อิ๋งซื่อพ่นลมหายใจช้าๆ “เข้ามาเถิด”
ขันทีเถาผลักประตูเข้ามา วางเอกสารสิบกว่าม้วนลงบนโต๊ะ เหลือบเห็นว่าสีหน้าของอิ๋งซื่อไม่มีความสุขก็ค้อมตัวออกไปทันที แล้วปิดประตูลง
อิ๋งซื่ออ่านรอบหนึ่งและเห็นว่ามันไม่ใช่เอกสารด่วน จึงละทิ้งไว้ชั่วคราว จากนั้นก็พูดกับซ่งชูอี “อิ๋งสี่ได้ผ่านวัยจี๋จีมาแล้ว”
ซ่งชูอีหัวใจเต้นรัว ฝ่าบาทคงมิได้คิดที่จะจับคู่องค์หญิงอิ๋งสี่กับเจ้าอี่โหลวอีกกระมัง!
“จี๋อวี่เป็นคนที่ติดตามเจ้ามา เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขามีภรรยาที่บ้านเกิดไหม?” อิ๋งซื่อถาม
ซ่งชูอีถอนหายใจโล่งอก “ฝ่าบาทโปรดปรานจี๋อวี่รึ?”
“แม้จะเป็นชายแข็งแกร่งทว่าอายุมากไปหน่อย” อิ๋งซื่อนั่งลงข้างเตียง มีความจนปัญญาในน้ำเสียงเล็กน้อย “ทว่าน้องสาวชอบเขา ยืนกรานที่จะแต่งงานกับเขา คราวนี้ยังตามเขาไปสงบความวุ่นวายในอี้ฉวีด้วย สุดท้ายแล้วก็เป็นเรื่องชั่วชีวิตของนาง ข้าไม่อาจเข้ามายุ่มย่ามได้”
ซ่งชูอีก็ค่อนข้างรู้สึกดีกับองค์หญิงเฉลียวฉลาดผู้นั้น นอกเหนือจากสถานะอันสูงศักดิ์แล้ว ในแง่ของอุปนิสัยและคุณธรรมก็ไม่ทำให้จี๋อวี่ต้องอับอายแน่นอน
อย่างไรก็ดีอิ๋งซื่อค่อนข้างอยู่เหนือความคาดหมายของซ่งชูอี ในสายตาของนาง อิ๋งซื่อเป็นองค์จวินและเป็นนักการเมืองที่ยอดเยี่ยม โดยปกติมักจะเอ่ยวาจาเฉยชา เวลาที่มีความเห็นสอดคล้องกันก็อาจจะเผยสีหน้าสดใสบ้าง แต่ไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะมีมนุษยธรรมมากเพียงนี้
“เขาเคยมีภรรยามาก่อนทว่าจากโลกนี้ไปหลายปีแล้ว เพราะเหตุใดหรือ องค์หญิงไม่ชอบท่านแม่ทัพเจ้าที่ฝ่าบาทโปรดปรานเช่นนั้นหรือ?” ซ่งชูอีบอกไม่ถูกว่าตนรู้สึกอย่างไร เรื่องนี้จะจบลงเช่นนี้ก็ได้ซึ่งนางก็ยินดี แต่ก็รู้สึกว่าเจ้าอี่โหลวของนางยังหนุ่มแน่นมีอนาคต หน้าตาก็หล่อเหลา องค์หญิงอิ๋งสี่ไม่ชอบนับว่าสายตามีปัญหาจริงๆ!
“ท่านแม่ทัพเจ้าเป็นอาจารย์อาของน้องสาว มีปัญหาบางประการในแง่ของความอาวุโส” อิ๋งซื่อนวดคลึงขมับ หลับตาแห้งๆ ลง “น้องสาวพึ่งพาเสด็จพ่อตั้งแต่เล็ก ฉะนั้นจึงชอบผู้ชายที่ละม้ายกับเสด็จพ่อกระมัง”
ซ่งชูอีเอ่ย “กระหม่อมยังนึกว่าฝ่าบาทเหมือนจวินองค์ก่อนเสียอีก”
“ข้ารึ” รอยยิ้มของอิ๋งซื่ออบอุ่น น้ำเสียงก็อ่อนโยนกว่าปกติเล็กน้อย “ข้าแค่หน้าตาคล้ายเสด็จพ่อ ทว่าอารมณ์นั้นกลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง ในบรรดาพี่น้อง อิ๋งจี๋มีนิสัยใจคอเหมือนที่สุด ให้ความสำคัญกับเรื่องการเมืองอย่างจริงจัง แต่โดยปกติกลับเป็นคนสบายๆ”
“บัดนี้ฝ่าบาทก็ค่อนข้างสบายๆ” ซ่งชูอียิ้มเอ่ย
อิ๋งซื่ออึ้งไปครู่หนึ่งจากนั้นก็หลุดขำ เขาเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงรู้สึกผ่อนคลายลง
รู้สึกสบายใจอย่างมาก อย่างไรก็ดีทันทีที่กำจัดความแข็งกร้าวตามปกติได้แล้วก็รู้สึกเหนื่อยล้าอย่างอธิบายไม่ถูก ดูเหมือนว่าเรี่ยวแรงในร่างกายถูกสูบออกไปจนหมดและเหลือเพียงเปลือกที่ว่างเปล่าเท่านั้น ไม่อยากแม้แต่จะขยับนิ้ว
“เจ้าร่างกายไม่ดี ดื่มน้ำแกงผ่อนคลายถ้วยนี้แล้วนอนต่อเถิด” อิ๋งซื่อลุกขึ้นไปหยิบถ้วยยาที่อุ่นอยู่บนหม้อ ครั้นตรวจสอบว่าอุณหภูมิกำลังดีก็ยื่นไปที่ปากของนาง
องค์จวินป้อนยาด้วยตัวเอง ต่อให้มียาพิษก็ยังต้องดื่มอย่างมีความสุข! ทว่าวันนี้ซ่งชูอีไม่ใคร่อยากใส่ใจความแตกต่างจวินและขุนนางสักเท่าใด
นางก็ไม่รู้ว่าด้วยสถานการณ์ของนางในตอนนี้ต้องนอนเท่าใดจึงจะพอ ทว่านอนมากเกินไปก็ไม่สบายตัว “ฝ่าบาท บัดนี้กระหม่อมไม่ค่อยอยากนอนเท่าใด สู้คุยกันดีกว่า”
“ก็ได้” อิ๋งซื่อวางถ้วยยาลง เดินอ้อมไปด้านหลังผ้าม่านที่ห้อยลงมาเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า
ซ่งชูอีได้ยินเสียงสวบๆ สาบๆ ในใจคิดว่าฝ่าบาทคงมิได้คิดจะนอนร่วมเตียงกับขุนนางดอกกระมัง! หากเป็นเพียงมิตรภาพระหว่างจวินและขุนนางนางก็ไม่รังเกียจ ทว่า…ทว่า…ในสมองของนางเต็มไปด้วยเงาของเจ้าอี่โหลวลอยไปลอยมา หากเขารู้เรื่องนี้ละก็ไม่มีทางกู้สถานการณ์กลับคืนมาได้แล้ว…
เป็นกังวลก็ส่วนเป็นกังวล ซ่งชูอีรู้สึกเสียใจในใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากตอนนี้สามารถมองเห็นก็จะดีไม่น้อย ไม่แน่ว่าอาจเป็นขวัญตาเสียหน่อย
อิ๋งซื่อเดินออกมาจากฉากกั้น สวมเสื้อคลุมแขนกว้างสีดำ ผมเผ้าที่เป็นระเบียบเรียบร้อยก่อนหน้านี้บัดนี้ถูกปล่อยสยายอยู่บนไหล่ คิ้วตายังคงเฉียบคมเหมือนปกติ เพียงแต่ลายเส้นบนใบหน้าดูอ่อนโยนลง
“ฝ่าบาท เรื่องงานอภิเษกขององค์หญิงอิ๋งสี่ที่ท่านกล่าวเมื่อครู่ ตกลงกันแล้วรึ?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม
อิ๋งซื่อนั่งลงด้านหน้าโต๊ะ ยกชาขึ้นมาจิบคำหนึ่ง
“ชาถ้วยนั้นคงเย็นแล้วกระมัง? ฝ่าบาทละเลยสุขภาพของตัวเองเกินไปแล้ว” ซ่งชูอีไม่ได้ยินเสียงรินน้ำของเขา บัดนี้เป็นช่วงเวลาเก้าวันที่หนาวที่สุด วิธีดื่มน้ำเช่นนี้ หากกระเพาะของเขายังดีอยู่จึงจะเป็นเรื่องแปลก
“การเผาไหม้ของเตานั้นแห้งมาก” อิ๋งซื่อวางถ้วยลง ตอบคำถามก่อนหน้านี้ “ข้าไม่มีความคิดเห็นที่เห็นด้วยหรือคัดค้าน หากนางสามารถเกลี้ยกล่อมผู้อาวุโสในราชวงศ์ได้ ข้าก็เพียงมอบกฤษฎีกาการแต่งงานเท่านั้น”
ซ่งชูอีไม่แสดงความคิดเห็น ด้วยนิสัยและวิธีการของอิ๋งซื่อ เรื่องนี้ขอเพียงเขาพยักหน้า ใครจะกล้าเอ่ยคำว่า “ไม่”? เรื่องที่สามารถทำให้เขาไม่ยินดีที่จะตัดสินใจง่ายๆ เช่นนี้จะต้องเป็นเรื่องที่เขาระวังระวังและไม่สามารถตัดสินใจได้เป็นแน่ ดังนั้นนางก็ไม่พูดมากอีก เพียงกล่าวว่า “ฝ่าบาทพูดเพียงให้กระหม่อมมีชีวิตอยู่ต่อไป ฝ่าบาทเองก็ต้องดูแลพระวรกายเช่นกัน หากไม่มีฝ่าบาท กระหม่อมก็ไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้”
อิ๋งซื่อพิงอยู่บนที่พักแขน มองดูใบหน้าด้านข้างของนางภายใต้แสงไฟจากที่ไกลๆ เงียบไปสักพักก่อนที่จะตอบว่า “ได้”
แสงจันทร์เยือกเย็นสว่างสดใส ภายในพระตำหนักเงียบสงัด มีเพียงเตาอั้งโล่ที่ส่งเสียงดังเปรี๊ยะๆ เป็นครั้งคราว
ซ่งชูอีนอนอยู่บนเตียง ผ่านไปไม่นานก็เริ่มง่วง ท่ามกลางความสะลึมสะลือนั้น ก็ได้ยินเสียงประตูเปิดและปิดลงจึงรู้ว่าอิ๋งซื่อจากไปแล้ว
ขันทีเถาสั่งให้บ่าวถือโคมไฟ กระซิบถามอิ๋งซื่อ “ท่านอ๋องต้องการเสด็จไปที่ใด?”
อิ๋งซื่อเงยหน้าขึ้นมองแสงจันทร์สว่างสุกใส “หอคอย”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เสียงฝีเท้าดังชัดเจนเป็นพิเศษภายในค่ำคืนอันเงียบสงัด บ่าวรับใช้มากมายล้อมรอบตัวเขา พวกเขาทั้งหมดต่างโค้งหลังเล็กน้อย เขาเป็นคนเดียวที่ตัวตั้งตรงเหมือนไม้ไผ่ ลมหนาวพัดเส้นผมสีดำที่กระจัดกระจาย แผ่นหลังนั้นหนาวเหน็บและเงียบเหงาเช่นเคย
คำพูดของซ่งชูอีเมื่อครู่เตือนสติเขา หากเขายอมละทิ้งหัวใจอันเผด็จการแห่งเจ้าเหนือหัวได้ เขาก็สามารถเป็นคนสบายๆ มากได้เช่นกัน
อย่างไรก็ดีเขาไม่สามารถทำได้ การเพลิดเพลินกับความสงบสุขจะทำให้ผู้คนยากลำบากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว เขากลัวว่าตัวเองจะมีช่วงเวลาที่ยากลำบากมากกว่าเดิมในอนาคตแสนยาวไกล
เขาต่อสู้เพื่ออำนาจเพราะว่าเขามีความทะเยอทะยาน แต่มันก็ถูกบังคับโดยสถานการณ์โดยรวมเช่นกัน เพราะว่าหากไม่เดินหน้าก็รอที่จะเป็นเหยื่อให้ผู้อื่น! ไม่แย่งชิงก็มีแต่รอความวอดวาย!
รัฐฉินพยายามที่จะลุกขึ้นจากความตายด้วยการอุทิศชีวิตของคนสองรุ่น รัฐที่เปี่ยมด้วยชีวิตชีวาเช่นนี้ตั้งอยู่บนไหล่ของอิ๋งซื่อ เขาจำต้องแบกมันไว้และต้องรักษาความแข็งแกร่งของมันต่อไป ไม่สามารถทำให้การอุทิศตนของสองชั่วอายุคนต้องสูญเปล่า ยิ่งไม่สามารถให้ชาวฉินต้องใช้ชีวิตภายใต้สถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานอีก!
เขาจำต้องแบกรับชะตากรรมของรัฐฉินและชะตากรรมของชาวฉินเพียงลำพัง ด้านหน้าเต็มไปด้วยขวากหนาม ด้านหลังก็เป็นหน้าผาสูงชัน
อ่อนแอไม่ได้ ถอยกลับไม่ได้ ลังเลไม่ได้
เขารับรู้ถึงความรักพิเศษที่มีต่อซ่งชูอีมาโดยตลอด การใช้งานนางนั้น นอกเหนือจากเพราะชื่นชมความสามารถของนางแล้วก็มีความรู้สึกส่วนตัวเจือปนอยู่ด้วย ด้วยเหตุนี้เขาจึงยิ่งลังเลที่จะทำตามใจตัวเอง
สำหรับเขาแล้ว ความรักของหนุ่มสาวเทียบไม่เท่าสหายรู้ใจ เขาเป็นถึงองค์จวินผู้กล้าหาญย่อมไม่กระทำเรื่องชู้สาว ทั้งรู้ด้วยว่าหากเด็ดปีกของซ่งชูอีแล้วขังนางไว้ที่วังหลัง สิ่งที่ได้กลับคืนมาก็มีแต่ความเกลียดชังเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นก็จะสูญเสียซ่งชูอีผู้สดใสและไม่ใช่ผู้หญิงที่หัวใจของเขาคะนึงถึง
ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วเขาจะทำตามความคิดชั่ววูบนี้ได้อย่างไร?
ในเมื่อไม่อาจทำตามใจตัวเองได้ เช่นนั้นก็อย่าออกนอกลู่นอกทางจะดีกว่าหรือแม้กระทั่งอย่ามีความรู้สึกเลย เพราะหากไม่ได้ลิ้มลองแล้วก็จะไม่รับรู้ถึงรสชาติของมันและจะไม่ขอมันเพิ่มอีก
ไฟในคอหอยค่อยๆ สว่างขึ้น
ขันทีเถาเห็นว่าสีหน้าของอิ๋งซื่อแปลกไปจากปกติ จึงเอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวัง “เอกสารอยู่ในห้องบรรทม ถ้าอย่างไรฝ่าบาทพักผ่อนเร็วหน่อยดีไหมพ่ะย่ะค่ะ”
ครั้นไม่ได้คำตอบ เขาก็ลองถามดูอีกครั้ง “ถ้าอย่างไรให้คนส่งน้ำแกงผ่อนคลายเข้ามาไหมพ่ะย่ะค่ะ?”
ตามประสบการณ์ของขันทีเถา หากอิ๋งซื่อไม่มีอะไรทำแต่กลับไม่ไปพักผ่อน จะต้องนอนไม่หลับเป็นแน่
อิ๋งซื่อเกาะอยู่ที่ราว มองดูดวงจันทร์สุกใสแห่งนครเสียนหยาง หลังจากเงียบงันเนิ่นนานก็เอ่ยขึ้นว่า “ไปเถิด”
ราตรีที่เงียบงันนี้ก็มีคนที่นอนไม่หลับเหมือนเขาเช่นกัน
ภายในจวนกั๋วเว่ย เจ้าอี่โหลวในเสื้อคลุมสีขาวยืนกอดอกอยู่ใต้ทางเดิน สายตามองต่ำไม่รู้ว่ามองไปยังที่ใด ไป๋เริ่นหมุนตัวไปมารอบๆ อยู่ในลาน ประเดี๋ยวมานอนลงข้างเท้าเจ้าอี่โหลว ประเดี๋ยวก็ไปเกลือกกลิ้งบนพื้นหิมะจนเนื้อตัวเปื้อนหิมะ
“ท่านแม่ทัพพักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ พรุ่งนี้ก็ไปรับนายท่านกลับจวนได้แล้ว” หลายวันนี้ในที่สุดหนิงยาก็เข้าใจว่าเหตุใดท่านแม่ทัพถึงได้นอนห้องเดียวกันกับนายท่านเป็นประจำ แม้จะตกใจทว่าไม่นานก็สงบสติอารมณ์ได้ ไม่ว่านายท่านจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงก็ไม่สำคัญ ขอเพียงนายท่านยังเป็นนายท่านก็พอ
เจ้าอี่โหลวมิได้ตอบคำ มองดูไป๋เริ่นที่มานอนข้างเท้าเขาอีกครั้ง เอ่ยเสียงเบา “เจ้าก็อยากไปหานางสินะ”
ไป๋เริ่นเงยหน้าขึ้น ดวงตาดำกลมคู่หนึ่งจ้องมาที่เขาอย่างกระวนกระวาย
ทันใดนั้นหนิงยาก็นึกขึ้นมาได้ “หา! ข้าลืมให้อาหารเย็นมัน!”
พูดพลางก็ยกกระโปรงขึ้นแล้ววิ่งแจ้นไปยังห้องครัว ไป๋เริ่นกระดิกหางทันทีและวิ่งตามนางไปอย่างมีความสุข
เจ้าอี่โหลวถอนหายใจยืดยาว หนิงยาติดตามซ่งชูอีมานาน ถึงได้กลายเป็นตัวทำลายความสนุกเช่นนี้!
เขานอนไม่หลับทั้งคืน
หลังจากประชุมราชสำนักในช่วงเช้า อิ๋งซื่อก็สั่งให้หมอหลวงตรวจอาการของซ่งชูอี หลังจากมั่นใจว่าไม่เป็นไรแล้วก็ให้คนส่งนางกลับจวน
บัดนี้เจ้าอี่โหลวรออยู่หน้าประตูวังแล้ว
“หวยจิน!” เมื่อเขาขึ้นรถและเห็นว่าดวงตาของซ่งชูอีมีแถบผ้าปิดอยู่ ความทุกข์ใจทั้งหมดก็ถูกโยนหายไปในอากาศเพียงชั่วพริบตา “ตาของเจ้าเป็นอะไร?”
อิ๋งซื่อสั่งให้คนส่งจดหมายมา กล่าวเพียงว่าซ่งชูอีจะพักค้างคืนทว่ามิได้บอกว่านางเกิดปัญหาอะไร
“ไม่มีอะไร” ซ่งชูอีสัมผัสมือของเขา “แค่โรคเก่ากำเริบ หมอหลวงกล่าวว่าไม่มีปัญหาอะไร เพียงแต่หิมะหลายวันนี้แสบตาเหลือเกิน จำต้องหลบเลี่ยง”
เจ้าอี่โหลววางใจลงมาเล็กน้อย แต่เนื่องจากมีคนอยู่รอบตัวมากเกินไป จึงกล่าวเพียง “กลับจวนค่อยคุยกันเถิด”
ซ่งชูอีพยักหน้า ในใจเริ่มสงสัยบางอย่าง นางมองอะไรไม่เห็นและนอนไม่ค่อยหลับ ทั้งยังรู้สึกได้เลือนรางว่าเวลาไม่ตรงกับที่ฝ่าบาทบอก แต่หากฝ่าบาทโกหก นั่นเป็นเพราะเหตุใดเล่า?
นางหวนนึกถึงเหตุการณ์ในระยะหลังทั้งหมดอย่างระมัดระวัง ทุกอย่างก็ปกติดีนี่นา!
……
เรื่องที่ซ่งชูอีค้างแรมภายในพระราชวังถูกอิ๋งซื่อปิดบังไว้ ขุนนางภายนอกไม่รู้ทว่าวังหลังก็ยังมีคนได้รับข่าวแล้ว
โครม!
เสียงข้าวของเครื่องใช้ในตำหนักที่แตกเป็นเสี่ยงๆ ดังสนั่น จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงเด็กร้องไห้
“หวังโฮ่วอย่าทรงกริ้วเลยเพคะ!” บ่าวรับใช้ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดกั๋วโฮ่วจึงบันดาลโทสะกะทันหัน ทุกคนทั้งหมดล้วนหมอบลงกับพื้นด้วยความกลัว
ดวงตาของเว่ยหว่านลุกโพลง ไม่เคยมีใครในวังหลังที่สามารถอยู่ในห้องบรรทมของท่านอ๋องได้ บัดนี้ขุนนางชายกลับประเดิมเป็นคนแรก!
“หวังโฮ่วโปรดทำใจให้เป็นกลาง บ่าวมีเรื่องต้องการจะพูดพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีคนหนึ่งกล่าวขึ้น
เว่ยหว่านโบกมือ “ทุกคนออกไปก่อนเถิด”
บ่าวรับใช้ทุกคนต่างถอยออกไป เว่ยหว่านทรุดตัวลงนั่งบนที่นั่ง กล่าวอย่างอ่อนแรง “ว่ามา”
ขันทีคนนั้นกล่าวว่า “ถือเป็นเรื่องดีที่ฝ่าบาทและขุนนางใช้เตียงร่วมกัน หวังโฮ่วจะทรงพริ้วไปใยพ่ะย่ะค่ะ”
เว่ยหว่านขมวดคิ้ว เหลือบมองขันทีผู้นั้นด้วยสายตาเย็นชา “ต้องให้เจ้ามาตั้งคำถามข้าด้วยรึ?!”
“บ่าวมิกล้า!” ขันทีรีบขอโทษแล้วเอ่ยว่า “บ่าวเพียงแค่คิดแทนหวังโฮ่ว! หวังโฮ่วเข้าใจนิสัยของฝ่าบาทมากเหลือเกิน จะต้องรู้ว่าหากเรื่องนี้ถึงหูของฝ่าบาท พระองค์จะต้องทรงกริ้วเป็นแน่ ท่านเป็นหวังโฮ่วผู้สูงศักดิ์ บัดนี้ยังให้กำเนิดรัชทายาท ไม่มีใครในวังหลังเทียบได้ แม้ว่าฝ่าบาทจะเย็นชาเป็นบางครั้ง แต่สถานะของท่านจะไม่สั่นคลอดแน่พ่ะย่ะค่ะ! ต่อให้ท่านมิได้ทำลายความโปรดปรานของฝ่าบาท ทว่าหากทำให้ฝ่าบาทขุ่นเคืองก็จะไม่คุ้มกับสิ่งที่เสียไป ขอท่านทรงพิจารณาด้วย!”
เว่ยหว่านสงบสติอารมณ์ หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตา ก้มหน้าเหลือบมองขันทีผู้นั้น สอดมือไว้ในแขนเสื้อแล้วเอ่ยขึ้นเชื่องช้า “เหตุใดเมื่อก่อนข้าถึงไม่รู้ว่ามีขันทีที่ฝีปากเก่งกล้าเพียงนี้? เงยหน้าขึ้นมาซิ”
ขันทีผู้นั้นเงยหน้าขึ้นช้าๆ
เว่ยหว่านสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าขันทีที่อยู่ตรงหน้าอายุเพียงสิบห้าสิบหกปี ตัวขาวผุดผ่อง ไม่อาจแยกแยะความเป็นหญิงชายได้ในแวบแรก
“นิสัยของฝ่าบาท…” เว่ยหว่านยิ้มเย็นชา “เจ้าช่างเข้าใจนิสัยของฝ่าบาทดีเสียจริง อยากเลียนแบบจากเด็กนั่นมัดใจฝ่าบาทด้วยรึ?”
“บ่าวมิกล้า หวังโฮ่วอย่าทรงกริ้วเลยพ่ะย่ะค่ะ!” ขันทีผู้นั้นรีบหมอบลงไปอีกรอบ