บทที่ 314 คุยเรื่องในใจกับฝ่าบาท

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

ซ่งชูอีล้มลงบนพื้นและหลับตาลงเพื่อพักผ่อน

นางรู้สึกเพียงว่าตัวเองผล็อยหลับไป ตื่นขึ้นมาอีกทีกลับพบว่าไม่ได้อยู่บนพื้นหิมะแล้วแต่นอนอยู่บนเตียง มีแถบผ้าผืนหนึ่งปกคลุมอยู่บนดวงตา ได้กลิ่นการบูรอบอวลภายในห้อง แว่วเสียงคนคุยกันอยู่ใกล้ๆ

“ต่อให้คนทั่วไปเสียใจเพียงใดก็ไม่หลั่งน้ำตาเป็นเลือด จุดชี่ไห่ของกั๋วเว่ยไม่เสถียรอยู่แล้ว จากการคาดเดาของกระหม่อม อารมณ์ของกั๋วเว่ยแปรปรวนในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา ส่งผลให้มีเลือดออก ดวงตาไม่มีปัญหาใหญ่อะไร หลีกเลี่ยงแสงและรักษาตัวไม่กี่วันเลือดก็จะจางไป กลัวเพียงอย่างเดียวว่าหากจุดชี่ไห่แตกซ่านอีก…หากเป็นเช่นนั้น จะต้องเชิญท่านหมอเทวดาเปี่ยนเชวี่ยมาอีกรอบ”

อิ๋งซื่อตอบรับ “จัดยาก่อนเถิด”

“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไปจัดยาเดี๋ยวนี้” ท่านหมอรีบค้อมตัวแล้วถอยออกไป

เมื่ออิ๋งซื่อเข้าห้องไปก็เหลือบมองขันทีเถา ขันทีเถาไล่บ่าวรับใช้ทั้งหมดในวังออกไปทันที

“ฟื้นแล้วรึ?” อิ๋งซื่อนั่งลงข้างเตียง เมื่อเห็นว่าซ่งชูอีต้องการจะลุกขึ้นคำนับก็เอ่ยว่า “นอนลงเถิด”

ร่างของซ่งชูอีไร้เรี่ยวแรง จึงไม่ได้ทำตัวสุภาพอีก “เช่นนั้นกระหม่อมเสียมารยาทแล้ว”

ควันในกระถางธูปแกะสลักลอยคลุ้ง ภายในตำหนักเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่อิ๋งซื่อจะเอ่ยว่า “สำนักเต๋าของพวกเจ้ามิได้กล่าวถึงการปล่อยวางและเปิดใจให้กว้างหรอกหรือ? อะไรคือปมในใจที่เจ้าไขไม่ออก จึงได้หดหู่และล้มป่วยเช่นนี้?”

ซ่งชูอีขมวดคิ้ว ทอดถอนใจเอ่ย “หากกล่าวว่ามีปมในใจ นับตั้งแต่คืนนั้นที่ฝ่าบาทไม่ให้กระหม่อมกินทังปิ่งสองชาม ปมในใจของกระหม่อมก็เกิดขึ้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“กั๋วเว่ยช่างบังอาจยิ่งนัก!” อิ๋งซื่อหัวเราะพร้อมเอ่ยตำหนิ

ในเมื่อซ่งชูอีไม่เต็มใจพูด เขาก็จะไม่บังคับ จากนั้นก็จึงเอ่ยขึ้น “แม้จื่อเฉาจะแขวนคอตายเพราะผิดหวังในความรัก ทว่าเหตุใดเจ้าต้องเสียใจเพียงนี้ด้วย ผู้หญิงไร้ความสามารถคนหนึ่งสามารถทำให้กั๋วเว่ยผู้สง่างามกล่าวถ้อยคำที่ทำให้หัวใจสลายเช่นนี้ได้ ช่างทำให้ต้าฉินของข้าขายหน้าเหลือเกิน!”

อิ๋งซื่อไม่มีความสนใจต่อผู้หญิงในวังหลังเหล่านั้น ในตอนแรกเขาแต่งตั้งตำแหน่งตามภูมิหลังของพวกนางทั้งหมด มีผู้หญิงจำนวนมากที่เขาไม่รู้จักด้วยซ้ำแม้จะแต่งตั้งแล้ว ทว่าอย่างน้อยเขาก็ใช้เวลาหลายชั่วยามเพื่อไปทำความเข้าใจกั๋วโฮ่วและฮูหยินสองสามคน ดังนั้นเขาจึงสามารถเดาได้ว่าจื่อเฉาตกหลุมรักซ่งชูอี

หลังจากจื่อเฉากลับมาจากการผูกมิตรจอมปลอมกับรัฐสู่ อิ๋งซื่อก็ยังชื่นชมนางเป็นพิเศษ เขารู้ว่าจื่อเฉาเป็นผู้หญิงที่เฉียบแหลม ด้วยเหตุนี้จึงรอให้นางมาร้องขอที่จะออกไป ใครจะรู้ว่าผู้หญิงคนนี้ไม่กล้าแม้แต่มาขอด้วยซ้ำ!

อิ๋งซื่องานยุ่งทั้งวัน จะมีกะใจไปคิดเพื่อผู้หญิงคนหนึ่งได้อย่างไร หลังจากความคิดวูบผ่านไปก็ทิ้งมันไว้ข้างหลังแล้ว

“มิได้มีความรักลึกซึ้งกระไร เพียงแต่…” ซ่งชูอีมองไม่เห็นอิ๋งซื่อ ทว่าสามารถรู้สึกได้ถึงลมหายใจอบอุ่นของเขา “เพียงแต่เคยได้ลิ้มรสการทรยศมาก่อน เคยเห็นความมืดมนในโลกมามากมาย รู้สึกว่าความพากเพียรเป็นสิ่งที่น่ายกย่อง กระหม่อมอุทิศทั้งชีวิตเพื่อทำให้โลกสวยงามขึ้น แต่กระหม่อมกลับฆ่ามันด้วยมือของกระหม่อมเอง”

คิ้วที่ผูกกันเป็นปมของอิ๋งซื่อคลายออก ท้ายที่สุดแล้วก็มิใช่เพราะความรักที่ลึกซึ้งระหว่างชายหนุ่มและหญิงสาว “เจ้าบอกว่านกเฟิ่งหวงที่กำเนิดมาจากขี้เถ้าก็ต้องทนกับความเจ็บปวดมิใช่หรือ? เจ้าเคยเห็นนกเฟิ่งหวงตัวไหนดึงขนสวยบนตัวมากองไว้ข้างๆ ตอนที่เกิดมาจากขี้เถ้าบ้างเล่า!”

ซ่งชูอีอึ้งไป จากนั้นก็หัวเราะเสียงดัง “ฝ่าบาทกล่าวเรื่องขบขันได้ดีเหลือเกิน!”

แม้ว่าเขาจะจริงจังมากในการอุปมา แต่เมื่อเห็นนางยิ้มอย่างมีความสุขก็ปฏิบัติราวกับว่าเป็นเรื่องตลกไปด้วย

หัวเราะจบแล้ว ซ่งชูอีก็ทอดถอนใจเอ่ย “คำขบขันของฝ่าบาทปลุกใจแม้กระทั่งคนเฉยชา เป็นเพราะกระหม่อมเข้าสู่ทางตันเอง”

“บัดนี้ออกมาได้ก็ดีแล้ว” อิ๋งซื่อลดสายตาลงกุมมือของนาง “ความฝันของพวกเรายังอีกยาวไกล เจ้าต้องมีชีวิตต่อไปให้ดี เพื่อต้าฉินและเพื่อใต้หล้า”

ซ่งชูอีกุมมือของเขากลับ “กระหม่อมจะดำเนินชีวิตให้สมกับความเมตตาของฝ่าบาท”

มุมปากของอิ๋งซื่อยกยิ้ม ตบหลังมือของนางเบาๆ หรี่ตามองท้องฟ้าข้างนอก “เจ้าพักผ่อนก่อนเถิด กว่าเหรินยังมีเอกสารที่ต้องไปอ่าน บัดนี้ฟ้ามืดแล้ว คืนนี้เจ้าก็พักในวังเถิด กว่าเหรินจะให้คนไปแจ้งที่จวนของเจ้า”

ซ่งชูอีรู้สึกว่าอาการของตัวเองไม่ใครดี จึงพักอยู่ที่นี่อย่างสบายใจ

นางนอนลง ครั้นได้ยินเสียงใบไผ่พลิกเปิดก็ถามขึ้น “ฝ่าบาท ที่นี่คือที่ใด?”

สายตาของอิ๋งซื่อยังคงอยู่ที่เอกสาร กล่าวอย่างขอไปที “ตำหนัก”

“กระหม่อมได้กลิ่นในตำหนักคล้ายกับกลิ่นบนตัวบนฝ่าบาท” ซ่งชูอีเอ่ย

อิ๋งซื่อหันหน้ามองนาง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคือใคร?”

ซ่งชูอีสับสน แต่เพราะไม่สามารถเอ่ยชื่อแซ่กับเขาได้ กล่าวเพียงว่า “เป็นองค์เหนือหัวแห่งรัฐฉิน”

อิ๋งซื่อกล่าวไปตามสัจธรรมที่ถูกต้อง “ในเมื่อรู้ก็ควรเข้าใจว่าการเปิดโปงคำโกหกของกว่าเหรินต่อหน้ากว่าเหรินและการไม่รักษาหน้ากว่าเหรินมีโทษสถานใด!”

ซ่งชูอีรู้ว่าเขาจะต้องกำลังกล่าวประโยคนี้ด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมอย่างแน่นอน ทว่าก็ยังอยากเห็นการแสดงออกของเขา แต่กลับทำได้เพียงกล่าวคล้อยตาม “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมสำนึกผิดแล้ว ฝ่าบาทมีน้ำพระทัยกว้างขวาง ได้โปรดอย่าลดตัวมาหากระหม่อมเลย”

“อืม พักผ่อนเถิด” อิ๋งซื่อก้มหน้าอ่านเอกสารต่อ

ซ่งชูอีเอ่ยว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมคิดดูแล้ว พักที่นี่ไม่เหมาะสม ถ้าอย่างไร…”

อิ๋งซื่อตัดบทนางโดยไม่เงยหน้าขึ้นมาด้วยซ้ำ “ที่นี่จริงอยู่ว่าเคยเป็นตำหนักของกว่าเหริน ทว่าบัดนี้ไม่ใช่ เจ้าวางใจเถิด”

สถานที่พำนักขององค์เหนือหัวจะส่งผลต่อโชคชะตาของบ้านเมือง หากจะย้ายห้องนอนจะต้องผ่านการหารือกับราชสำนักเสียก่อน ซ่งชูอีคิดไปคิดมาก็แน่ใจว่าไม่เคยมีข่าวเช่นนี้ อดที่จะเอ่ยไม่ได้ว่า “ฝ่าบาทย้ายห้องนอนเมื่อใด เหตุใดจึงไม่มีข่าวเลย?”

“คืนนี้” อิ๋งซื่อตอบอย่างกระชับและรัดกุม

ซ่งชูอีจุกจนพูดไม่ออก ต้องการจะเอ่ยปากเกลี้ยกล่อมกลับได้ยินอิ๋งซื่อกล่าวเสียงดัง “ขันทีเถา เอาน้ำแกงผ่อนคลายเข้ามา!”

“พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเถาตอบรับ สงสัยอยู่ในใจว่าจะเอาน้ำแกงผ่อนคลายในช่วงเที่ยงวันเพื่ออะไร!

ซ่งชูอีทอดถอนใจ น้ำแกงผ่อนคลายสามารถช่วยให้นอนหลับได้ อิ๋งซื่อต้องการจะอ่านเอกสาร น้ำแกงนี้เตรียมให้นางอย่างไม่ต้องสงสัย คิดว่าคงรังเกียจที่นางพูดมากไปกระมัง

ผ่านไปประมาณเพียงครึ่งถ้วยชา ขันทีเถาก็ยกยาเข้ามา

ซ่งชูอีพูดไม่ออก รีบถามขึ้น “ปกติฝ่าบาทนอนไม่หลับหรือ?”

ไม่เช่นนั้นจะมีน้ำแกงผ่อนคลายพร้อมตลอดเวลาได้อย่างไร สั่งเมื่อไรก็มาทันที?

“กั๋วเว่ย ถ้วยนี้มิใช่น้ำแกงผ่อนคลาย” ขันทีเถาอธิบายด้วยความเคารพ แม้ว่าตามปกติอิ๋งซื่อมักจะนอนน้อย เขาก็ไม่เปิดเผยส่งเดช “นี่คือยาของท่าน”

“ฮ่าๆ” ซ่งชูอีหัวเราะด้วยความสดใส จากนั้นก็รับถ้วยยามาแล้วกล่าวคำขอบคุณ

“เย็นลงบ้างแล้ว ไม่ลวกปาก” ขันทีเถาเอ่ยเตือน

ซ่งชูอีได้ยินดังนี้ก็กลั้นหายใจและดื่มเข้าไปในคราวเดียว

ในยาต้มมีตัวยาที่ช่วยในการนอนหลับอยู่แล้ว นางจึงมิได้ดื่มน้ำแกงผ่อนคลายถ้วยนั้น

ครั้นเห็นว่าท้องฟ้ามืดแล้ว อิ๋งซื่อก็ส่งคนไปส่งข่าวที่จวนซ่งชูอี

ซ่งชูอีหลับสนิท เมื่อตื่นขึ้นมาก็ยังได้ยินเสียงพลิกใบไผ่ในห้องโถง เอ่ยด้วยความประหลาดใจว่า “ฝ่าบาทอ่านเอกสารทั้งคืนเลยหรือ?!”

อิ๋งซื่ออ่านเอกสารติดต่อกันสี่ชั่วยามจริงๆ ทว่าบัดนี้เพิ่งเข้าสู่กลางคืนได้ไม่นาน

เขาเอ่ยเรียบๆ “เจ้าต่างหากที่หลับไปหนึ่งชั่วยาม”

ซ่งชูอีสงสัยและบ่นพึมพำ “ทั้งๆ ที่รู้สึกว่าหลับไปนานมาก…”

“เจ้ากำลังสงสัยกว่าเหรินรึ?” อิ๋งซื่อกล่าวด้วยความเย็นชา

มีเหงื่อซึมบนหน้าผากของซ่งชูอี “กระหม่อมไม่กล้า”

อิ๋งซื่อปิดเอกสารม้วนสุดท้าย ลุกขึ้นยืน “ช่างเถิด เห็นแก่ที่เจ้ายังป่วย ครั้งนี้ข้าจะไม่เอาความ”

“ฝ่าบาท” ขันทีเถาเอ่ยขึ้นนอกประตู “เอกสารที่เตรียมไว้ในตอนเย็นถูกส่งมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

แม้ว่าเวลาส่งเอกสารในตอนเย็นไม่แน่นอน แต่จะไม่มีการส่งมอบในช่วงดึก ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่าเพิ่งเข้ากลางคืนได้ไม่นาน เช่นนั้นก่อนหน้านี้ที่อิ๋งซื่อกล่าวว่าฟ้ามืดแล้วก็เห็นได้ชัดว่าเป็นเวลาพลบค่ำ ทั้งยังกล่าวว่าซ่งชูอีหลับไปหนึ่งชั่วยาม หากคำนวณดูแล้ว บัดนี้ดึกแล้วอย่างแน่นอน ทว่าเอกสารเพิ่งถูกส่งเข้ามาเช่นนั้นหรือ?

เส้นเอ็นบนหน้าผากของอิ๋งซื่อเต้นตุบ ซ่งชูอีแอบหัวเราะอยู่ใต้ผ้าห่ม ทว่าเมื่อคิดดูอีกทีแล้ว ฝ่าบาทก็ไม่มีเหตุผลที่จะหลอกนางกระมัง? บางทีเอกสารในวันนี้ถูกส่งมาช้าก็ได้?