค่อยๆ เลื่อนตัวลงนั่งลงบนพื้น

สาวใช้ในวังได้ยินเสียงก็รีบรุดเข้ามา เอื้อมมือต้องการจะประคองนาง “ฮูหยิน เหตุใดถึงมานั่งที่พื้นล่ะเจ้าคะ? ระวังจะเป็นหวัดนะเจ้าคะ”

“อย่าแตะต้องตัวข้า!” จื่อเฉาขดตัวฝังศีรษะของนางลง ผ่านไปสักพักจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงอู้อี้ “หมี่จีเข้าวังมาหลายวันแล้ว…”

สาวใช้ถอนหายใจ ปลอบประโลมเสียงเบา “ใช่เจ้าค่ะ ทว่าฮูหยินก็อย่าได้ลำบากใจไปเลย ท่านอ๋องเพียงแต่งตั้งให้นางเป็นปาจื่อเท่านั้น นอกจากรูปร่างหน้าตาไม่ดีเท่าฮูหยินแล้ว ฮูหยินยังสร้างผลงานให้รัฐฉินด้วย ฝ่าบาทให้ความสำคัญมากนะเจ้าคะ ตำแหน่งหมี่ปาจื่อเล็กๆ มาเทียบกับฮูหยิน ก็เหมือนกับเทียบสวรรค์กับดินมิปาน”

“เจ้าออกไปเถิด ข้าอยากอยู่เงียบๆ คนเดียว” จื่อเฉาเอ่ย

สาวใช้รีบไปหยิบขนสุนัขจิ้งจอกบนเตียงมาคลุมให้นาง ค้อมตัวแล้วถอยออกไป “ฮูหยินมีอะไรเรียกบ่าวนะเจ้าคะ”

ลมหนาวพัดหิมะกระทบตัวจื่อเฉา นางเงยหน้าขึ้นช้าๆ มองไปยังม่านหิมะหดหู่ด้วยดวงตาเปื้อนหยาดน้ำตา คิ้วงามผูกเป็นปมแน่น

จื่อเฉาสามารถเข้าใจผู้คนได้ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ความรู้การอ่านเขียนดีกว่าผู้ชายรุ่นเดียวกันในตระกูลมาก มีจิตใจงดงาม เข้าใจเรื่องทางโลก บรรพบุรุษของตระกูลล้วนเคยกล่าวไว้ว่าหากไม่ใช่เพราะหัวใจของนางไม่เข้มแข็งพอ ไม่แน่ว่าในอนาคตนางจะสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้ ทว่าน่าเสียดายที่แม้นางฉลาดเกินคนทว่ามีนิสัยอ่อนแอ หลังจากไร้ตระกูลให้พึ่งพิงแล้ว นางก็คล้ายล่องลอยขึ้นลงไปตามสายลม ตื่นตระหนกและอับจนหนทาง

วันนี้ในจวนกั๋วเว่ย ในตอนแรกอารมณ์ของนางสับสนเพราะความสุขและความโศกเศร้า ทว่าหลังจากกลับวังเพื่อสงบสติอารมณ์แล้ว ในสมองก็นึกถึงภาพเหตุการณ์ในวันนั้นทุกวี่วัน

เมื่อก่อนจื่อเฉาป่วยติดเตียง ไม่ได้คลุกคลีกับซ่งชูอีมากนัก ทว่าเมื่อดูจากสิ่งที่นางทำก็สามารถรู้ได้ว่านางเป็นคนโหดร้ายและมีวิธีการแยบยล อย่างไรก็ตามซ่งชูอีใจกว้าง มีประสบการณ์ทางโลกมาก โดยปกติแล้วจะไม่คิดแค้นกับใคร

จื๋อหย่าเคยทำผิดมากมาย นางก็ไม่เคยคิดที่จะผูกใจเจ็บ ทว่านับตั้งแต่ที่ได้เจอหน้ากันอีกครั้ง นางกลับไม่ยอมตอบคำถามว่า

จื๋อหย่าหายไปไหนมาโดยตลอด เป็นเพราะอะไรกัน?

แววตาตอนที่ซ่งชูอีบอกว่าจื๋อหย่าตายแล้วแต่กลับคำทันทีนั้น จื่อเฉาไม่ใคร่เข้าใจนัก

นางไม่เข้าใจ การที่คนเยี่ยงซ่งชูอีจะกัดจื๋อหย่าที่เจ้าเล่ห์เพียงเล็กน้อยไม่ปล่อย มันง่ายมากไม่ใช่หรือ!? คงไม่ลงมือกับนางรุนแรงหรอกกระมัง! ต่อให้จื๋อหย่าตายแล้วจริงๆ อาจจะเป็นเพราะป่วยตายหรือโดนลูกหลงจากคมดาบก็เป็นได้ จื๋อหย่าบอกกับตัวเองเช่นนี้

ทว่าต่อมาหนิงยากล่าวว่าจื๋อหย่าเคยทำผิดและทำให้ซ่งชูอีวุ่นวายใจตอนที่อยู่ในรัฐเว่ย จื่อเฉาจึงเข้าใจในทันที ในเวลานั้นซ่งชูอีถูกคุมขังในรัฐเว่ยราวกับอยู่ในคุก ยากที่จะป้องกันตัวเอง หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันบางอย่างที่นางไม่สามารถควบคุมได้ในขณะนั้น นางก็จะต้องลงมืออย่างไร้ความปรานีแน่นอน!

เป็นไปได้เก้าส่วนว่าจื๋อหย่าถูกสังหารในเวลานั้น

ผู้ที่นางชื่นชมได้ฆ่าน้องสาวแท้ๆ ของตัวเอง พระคุณกลับกลายเป็นความแค้น

ตั้งแต่กลับมาจากจวนกั๋วเว่ย จื่อเฉาก็ดิ้นรนระหว่างความรักและความแค้น นางหลอกตัวเองว่ามีความเป็นไปได้ไหมที่นางคิดเหลวไหลไปเอง? จื๋อหย่าอาจจะยังไม่ตายหรืออาจจะตายด้วยอุบัติเหตุ? ทำไมไม่รอโอกาสที่จะพบกันอีกครั้งและถามซ่งชูอีต่อหน้าเล่า? อย่างไรก็ตามการที่ซ่งหวยจินไม่พูดข่าวนี้ออกมาเป็นเพราะว่ายังคำนึงถึงความรู้สึกของนางอยู่ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่าต่อให้เขามิได้มีใจให้นาง อย่างน้อยนางก็ยังมีประโยชน์

ทว่าหมี่จีเข้าวังแล้ว แม้แต่คำปลอบใจสุดท้ายนี้ก็หายไปด้วย นางไม่ใช่หมากตัวเดียวอีกต่อไป…

จื่อเฉาหยิบยาห่อหนึ่งออกมาจากในหน้าอก ถูนิ้วอยู่ที่ขอบของจอกสุราเบาๆ ขนสุนัขจิ้งจอกค่อยๆ เลื่อนหลุดจากไหล่

นี่คือสุราที่นำออกมาจากจวนกั๋วเว่ย หากนางโปรยยาห่อนี้ลงไป แล้วดื่มสุราพิษเข้าไปจะเกิดอะไรขึ้น?

จื่อเฉายิ้มเยาะ คลี่ห่อยาออกและสาดมันลงบนทางเดิน ลมหนาวพัดม้วนตัวขึ้น ผงสีเทาก็สลายไปทันทีท่ามกลางราตรีที่เต็มไปด้วยหิมะ นางจะคิดไม่ออกได้อย่างไรว่าต่อให้นางดื่มสุราพิษและตายไปจริงๆ อิ๋งซื่อก็คงไม่เอาผิดขุนนางคนสำคัญเพียงเพราะผู้หญิงที่ไม่มีนัยสำคัญคนหนึ่ง

นางลุกขึ้นเข้าห้อง ลงกลอนประตู ดึงแถบผ้าไหมสีขาวออกจากกรงแล้วแขวนไว้กับคานประตูที่นำไปสู่ห้องนอน ย้ายเก้าอี้หินมาตัวหนึ่ง ขึ้นไปยืนด้านบนแล้วผูกแถบผ้าไหมสีขาวเป็นเงื่อนตาย บ่นพึมพำว่า “หย่า พี่สาวมีความผิด พี่สาวไร้ความสามารถเหลือเกิน จนถึงบัดนี้ แม้แต่ขัดขวางเขายังทำไม่ได้เลย! โลกนี้มันยากยิ่งนัก พี่สาวไม่กล้ามีชีวิตต่อไปตามลำพัง…”

การมีชีวิตอยู่ต้องใช้ความกล้าหาญอย่างมาก การตายนั้นกลับง่ายกว่า

จื่อเฉาหลับตาลง เตะเก้าอี้หินที่อยู่ด้านล่างออกอย่างไม่อาลัยอาวรณ์

ลมหิมะคำรามอยู่ข้างนอก โคมไฟบนเชิงเทินที่ดูเหมือนมังกรยาวถูกเป่าจนร่วงหล่น รอบตัวเข้าสู่ความมืดมิด

พายุหิมะจู่โจมเสียนหยางทั้งคืน

หิมะทับถมจนถึงบานประตูในวันรุ่งขึ้น

ท้องฟ้าขมุกขมัว ซ่งชูอีเพิ่งจะลุกขึ้นจากเตียง ล้างหน้าล้างตาก็ได้ยินหนิงยาเคาะประตูรัวอยู่ด้านนอก “ท่านเจ้าคะ ท่านเจ้าคะ!”

“ประตูไม่ได้ลงกลอน เข้ามาเถิด” ซ่งชูอีก้มลงเทน้ำ เหลือบตาขึ้นมาก็เห็นหนิงยาพุ่งเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก จึงหยุดชะงักไปชั่วขณะ “มีอะไร?”

“ฮูหยินเฉาสิ้นแล้ว!” น้ำตาของหนิงยาพรั่งพรูออกมา “เห็นว่าสิ้นกระทันหัน ฝ่าบาทส่งคนให้ส่งจดหมายถึงท่าน…หากท่านต้องการไปส่ง ก็ให้แอบตามขันทีเถาไปหลังประชุมราชสำนักเจ้าค่ะ”

เพล้ง!

แก้วน้ำร่วงลงพื้น น้ำครึ่งแก้วกระจัดกระจายเต็มโต๊ะ

ซ่งชูอีหลับตาลงเนิ่นนานก่อนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “รู้แล้ว”

เจ้าอี่โหลวเดินออกมาจากห้องด้านใน เห็นหนิงยาน้ำตานองหน้า ซ่งชูอีเงียบงันไม่พูดจา น้ำบนโต๊ะหยดติ๋งๆ ลงพื้น

“เจ้าออกไปเถิด” เจ้าอี่โหลวพูดกับหนิงยา

“เจ้าค่ะ” หนิงยาค้อมตัวถอยออกไปข้างนอก

เจ้าอี่โหลวเก็บเศษแก้วขึ้นมา เอ่ยเสียงเบา “ไปดูเสียหน่อยเถิด”

ผ่านไปครู่ใหญ่ ซ่งชูอีจึงเอ่ยขึ้นช้าๆ “นางเป็นผู้หญิงที่ฉลาด หากไม่ใช่เรื่องที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ก็คงไม่…” นางลืมตาขึ้นมองเจ้าอี่โหลว “ข้าจะมีหน้าที่ไหนไปพบนาง?”

ดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความเจ็บปวดคู่นั้น ทำให้หัวใจของเจ้าอี่โหลวหวั่นไหวเล็กน้อย

เขารู้เรื่องนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ ตอนที่ซ่งชูอีออกคำสั่งให้ฆ่าจื๋อหย่านั้น เขาก็รู้สึกว่านางกระทำการอย่างโหดร้ายเกินไป แต่หลังจากได้สัมผัสกับโลกอย่างจริงจัง ก็ตระหนักว่าชีวิตของคนในโลกนี้ไร้ค่าจริงๆ นับประสาอะไรกับคนที่ต้องวางกลยุทธ์เช่นนาง? หากมีความเมตตากรุณาอยู่ทุกหนทุกแห่ง จะวางกลยุทธ์ไปใย?

“ตามที่เจ้าพูดเช่นนี้ ข้าก็ไม่เทียบเท่าหมูหมาหรอกหรือ? ในสนามรบ ข้าเองก็ฆ่าคนนับไม่ถ้วนด้วยดาบของข้า พวกเขาสมควรตายเช่นนั้นหรือ?” เจ้าอี่โหลวกอดนางเบาๆ “หวยจิน ต่อไปเจ้าก็เอาความรักและคุณธรรมของเจ้ามาให้ข้าผู้เดียวเถิด ผู้ที่วางแผนในใต้หล้าไม่ควรให้ความสำคัญกับผู้อื่นมากเกินไป”

ซ่งชูอีตบหลังของเขาอย่างอ่อนแรง พูดพึมพำว่า “เช่นนั้นเจ้าต้องรักษามันไว้ให้ดี อย่าปล่อยให้ข้าสิ้นหวังจนไม่อาจฟื้นคืนในสักวันหนึ่ง”

“ได้” เจ้าอี่โหลวตอบรับด้วยคามจริงจัง

ซ่งชูอีตบเขาเบาๆ “ไปประชุมราชสำนักเถิด”

เจ้าอี่โหลวหยิบขนสุนัขจิ้งจอกมาสวมให้นาง ทั้งสองคนออกไปพร้อมกัน

หลังประชุมราชสำนักช่วงเช้า ทันทีที่ซ่งชูอีออกไปก็เห็นขันทีเถายืนรออยู่ที่มุมหนึ่งจึงเดินช้าลง รอจนกระทั่งฝูงชนเดินไปไกลแล้วจึงเปลี่ยนทิศเดินเข้าไปหาขันทีเถาด้วยความรวดเร็ว

“กั๋วเว่ย” ขันทีเถาค้อมตัวคำนับ

“ไม่ต้องมากพิธี รบกวนนำทางด้วย” ซ่งชูอีเอ่ย

ขันทีเถาตอบรับ นำทางซ่งชูอีออกจากวังไป

นี่เป็นครั้งแรกที่ซ่งชูอีเหยียบย่ำเข้ามาในวังหลัง มันเป็นตรอกยาว กำแพงสองข้างทางสูงเสียดฟ้า ราวกับกรงขังแคบๆ ความหดหู่ที่ไม่มีเหตุผลวิ่งเข้ามาในหัวใจ

หลังจากผ่านตรอกซอกซอยแคบๆ ไปแล้ว ทันใดนั้นดวงตาก็เบิกโพลง เรือนที่ปกคลุมไปด้วยหิมะโดยรอบถูกสร้างขึ้นอย่างพิถีพิถัน มีศาลากระจัดกระจาย ทางเดินระหว่างตำหนักยาวคดเคี้ยว ชายคาสูงยื่นออกมาราวกับฟัน โอ่อ่างดงามเป็นอย่างยิ่ง

ซ่งชูอีไม่มีอารมณ์จะชื่นชมทัศนียภาพ เดิมตามขันทีเถาผ่านเส้นทางที่แห้งแล้งเงียบๆ เข้าสู่ตำหนักหลังหนึ่ง

ครั้นเห็นว่ารอบทิศไร้ผู้คน ซ่งชูอีเอ่ยถาม “เหตุใดจึงไม่มีนางกำนัลหรือบ่าวรับใช้เลย?”

ขันทีเถาโบกมือสั่งให้บ่าวรับใช้ที่ตามอยู่ด้านหลังถอยออกไปก่อนเอ่ยเสียงกระซิบ “ฮูหยินเฉาแขวนคอตาย ท่านอ๋องทรงมีพระบัญชาให้ปิดปาก จึงไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้”

รัฐฉินได้ห้ามการฝังข้าทาสไปพร้อมผู้เป็นนายที่เสียชีวิตเป็นเวลาหลายปีแล้ว ทว่าก็มีข้อยกเว้นเช่นกัน สิ่งเรียกว่าพระบัญชาให้ปิดปากอันที่จริงแล้วก็คือการปิดกั้นข่าวสาร โดยให้นางกำนัลและบ่าวรับใช้เลือกเอาเองว่า หากไม่ต้องการถูกฝังก็ออกจากวังไปไกลๆ และอย่าพูดถึงสถานที่นี้อีก หากฝ่าฝืนก็ให้ฝังทันที

ย่างก้าวของซ่งชูอีหยุดชะงัก

เดิมทีจื่อเฉาอ่อนแออยู่แล้ว ในตอนแรกซ่งชูอีนึกว่าหลังจากที่นางกลับมาและตระหนักถึงความจริงได้ก็เป็นกังวลเกินไปจนตายจาก คิดไม่ถึงว่าจะเป็นการแขวนคอตาย!

“กั๋วเว่ยหักห้ามใจเสียเถิด” ขันทีเถาผลักประตูตำหนักเปิด ยืนค้อมตัวอยู่ด้านข้าง ไม่ได้เข้าไปในตำหนักอีก

ซ่งชูอีก้าวเข้าไปในตำหนัก พบว่าผ้าม่านถูกแทนที่ด้วยสีขาวล้วน โลงศพไม้หลังหนึ่งวางอยู่กลางห้อง

นางยืนอยู่ห่างออกไปหนึ่งจั้งเป็นเวลานาน ก่อนที่จะเดินเข้าไปช้าๆ

เด็กสาวในโลงแต่งตัวในชุดสีดำที่มีลายปักสีแดง บุคลิกอ่อนช้อยงดงามเหมือนกับตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ มีผ้าแพรสีขาวปักลายโซ่วเหมยผืนหนึ่งคลุมหน้า

ซ่งชูอีรู้สึกเวียนศีรษะ เอื้อมมือออกไปค้ำโลงศพเพื่อพยุงตัว

“เฉา เจ้าคงไม่อยากพบข้าหรอกกระมัง” เสียงของซ่งชูอีดังก้องอยู่ในตำหนักกว้างใหญ่ ทำให้เสียงนั้นสั่นเครือเป็นหลายเท่าตัว “ในเมื่อข้าแสร้งทำเป็นมีคุณธรรมอันยิ่งใหญ่ ก็ไม่ควรที่จะใส่ใจกับความรู้ตัวส่วนตัวหรือเรื่องเล็กน้อย ทว่าข้าก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน จะตัดอารมณ์ความรู้สึกความปรารถนาแบบปุถุชนทั่วไปได้อย่างไร…”

แม้ภายนอกตำหนักจะหนาวเหน็บทว่าซ่งชูอีกลับไม่รู้สึกถึงมันโดยสิ้นเชิง “มีคนมากมายที่ตายเพราะข้า แต่ข้าก็ไม่เคยเสียใจและสิ้นหวังเท่าวันนี้เลย เพราะว่าคนที่ข้าฆ่าล้วนเป็นผู้ที่ขวางทางข้า เป็นผู้ที่ตายเพื่อปกป้องข้า และข้าจะทำตามความคาดหวังของพวกเขา ทว่าเจ้า…”

ครุ่นคิดอย่างละเอียดแล้ว ต่อให้ฆ่าจื๋อหย่าไปแล้วจะทำอะไรได้บ้าง? ต่อให้พวกนางสองพี่น้องยังมีชีวิตอยู่ก็จะมีชีวิตอย่างน่าเวทนา ซ่งชูอีกำจัดหนึ่งคนฆ่าหนึ่งคนก็นับว่าเมตตาแล้ว กฎแห่งการอยู่รอดในโลกนี้ก็มีขั้นตอนเช่นนี้ ทว่าจื่อเฉากลับเป็นเด็กสาวที่บริสุทธิ์และมีเมตตาที่ยอมตายดีกว่าที่จะทำร้ายนาง ทั้งยังสอนให้นางไม่ผูกใจเจ็บ…

“จิตใจเลวทรามของผู้คนนั้น ข้าไม่เคยกลัว ทว่าข้าปิดบังเจ้า รังแกเจ้า ฆ่าครอบครัวคนเดียวของเจ้า เหตุใดเจ้าถึงไม่แก้แค้น?” ดวงตาของซ่งชูอีแห้งและแดงก่ำ ทว่ากลับไม่มีน้ำตาออกมาแม้แต่หยดเดียว ลำคอแหบแห้ง แม้กระทั่งเสียงที่เปล่งออกมาก็แหบแห้งเช่นกัน “ความรักของเจ้านี้ข้าไม่กล้าเข้าใกล้ ไม่มีหน้าจะจดจำและไม่อาจตอบแทน”

นางเจ็บคออย่างแสนสาหัส คิ้วก็เจ็บปวดถึงขีดสุด ดวงตาที่เปียกชื้นไปด้วยกองเลือดทำให้การมองเห็นของนางพร่ามัว

ต้นไม้เหี่ยวเฉานอกตำหนักถูกหิมะปกคลุมครึ่งหนึ่ง กิ่งไม้แห้งแล้งถูกสายลมพัดไหว หิมะตกลงมาอย่างหนัก

ขันทีเถารออยู่เนิ่นนานไม่เห็นซ่งชูอีออกมา จึงยกมือขึ้นเคาะประตู “กั๋วเว่ย”

ซ่งชูอีได้ยินเสียงก็อ้อมไปหน้าโลงศพ สะบัดแขนเสื้อ หลังจากโค้งคำนับด้วยความเคร่งขรึมสามทีก็เอ่ยว่า “เข้ามาเถิด”

ขันทีเถาผลักประตูและเห็นซ่งชูอีที่หมุนตัวกลับมาพอดี อดไม่ได้ที่จะตกใจเมื่อเห็นรูปลักษณ์ของนาง “กั๋วเว่ย ตาของท่าน…”

คราบเลือดไหลออกมาจากมุมตาของซ่งชูอี แม้ว่าเลือดออกไม่มากทว่าตาขาวถูกย้อมเป็นสีแดง ดูน่ากลัวยิ่ง!

“ขันทีเถาเรียกรถให้ข้ากลับจวนเถิด” สายตาของซ่งชูอีพร่ามัวเล็กน้อย

“ขอรับ” ขันทีเถาปิดประตูลง เอ่ยทันทีว่า “บ่าวจะสั่งให้คนไปจัดการเดี๋ยวนี้ กั๋วเว่ยได้โปรดรอที่นี่สักครู่”

ขันทีเถาเดินออกไป สั่งให้บ่าวรับใช้ที่อยู่ข้างนอกไปเตรียมรถม้า

ซ่งชูอีเดินลงบันได แข้งขาอ่อนแรง ทรุดตัวคุกเข่าอยู่บนพื้นหิมะ