“ลุกขึ้นเถิด” เว่ยหว่านพูดอย่างเฉยเมย
ผู้หญิงของเว่ยอ๋องมีจำนวนนับไม่ถ้วน การเติบโตขึ้นภายใต้สภาพแวดล้อมเช่นนั้นทำให้นางต้องควบคุมอารมณ์ตัวเองอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ดีการเลี้ยงดูที่ปลูกฝังอยู่ในกระดูกเช่นนี้กลับหมดลงฉับพลันทุกครั้งที่มีเรื่องเกี่ยวข้องกับอิ๋งซื่อ
ครั้นเว่ยหว่านได้รับตำแหน่งองค์หญิง นางก็เข้าใจสถานะของตนเป็นอย่างดี นางเป็นองค์หญิงแห่งรัฐเว่ยก็ควรปกป้องชีวิตและตำแหน่งของตัวเองในแต่ละย่างก้าว ในเวลานั้นในใจของนางทั้งหวาดกลัวและไม่เป็นสุข
เพียงแต่วินาทีที่เขาแบกนางจากพื้นหิมะขึ้นบนหลังม้า หัวใจของนางก็สูญเสียแนวป้องกันไปแล้ว ไม่เคยมีผู้ชายคนใดที่ปกป้องนางด้วยแขนที่แข็งแกร่งเช่นนั้นเลย อีกทั้งผู้ชายคนนี้สูงใหญ่และกล้าหาญ บุคลิกน่าเกรงขาม ในแง่การปกครองเขายังเป็นองค์จวินที่แม้แต่พระบิดาของนางยังต้องเกรงกลัวด้วยซ้ำ…
เขาใจดีกับนางเพียงคนเดียวเท่านั้นทว่าก็เย็นชามากเช่นกัน นางใช้ความสามารถทั้งหมดที่มีทว่าก็ไม่สามารถแม้กระทั่งทำให้เขายิ้มได้ นับประสาอะไรกับการได้ใจเขามาเล่า?
“เจ้าชื่ออะไร?” เว่ยหว่านมองสำรวจขันทีคนที่นางไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อนอย่างละเอียด
“กระหม่อมมีชื่อว่าเฟิ่งซู เคยปรนนิบัติอยู่ในหออักษรของฝ่าบาทมาก่อนพ่ะย่ะค่ะ” เฟิ่งซูกล่าว
เว่ยหว่านนั่งตัวตรง น้ำเสียงเย็นเยียบฉับพลัน “ฝ่าบาทสั่งให้เจ้ามาตรวจสอบข้ารึ!?”
เมื่อผู้บังคับบัญชาไม่ถาม บ่าวที่จะพูดมากเกินไปก็จะมีความผิด ในเมื่อเขารายงานแหล่งที่มาก็แสดงว่าจะต้องมีคนสั่งอย่างแน่นอน
“หวังโฮ่วให้กำเนิดรัชทายาท ฝ่าบาทเป็นห่วงอย่างยิ่ง จึงสั่งให้บ่าวปรนนิบัติหวังโฮ่ว” เฟิ่งซูตอบด้วยความเคารพ
เว่ยหว่านรู้เรื่องในวังเป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้จึงเคยสืบข้อมูลเบื้องลึกของคนข้างกายทั้งหมด นับตั้งแต่ตอนที่นางเข้าวัง เฟิ่งซู่ผู้นี้ก็เป็นคนในวังอยู่แล้ว แม้มิได้ปรนนิบัติใกล้ชิดทว่าก็สามารถปรนนิบัติอยู่ในตำหนักได้บ่อยๆ เคยเป็นของตกแต่งที่เคลื่อนย้ายได้เช่นเดียวกับชาววังคนอื่นๆ ทว่าวันนี้กลับแสดงสถานะกะทันหัน…
เพราะเหตุใด? ก็เป็นเพราะว่าอิ๋งซื่อไม่ใส่ใจความรู้สึกของนางอีกแล้วมิใช่หรือ!
เว่ยหว่านลุกขึ้นยืน เดินออกไปนอกตำหนัก เฟิ่งซูยังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงนอบน้อมที่ไม่สูงไม่ต่ำจนเกินไป “ฝ่าบาทมีรับสั่ง ห้ามไม่ให้หวังโฮ่วเข้าออกวังหลังตามใจพ่ะย่ะค่ะ”
ฝีเท้าของเว่ยหว่านหยุดชะงัก ลมหนาวเสียดกระดูกที่แทรกซึมเข้ามาทางช่องประตูชวนให้หนาวเหน็บไปทั่วร่างกาย
“เฟิ่งซู…เฟิ่งซู…หึหึ” เว่ยหว่านยิ้มด้วยความเศร้าสร้อย
ที่จริงแล้วเฟิ่งซูคือตำแหน่งทางการในวังชั้นใน รับหน้าที่เทียบเท่าขันทีหรือสาวใช้ในวัง แม้มิได้เปี่ยมด้วยความรู้และบทกวีแต่ก็ไม่ด้อยอย่างแน่นอน
นี่มันต่างอะไรกับการที่ฝ่าบาทส่งผู้ฝึกให้มาอบรมสั่งสอนเว่ยหว่านเล่า?
นี่เป็นการส่งคนมาเตือนสตินางว่าจะต้องเป็นหวังโฮ่วอย่างไรอย่างนั้นหรือ!
“หวังโฮ่ว หมี่ปาจื่อมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” มีบ่าวรายงานอยู่ข้างนอก
หมี่ปาจื่อมาหาทุกวันไม่เว้นวันฝนตก ทว่าเว่ยหว่านมีความเกลียดชังต่อซ่งชูอีล้ำลึก ไม่ยอมหาเรื่องใส่ตัวเพิ่ม และไม่เคยรับการขอพบของนางเลย บัดนี้…
“ให้นางรอข้างนอก! เด็กๆ มาช่วยข้าแต่งตัว!” เว่ยหว่านสูดหายใจลึก ซ่งชูอีทำให้นางไม่มีความสุข นางก็จะไม่ปล่อยให้ซ่งชูอีมีความสุขอย่างเด็ดขาด!
บ่าวรับใช้ทยอยเข้ามาทีละคน ช่วยนางแต่งหน้าอย่างละเอียดอ่อน ราวกับลักษณะที่ตีโพยตีพายเมื่อครู่เป็นเพียงภาพลวงตาคนอื่นเท่านั้น
นางนั่งตรงตัวอยู่บนที่นั่งหลัก มองดูหญิงสาวในวัยบานสะพรั่งที่ก้มศีรษะเข้ามาจากทางเข้าห้องโถง
“เชี่ยถวายพระพรหวังโฮ่ว” หมี่จีค้อมตัวคำนับ
เว่ยหว่านสำรวจอย่างละเอียด เห็นเพียงชุดชวีจวีสีม่วงห่อร่างบอบบางของนางไว้อย่างวิจิตรงดงาม แม้มันมิได้ดูโอ้อวดทว่าไม่สามารถละสายตาได้เลย เมื่อนางก้มหน้าลงก็เผยให้เห็นเพียงผิวพรรณขาวผ่อง
“เงยหน้าขึ้น” เว่นหว่านเอ่ย
หมี่จีเงยหน้าขึ้นมาอย่างว่าง่าย
เว่ยหว่านอึ้งไปครู่หนึ่ง รู้สึกว่าหน้าตาของนางดูคุ้นตาเล็กน้อย จากนั้นจึงเอ่ยขึ้น “มองขึ้นมา”
หมี่จีเหลือบตาขึ้นมองเล็กน้อยตามคำสั่ง ดูเหมือนว่าจะกลัวความสง่างามของหวังโฮ่ว จึงเพียงแค่เหลือบมองนางแวบหนึ่งแล้วหลบสายตาอย่างรวดเร็ว
เป็นไปตามคาด! เว่ยหว่านมั่นใจในความรักลับๆ ของอิ๋งซื่อที่มีต่อซ่งชูอีอีกครั้งจากใบหน้าของหมี่ปาจื่อ
“หากไม่รู้ ข้ายังนึกว่าหมี่ปาจื่อเป็นน้องสาวแท้ๆ ของกั๋วเว่ยเสียอีก! เจ้าดูคิ้วตานี้สิ มันถูกแกะออกมาจากแม่พิมพ์เดียวกันจริงๆ” เว่ยหว่านยิ้มพลางลุกขึ้น ประคองหมี่จีลุกขึ้นมาด้วยตัวเอง จับมือนางและมองอย่างละเอียดอีกสองสามรอบ
“เชี่ยมิบังอาจ ด้วยสถานะต่ำต้อยของเชี่ย จะกล้าเทียบกับกั๋วเว่ยได้อย่างไร” หมี่จีเอ่ยอย่างขลาดกลัว
“บัดนี้เจ้าเป็นถึงปาจื่อแห่งท่านอ๋องแล้ว จะกล่าวว่าต่ำต้อยได้อย่างไรกัน?” เว่ยหว่านจูงมือของนางไปยังที่นั่งหลัก “พวกเจ้าออกไปก่อน ข้ามีเรื่องส่วนตัวต้องการจะคุยกับหมี่ปาจื่อ”
“พ่ะย่ะค่ะ” บ่าวรับใช้ที่อยู่ในตำหนักต่างถอยออกไป แม้แต่เฟิ่งซูก็ไม่มีข้อยกเว้น
ภายในตำหนักเหลือเพียงเว่ยหว่านกับหมี่จีสองคน น้ำเสียงของเว่ยหว่านอ่อนโยน “ได้ยินว่าเจ้าเคยเป็นผู้ดูแลจวนของกั๋วเว่ย? จะต้องเห็นโลกมามากมายเป็นแน่ เหตุใดเห็นข้าจึงได้เหมือนหนูเห็นแมวเยี่ยงนั้นเล่า?”
หมี่จีหดคอเล็กน้อย “เชี่ย…นั่นเป็นเพราะกั๋วเว่ยตั้งใจที่จะส่งเสริมเชี่ย เชี่ยจะต้องใช้ชีวิตให้สมกับความคาดหวังของกั๋วเว่ยเพคะ”
เว่ยหว่านได้ยินดังนี้แล้ว ก็นึกว่าซ่งชูอีตั้งใจเลี้ยงตัวหมากที่มีหน้าตาคล้ายกับตน เมื่อก่อนซ่งชูอีก็เป็นคนถวายฮูหยินเฉาให้กับฝ่าบาท ทันทีที่หมี่ปาจื่อเข้ามานางก็ตาย หรือว่าอาจเป็นเพราะไม่ได้หัวใจฝ่าบาท ดังนั้นจึงสละตำแหน่งให้กับผู้ที่เข้ามาใหม่?
ความคิดมากมายวูบผ่านในสมอง เว่ยหว่านกล่าวว่า “หน้าตาของเจ้าห่างไกลจากฮูหยินเฉามากนัก รู้หรือไม่ว่าเหตุใดฝ่าบาทจึงโปรดปรานเจ้า?”
หลังจากที่เว่ยหว่านซักถามอย่างอ่อนโยนหลายครั้ง หมี่จีก็สงบลงเล็กน้อย “เชี่ยคิดว่าเป็นเพราะเห็นหญิงงามจนชิน จึงหาสิ่งแปลกใหม่กระมังเพคะ”
เว่ยหว่านสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยของนาง รอยยิ้มก็อ่อนโยนลง “เจ้ารับใช้ในจวนของกั๋วเว่ย คงไม่ได้ไม่รู้เรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของฝ่าบาทกับกั๋วเว่ยกระมัง?”
หมี่จีเงยหน้าขึ้นฉับพลัน สีหน้าตื่นตกใจ “รักๆ ใคร่ๆ?”
เว่ยหว่านมองดูปฏิกิริยาของนางอย่างพออกพอใจ
หมี่จีดึงสติกลับมา ยกมือขึ้นปิดตาของตน ทันใดนั้นน้ำตาก็ไหลออกมาจากระหว่างนิ้วเงียบๆ
“เจ้าไม่รู้หรอกหรือ?” เว่ยหว่านกล่าวด้วยความประหลาดใจ
หมี่จีสะอึกสะอื้น ไม่สามารถพูดอะไรได้เลย
เว่ยหว่านมองนางเงียบๆ ปล่อยประโลมอย่างเฉยเมยไม่กี่คำก็ปล่อยให้นางจากไป มองดูแผ่นหลังที่ราวกับวิญญาณหลุดลอยของหมี่จีและตัดสินใจที่จะทดสอบอีกทีในภายหลัง หากหมี่ปาจื่อผู้นี้เป็นคนที่มีจิตใจดี ไม่เต็มใจที่จะเป็นตัวแทนของผู้อื่นก็อาจไม่ถูกกำจัดในขณะนี้และจะถูกเก็บไว้ใช้ในภายหลัง
หมี่จีเดินออกมาจากตำหนัก สอดมือไว้ในแขนเสื้อพร้อมเดินลงไปตามบันไดหิน ย่ำลงบนหิมะหนาทีละก้าวๆ ครั้นคิดถึงคำพูดของเว่ยหว่านก็อดที่จะยกยิ้มมุมปากมิได้ ผู้หญิงคนนั้นจะต้องหลงรักอิ๋งซื่ออย่างหัวปักหัวปำเป็นแน่!
สายตาที่อิ๋งซื่อมองคนอื่นผ่านนางนั้น นางก็ไม่ได้ตาบอดจะไม่รู้สึกได้อย่างไร? หากมิใช่เพราะอาศัยจุดนี้ นางจะเข้ามาในวังลึกเช่นนี้ตามลำพังได้อย่างไร?
ในสายตาของหมี่จี อิ๋งซื่อสงบนิ่งและเป็นตัวของตัวเองมาโดยตลอด คนที่แข็งแกร่งเช่นนั้น หากอยากได้คนที่ใกล้เพียงเอื้อมเช่นนั้นจริงๆ เหตุใดต้องแสวงหาความสบายใจผ่านร่างปลอมของนางด้วย?
อย่างไรก็ดีผู้ที่รักผู้อื่นย่อมรักอีกาบนหลังคาบ้านด้วย แม้ว่านางจะไม่ใช่คนที่สวยจนน่าทึ่ง แต่ด้วยรูปลักษณ์ที่เหมือนซ่งชูอีเสียสามส่วน ก็สามารถทำให้อิ๋งซื่อดูจนเพลินตาได้!
หลายวันนี้หมี่จีได้ยินวิธีการที่อิ๋งซื่อปฏิบัติต่อผู้หญิงในวังหลังมากมาย ทั้งยังรู้มาบ้างว่าอิ๋งซื่อชอบผู้หญิงที่รู้จักกาลเทศะ สิ่งที่เรียกว่ากาลเทศะนี้ หากกล่าวให้ไม่น่าฟังก็คือการเป็นเครื่องประดับที่ไม่ก่อเรื่องใดๆ
ในความเห็นของหมี่จี เครื่องตกแต่งยังถูกแบ่งออกเป็นของประดับตกแต่งและสิ่งจำเป็น บัดนี้หมี่จีพยายามอย่างมากที่จะกลายเป็นหมอนหนุนบนเตียง ไม่จำเป็นต้องมีความรักหรือความอ่อนโยนอะไร ขอเพียงรอเตรียมสถานที่เงียบสงบให้เขาได้พักผ่อนเวลาที่เหนื่อยล้าอย่างเงียบๆ ก็เพียงพอแล้ว
ทว่าอิ๋งซื่อจะไม่หลงใหลนางเพียงเพราะนางหน้าตาละม้ายซ่งชูอี วิธีการดึงดูดความสนใจของเขานั้นยังคงต้องได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบ สำหรับนางแล้ว คนที่มีความรักและความแค้นล้ำลึกเช่นหวังโฮ่วจะเป็นวัตถุที่ใช้งานได้ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
เท้าที่ย่ำลงไปบนหิมะส่งเสียงสวบสาบ เบื้องหน้ามีทหารรักษาการณ์ที่กำลังยุ่งอยู่กับการตักหิมะ นางจึงเดินเลี่ยงไป
ฤดูหนาวปีนี้หิมะตกอย่างต่อเนื่อง
เช่นเดียวกับปีที่อิ๋งซื่อขึ้นครองราชย์ หิมะหนักปกคลุมทั่วหล่งซี แม้แต่แม่น้ำเว่ยก็แข็งตัวเป็นชั้นน้ำแข็ง
ความหนาวเย็นรุนแรงทำให้ทุกสรรพสิ่งแข็งตัว ทั้งยังทำให้เปลวไฟแห่งสงครามหยุดชะงัก
บังเอิญว่าซ่งชูอีว่างเว้นจากการงาน หลังจากเตรียมสำหรับกำหนดการฤดูใบไม้ผลิของปีหน้าพร้อมแล้ว จึงพักรักษาตัวอยู่ในบ้าน กินยาตรงเวลาตามที่เปี่ยนเชวี่ยได้ทิ้งใบสั่งยาไว้ให้ ใช้เวลาประมาณสิบวันจึงสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ชัดเจน เพียงแต่อาการปวดหัวยังคงอยู่นับจากวันนั้น
สิ้นปี ฉือจวี้เขียนจดหมายเพื่อรายงานรายได้ในหนึ่งปี การต้มสุราสนใช้ต้นทุนน้อยทว่าได้กำไรมหาศาล ลำพังเพียงปีนี้ก็มีรายได้ถึงสี่หมื่นตำลึงทองแล้ว นี่เป็นเงินจำนวนมหาศาล สภาพคล่องเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การลงทุนในด้านอื่นๆ ก็เพิ่มขึ้นตามลำดับ และธุรกิจของครอบครัวก็มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
ซ่งชูอีจึงสั่งให้พวกเขากระจายการค้าไปยังรัฐต่างๆ ทุกครั้งที่ตั้งรกรากในรัฐใดก็ให้ซื้อที่ดินบางส่วนให้นาง
หลังจากผ่านไปสามปี สกุลฉือก็กลายเป็นหอการค้าขนาดใหญ่
ไม่ทันรู้ตัวบัดนี้ซ่งชูอีอยู่ในรัฐฉินมาหกปีแล้ว ความเกรี้ยวกราดของสาธารณชนในช่วงแรกค่อยๆ สงบลงตามกาลเวลา “ทฤษฎีการโค่นรัฐ” ที่นางเขียนด้วยพลังทั้งหมดที่มีนั้นมีถึงเก้าสิบกว่าม้วนแล้ว สี่ม้วนที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการส่งเสริมปฏิรูประบบมณฑลของซางจวินมีชูหลี่จี๋เป็นผู้รับผิดชอบในการนำมันไปปรับใช้กับรัฐฉิน นางได้ฝึกฝนกองกำลังเกราะดำชั้นยอดหนึ่งแสนห้าหมื่นนายและกองกำลังรบห้ารูปแบบอย่างลับๆ อย่างไรก็ดีนี่ไม่สามารถเปิดเผยต่อสาธารณะได้
ในฐานะที่นางเป็นกั๋วเว่ย ภายนอกนางมิได้ทำอะไรผิดแต่ก็ไม่ได้ทำอะไรเลย บวกกับนางปิดประตูรักษาตัวตลอดทั้งปี ทำให้เหล่าขุนนางหลายคนพากันยื่นฎีกาฟ้องร้อง ขอให้ปลดนางออกจากตำแหน่งกั๋วเว่ย ทว่ากลับถูกอิ๋งซื่อยับยั้งเอาไว้ด้วยเหตุผลที่ว่านาง “ไม่เคยทำผิด”
ช่วงต้นฤดูร้อน ต้นบ๊วยสีเขียวไม่กี่ต้นในลานของจวนกั๋วเว่ยออกผลมากมาย กลิ่นหอมของผลไม้สีเขียวอบอวลไปทั่วบริเวณ
เมื่อดวงจันทร์ขึ้นทางตะวันออก ซ่งชูอีก็สั่งให้คนย้ายเครื่องสุรามาไว้ใต้ทางเดินเพื่อต้มสุราใหม่
จี๋อวี่และจี้ฮ่วนสงบความวุ่นวายในอี้ฉวี จากไปครั้งหนึ่งก็สามปี ในที่สุดก็ประสบความสำเร็จ
ซ่งชูอีมองไปยังจี๋อวี่ที่ไม่ได้เห็นมาสามปีผ่านกองไฟ อดที่จะถอนหายใจมิได้ว่าเวลาได้รบเร้าผู้คนเหลือเกิน ร่างกายของเขายังแข็งแรงอยู่แต่ว่ามุมตามีความแปรปรวนเพิ่มขึ้น ขมับและหนวดกลายเป็นสีเทา โชคดีที่ยังหวีอย่างเป็นระเบียบจึงดูมีชีวิตชีวาเป็นอย่างยิ่ง
“บัดนี้ต้องเรียกว่าท่านแม่ทัพจี๋แล้ว!” ซ่งชูอีรับสุราที่หนิงยายื่นมาให้ ดวงตาเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม
จี๋อวี่ทอดถอนใจ สายตาหยุดอยู่ที่ขมับของซ่งชูอี “ท่านอายุยังน้อยก็มีผมหงอกแซมแล้ว”
จี้ฮ่วนสมทบ “จริงด้วย! การทำงานหนักทำให้ผู้คนแก่ง่าย ดูผมข้าสิยังคงเป็นสีดำจนบัดนี้”
ซ่งชูอีหัวเราะด่า “เจ้าแม่งมันพวกไม่กล้าได้กล้าเสีย เข้ารัฐฉินมาหกปี ผ่านสงครามน้อยใหญ่มากว่าร้อยครั้งแล้ว ตำแหน่งทางทหารไม่เคยขยับเลย!”
จี้ฮ่วนกล่าวอย่างไม่พอใจ “เป็นนายพลไม่ดีอย่างไรเล่า นอกจากนี้ข้าคิดยังคิดที่จะพัฒนาตัวเองมาระยะหนึ่งแล้ว คิดทั้งกลางวันและกลางคืน แต่ก็ไม่เห็นความก้าวหน้าเลย”
“ได้ยินว่าเจ้ามีคนที่ชอบพอแล้วรึ?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ จี้ฮ่วนก็ยิ้มอย่างเขินอาย “รอจนข้าปราบนางได้ ก็จะพามาให้ท่านได้เจอตัว”
“ฮ่าๆๆ!” ซ่งชูอีตบหน้าตักแล้วหัวเราะเยาะอย่างไร้ความปรานี “คิดไม่ถึงว่านายพลจี๋ที่มีสายตาสูงส่งเสมอมาจะกลายเป็นโจรเถื่อนไปได้”
หลายปีมานี้จี้ฮ่วนไม่ขาดผู้หญิงเลย รับนางบำเรอมาก็หลายคน ทว่ายังไม่แต่งภรรยาเอกเสียที เขามีวิสัยทัศน์สูงแต่สถานะยังไม่สูงพอ หากมีสถานะสูงเกินไปก็เทียบไม่เท่า ต่ำเกินไปก็ดูถูก อีกทั้งไม่มีผู้เฒ่าผู้แก่คอยดูแล การแต่งงานจึงยืดเยื้อออกไปเสมอ คาดไม่ถึงว่าขณะที่เขากำลังสงบลงความวุ่นวายก็ตกหลุมรักหญิงชาวอี้ฉวีเข้า จึงจับนางมาเป็นเชลย อี้ฉวีเป็นชนเผ่าเร่ร่อนบนหลังม้า ผู้หญิงนั้นหาได้ยากยิ่ง ตลอดสองปีมานี้เขากับผู้หญิงคนนั้นจึงใช้ชีวิตกันแบบเจ้าหนีข้าก็ไล่ตาม
“เจ้ามิได้ชอบน้องสาวสกุลเจินหรอกหรือ? กินเครื่องเคียงจนเบื่อแล้วจึงอยากเปลี่ยนเป็นอาหารป่ารึ?” ซ่งชูอีจำได้เลือนรางว่านางบำเรอที่เขารับมาล้วนอ่อนแอสง่างาม ท่าทางเหนียมอาย และไม่รู้ว่าไปได้มาจากไหน เพราะอย่างไรเสียรัฐฉินก็ไม่มีผู้หญิงประเภทนั้น
“ท่านแม่ทัพกลับมาแล้ว!” หนิงยามองเห็นเจ้าอี่โหลวในชุดเกราะสีดำเดินเข้ามาพร้อมกับไป๋เริ่นตัวมหึมาจากระยะไกล
จี้ฮ่วนกับจี๋อวี่หันไปพร้อมกัน เห็นเพียงผมดกดำของผู้นั้นถูกรวบขึ้น หน้าตาหล่อเหลา คิ้วทั้งคู่ที่แหลมคมดุจดาบชี้เข้าไปในขมับ เงาของคิ้วที่โก่งได้รูปปกคลุมดวงตาเอาไว้ มืดมนและล้ำลึก ไหล่กว้างเอวแคบ ร่างกายแข็งแรงและเพรียวบาง ย่างก้าวนั้นไม่รีบร้อนและไร้ซุ่มเสียงแต่ดูเหมือนว่าจะมีพลังที่ไม่สิ้นสุด หมาป่าหิมะตัวมหึมาติดตามอยู่ด้านข้าง เขาเดินเข้ามาด้วยความสงบนิ่งเช่นนี้แต่กลับทำให้ผู้คนสัมผัสได้ถึงความทรงพลัง
ทั้งสองคนลุกขึ้นคำนับเป็นเสียงเดียวกัน “ท่านแม่ทัพเจ้า”
เจ้าอี่โหลวประสานมือ “ท่านแม่ทัพจี๋ นายพลจี้”
ซ่งชูอีเห็นว่าสีหน้าของเขามืดมนก็เอ่ยว่า “เกิดเรื่องอะไรรึ?”
“จวี้จื่อแห่งสำนักม่อสิ้นแล้ว” เจ้าอี่โหลวเอ่ย “เมื่อก่อนยังมีจวี้จื่อคอยควบคุม แม้ว่าชวีกู้เกือบทำให้อาจารย์ต้องตาย บัดนี้เขาได้เป็นจวี้จื่อคนใหม่แล้วยิ่งยโสโอหังกว่าเดิม สองสำนักเผชิญหน้ากันและเกิดการต่อสู้ขึ้นแล้วในหลายสำนักย่อย”
ความวุ่นวายในสำนักม่อที่เกิดขึ้นคราวก่อน เนื่องจากซ่งชูอีและเจ้าอี่โหลวไปที่หลีสือเพื่อต่อต้านกองทัพพันธมิตรจึงมิได้เข้าไปก้าวก่าย ฉู่เจาเสี่ยนก็ไม่ใช่บุคคลสามัญธรรมดา สามารถรอดพ้นจากภัยพิบัติได้อย่างหวุดหวิด นับจากนั้นมาสำนักม่อก็ถูกแบ่งออกเป็นสองสำนักใหญ่ ตรวจสอบและถ่วงดุลซึ่งกันและกันเสมอเพื่อรอโอกาสที่จะกลืนกินอีกฝ่าย
จี้ฮ่วนขมวดคิ้วเอ่ย “แม้จะแตกกันแล้ว ดีเลวอย่างไรก็มาจากรากฐานเดียวกัน เหตุใดต้องฆ่ากันเองด้วย?”
ซ่งชูอีเอ่ย “จวี้จื่อคนใหม่เห็นว่าสำนักสิบกว่าสาขาที่เสียนจื่อยึดครองนั้นควรกลับสู่สาขาใหญ่ หากเป็นเรื่องของผลประโยชน์ แม้มาจากรากฐานเดียวกันก็เข่นฆ่ากันได้”
เจ้าอี่โหลวรู้สึกหดหู่กับความรู้สึกที่มีพลังแต่กลับทำอะไรไม่ได้เช่นนี้มาก ซ่งชูอีก็เคยบอกเขาว่าอิ๋งซื่อสนับสนุนสำนักของชวีกู้ลับๆ หากเขาออกโรงบุ่มบ่าม มันจะกระตุ้นความสงสัยระหว่างองค์จวินและขุนนางอย่างแน่นอน
เจ้าอี่โหลวไม่สนใจตัวเอง เขาก็มิได้มีความรู้สึกดีๆ กับอิ๋งซื่ออยู่แล้ว จะได้เป็นท่านแม่ทัพแห่งรัฐฉินหรือไม่นั้นก็ไม่สำคัญ สาเหตุสำหรับความกังวลทั้งหมดนั้นคือการคำนึงถึงสถานการณ์ของซ่งชูอีมากกว่า
ซ่งชูอีเห็นความลำบากใจของเขาตลอดมา ในเมื่อเขาคำนึงถึงนางในทุกๆ ครั้ง นางก็จะนิ่งดูดายไม่ได้
“อย่าได้กังวลไป ยกเรื่องนี้ให้ข้าเถิด” ซ่งชูอีเอ่ย
คิ้วที่ผูกกันเป็นปมของเจ้าอี่โหลวคลายออกช้าๆ รอยยิ้มผุดขึ้นบนริมฝีปากเช่นกัน
ซ่งชูอีเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เรื่องนี้จะล่าช้าไม่ได้ ข้าจะเข้าวังไปเข้าเฝ้าฝ่าบาททันที พวกเจ้าดื่มกันไปก่อน”
“ในเมื่อท่านมีธุระ พวกข้าก็จะไม่กวนแล้ว ไว้วันหน้าค่อยพบกันใหม่” จี๋อวี่เอ่ย
จี้ฮ่วนเห็นด้วย
“ก็ดี” ซ่งชูอีสั่งหนิงยาให้ไปส่งทั้งสองคน ตัวเองจัดๆ เสื้อคลุมจากนั้นก็สั่งคนให้เตรียมม้า
“หวยจิน เจ้ารู้เรื่องนี้อยู่แล้วใช่หรือไม่” เจ้าอี่โหลวมองดูท่าทางเปี่ยมความมั่นใจของนาง ไม่เหมือนเพิ่งรู้ข่าว
ซ่งชูอีกวักมือเรียกเขาด้วยสีหน้าลึกลับ
เจ้าอี่โหลวนึกว่านางจะกระซิบจึงก้มหน้าลง ซ่งชูอีหอมแก้มของเขาอย่างรวดเร็ว เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าปิดอะไรที่รักไม่ได้เลยจริงๆ”
ในตอนแรกเจ้าอี่โหลวเกลียดการถูกเรียกเช่นนี้มาก ทว่าทุกครั้งที่ต่อต้านก็จะเจอกับ “การแก้แค้น” ที่รุนแรงยิ่งขึ้นจากซ่งชูอี “ที่รักตัวน้อยๆ” “แก้วตาตัวน้อย” “หวานใจตัวน้อย” อะไรกัน เมื่อใช้จนหมดเปลือกเขาก็ขี้คร้านจะไปต่อสู้ บัดนี้ฟังดูแล้วก็ไม่น่าขนลุกเหมือนตอนแรกสักเท่าไร
“ข่าวของสำนักม่อเพิ่งถูกส่งมา เจ้าไปรู้มาตอนไหน?” เจ้าอี่โหลวถาม
ซ่งชูอียิ้มเอ่ย “ก็ตอนที่เจ้าขมวดคิ้วเพราะเรื่องนี้เมื่อคราวก่อน”
คราวก่อน? นั่นมันสามปีมาแล้วนะ