ตอนที่ 221 กระดาน

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 221 กระดาน

ดวงอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้า

แสงสีเหลืองสลัวของดวงอาทิตย์กระจายไปตามแนวเขา

เหตุเพราะด้านนอกมีป่าบ๊วยบดบังอยู่ แสงสว่างภายในศาลาซุ่ยเวยแห่งพระตำหนักฉือหนิงกงจึงดูสลัวลงเล็กน้อย

ข้ารับใช้สาวจุดตะเกียง ในห้องสว่างขึ้น ไทเฮาหยิบตะบันไฟขึ้นมา และจุดไม้จันทน์ลงไปในกระถางธูป ควันนั้นราวกับเสา กลิ่นหอมอบอวลไปทั่วทั้งห้อง

“ข้ากลัวความหนาว จึงเปิดหน้าต่างน้อยมาก แต่หมอหลวงกลับบอกว่า…ทุกยามเช้า 1 ชั่วยาม ต้องเปิดหน้าต่าง 1 เค่อเพื่อให้อากาศถ่ายเท ข้าชราแล้ว คิดว่าคงอยู่ผ่านไปได้ไม่กี่วัน ก็คงจะได้ไปอยู่กับฮ่องเต้องค์ก่อนแล้ว”

นางเดินตัวสั่นไปยังเตียง หยูเวิ่นหวินรีบเข้าไปประคอง และเอ่ยเสียงแผ่ว “พระพลานามัยของไทเฮายังดีอยู่เพคะ อย่างไรก็ต้องมีชีวิตอยู่ถึง 120 ปีได้แน่”

“เด็กสาวอย่างเจ้า…เยี่ยงนั้นข้าก็จะกลายเป็นปีศาจมิใช่รึ แต่หากทานพรของเหล่าลูกหลานเข้าไป ข้าก็จะได้รับผลกรรม”

นางนั่งลงบนเตียง และโบกมือไปมา “พวกเจ้าก็นั่งเถอะ เวิ่นหวินเอ๋ย เจ้าต้มชา ต้มเหยียนฉาจากหลิงหนานที่มารดาเจ้าส่งมาให้ข้าที รสชาติใช้ได้เลยทีเดียว พวกเจ้าก็ลองชิมดูเถิด”

ฟู่เสี่ยวกวนโค้งคำนับอย่างสุภาพ นั่งลงตามความเหมาะสม ซูซูเมียงมอง และก็นั่งลงข้าง ๆ ฟู่เสี่ยวกวน

ฟู่เสี่ยวกวนไม่เข้าใจความคิดของไทเฮาผู้นี้เลย เมื่อเทียบกับในอดีตก็เหมือนกับเป็นคนละคน เยี่ยงนั้นคนไหนที่เป็นไทเฮาตัวจริง ?

เหมือนว่าไทเฮาเพิ่งจะสังเกตเห็นซูซูขึ้นมา จึงตกใจเล็กน้อย และเอ่ยถามว่า “ลูกสาวตระกูลใดกัน งดงามราวกับน้ำแข็งแกะสลัก เหตุใดข้าจึงมิเคยพบเจอมาก่อน ?”

ดวงตาของซูซูเบิกกว้าง รอยยิ้มสดใสผุดขึ้นมาเล็กน้อย ฟู่เสี่ยวกวนรีบตอบทันพลัน “ทูลไทเฮา นี่คือ…องครักษ์ของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”

“โอ้…” ไทเฮาส่งสายตาอย่างมีเลศนัยไปให้หยูเวิ่นหวิน หยูเวิ่นหวินพยักหน้าน้อย ๆ

“เจ้าเข้ามาสิ ให้ข้าได้มองอย่างถี่ถ้วน”

ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นและเดินเข้าไป ไทเฮาเงยหน้าขึ้น ดวงตาลืมขึ้นมาน้อย ๆ ระยะห่างยังคงห่างไปเล็กน้อย ดังนั้นนางจึงตบลงที่เตียง “เข้ามานั่งใกล้ ๆ ข้าหน่อย”

ฟู่เสี่ยวกวนเข้าไปนั่งแต่โดยดี ไทเฮาจ้องมองเขาอย่างถี่ถ้วนอยู่เนิ่นนานหลายอึดใจ ในดวงตากลับมิมีร่องรอยฟาดฟันดั่งเมื่อครู่

“หน้าตาของเจ้า…ช่างเหมือนกับมารดาของเจ้ามิมีผิด ! ”

“ไทเฮารู้จักมารดาของกระหม่อมด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”

ไทเฮาดึงสายตากลับมา ระบายยิ้มเล็กน้อย ร่องรอยบนใบหน้าดูลึกขึ้น

“ในตอนนั้นสวี่หยุนชิงเป็นสตรีมีความสามารถที่มีชื่อเสียงของเมืองหลวง ในเวลานั้น…ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันยังเป็นเพียงองค์รัชทายาท กล่าวได้ว่า สวี่หยุนชิงก็เป็นหนึ่งในผู้ที่น่าเลื่อมใส”

ราวกับไทเฮากำลังดำดิ่งลงไปในความทรงจำ หยูเวิ่นหวินที่ต้มชาอยู่กลับประหลาดใจเล็กน้อย หันมองไปทางองค์หญิงใหญ่ องค์หญิงใหญ่ก็เพียงแต่ยิ้มบาง ๆ

“ข้าจำได้ว่าประมาณรัชสมัยไท่เหอปีที่ 40 งานกวีหลานถิงจี๋ในเทศกาลไหว้พระจันทร์ปีนั้น ข้าและฮ่องเต้องค์ก่อนได้ไปดู และก็เป็นตอนนั้นเองที่ข้าได้พบกับสวี่หยุนชิงเป็นคราแรก นางถูกล้อมรอบด้วยชายหนุ่มหนึ่งกลุ่มราวกับจันทราที่มีดวงดาราล้อมรอบ หนึ่งในนั้นมีต่งคังผิง เยี่ยนซือเต้า ทั้งยังมี…โอ้ ใช่ ยังมีสีฉวินเหมยบุตรคนเล็กของตระกูลสีและองค์รัชทายาทของราชวงศ์อู๋ เหวินตี้องค์ปัจจุบัน อู๋ฉางเฟิง แน่นอนองค์รัชทายาทเองก็รวมอยู่ด้วย”

“ยังจำได้ว่าในตอนนั้นข้าได้กล่าวกับฮ่องเต้องค์ก่อนว่า…สวี่หยุนชิงคงเป็นสตรีที่ปักปิ่นแล้ว จะส่งความประสงค์ไปให้สวี่เช่ากวงหรือไม่ ให้สวี่หยุนชิงได้อภิเษกกับองค์รัชทายาทขึ้นเป็นสนมขององค์รัชทายาท”

ฟู่เสี่ยวกวนตกใจจนอ้าปากค้างเล็กน้อย ในปีนั้นมารดาเขา…มีเสน่ห์ถึงเพียงใดกัน ?

หยูเวิ่นหวินเองก็มิทราบเรื่องนี้ เมื่อได้ยินเยี่ยงนั้นก็ตกอยู่ในภวังค์ แม้ว่าน้ำในกาจะเดือดแล้วก็ยังมิรู้ตัว โชคดีที่องค์หญิงใหญ่นั่งลง และรับหน้าที่ต้มชาต่อ

“หากในยามนั้นหากฮ่องเต้องค์ก่อนพยักหน้า ไทเฮาของราชวงศ์หยูตอนนี้ ก็คงจะเป็นสวี่หยุนชิงไปแล้ว ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงไปชั่วขณะและเอ่ยถามว่า “มิใช่ เหตุใดกระหม่อมจึงได้ยินมาเพียงว่าเยี่ยนซือเต้าชอบมารดาของกระหม่อม ? ”

“ไร้สาระ ผู้ที่ชอบมารดาเจ้าในเมืองหลวงนี้มีอยู่มากมาย”

ทันใดนั้นไทเฮาก็ถอนหายใจ และกล่าวอีกว่า “เป็นเรื่องวาสนาทั้งสิ้น…บางทีอาจจะเป็นโชคชะตา จากนั้นข้าก็ได้ไปถามฮ่องเต้องค์ก่อนเช่นกัน แต่ฝ่าบาทก็มิมีคำตอบให้ หลังจากนั้น…ข้าก็ได้ยินมาว่าสวี่หยุนชิงแต่งกับเศรษฐีที่ดินจากหลินเจียง หลังจากนั้น ข้าก็มิเคยถามถึงนางอีก แต่ก็มิคาดคิดเลยว่าบุตรชายของนางจะโตถึงเพียงนี้แล้ว”

จนถึงตอนนี้ คำพูดที่กล่าวถึงมารดาของเขา มีด้วยกันทั้งหมดสามแบบ

แบบที่หนึ่งคือเรื่องเล่าจากฟู่ต้ากวนเมื่อยามอยู่เบื้องหน้าหลุมศพ แบบที่สองคือเรื่องเล่าเหตุการณ์ในอดีตที่ได้ฟังมาจากอาจารย์หูฉินหูที่หงซิ่วจาว และแบบที่สามก็คือในตอนนี้ ความทรงจำที่ไทเฮามีต่อสวี่หยุนชิง

ในเรื่องเล่าแบบที่หนึ่ง มารดาและบิดาพบรักกัน และได้หนีตามกันไป ในเรื่องเล่าที่สอง ฟู่ต้ากวนคือมือที่สาม ตามที่หูฉินเล่ามา มารดามิได้ชอบพอกับบิดา เดิมทีนางควรจะแต่งกับเยี่ยนซือเต้า

แต่ในเรื่องแบบที่สาม คาดมิถึงว่ามารดาเกือบจะได้เป็นไทเฮา เพียงเพราะฮ่องเต้องค์ก่อนหน้ามิได้พยักหน้า เยี่ยงนั้นเหตุใดฮ่องเต้องค์ก่อนจึงมิยินยอมกัน

บางทีระหว่างมารดาและองค์ชายอาจไร้ซึ่งความรัก เยี่ยงนั้นที่ตนเองได้รับความโปรดปรานจากไทเฮา จะมีมารดาเป็นเหตุผลอยู่ในนั้นด้วยหรือไม่ ?

ฟู่เสี่ยวกวนมิทราบ นี่คือเรื่องที่ไร้หนทางจะหาคำตอบ และเขาก็มิมีจิตใจที่จะอยากทราบความจริง

“เมื่อครู่พระองค์กล่าวว่ามีองค์รัชทายาทของราชวงศ์อู๋อยู่ด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”

“มิผิด งานชุมนุมวรรณกรรมของราชวงศ์หยูในปีนั้น เหวินสิงโจวจากราชวงศ์อู๋ได้พาบัณฑิตจากราชวงศ์อู๋มาเข้าร่วม อู๋ฉางเฟิง องค์รัชทายาทแห่งราชวงศ์อู๋ก็อยู่ที่นั่น”

เรื่องนี้ฉินปิ่งจงมิเคยเอ่ยถึง ดูเหมือนว่าการมาขององค์รัชทายาทราชวงศ์อู๋จะเป็นความลับ ฉินปิ่งจงจึงมิทราบ

“เอาล่ะ ตอนนี้มารดาของเจ้าก็ได้ไปสวรรค์แล้ว และเจ้าในตอนนี้ก็ได้มีอนาคตแล้ว นางคงสบายใจแล้วเช่นกัน”

ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นและถอยไปนั่งยังโต๊ะน้ำชา ไทเฮาราวกับอ่อนล้าเล็กน้อย นางหลับตาลงอยู่เนิ่นนานและมิได้กล่าวอันใดอีก

หยูเวิ่นหวินจึงหลุดออกจากภวังค์ และรีบรับชาที่ต้มได้ที่แล้วมารินให้กับองค์หญิงใหญ่ และเอ่ยแนะนำกับฟู่เสี่ยวกวนเสียงแผ่ว “นี่คือเสด็จป้าของข้า องค์หญิงใหญ่”

ฟู่เสี่ยวกวนรับทำความเคารพ “คำนับเสด็จป้า ! ”

องค์หญิงใหญ่หัวเราะร่า หยูเวิ่นหวินตื่นตกใจ ใบหน้าแดงก่ำในพลัน

ฟู่เสี่ยวกวนจึงตระหนักขึ้นมาได้ว่ายังมิสามารถเรียกเยี่ยงนี้ได้ในตอนนี้ แต่เมื่อได้กล่าวไปแล้วก็มิอาจคืนคำกลับมาได้ เขาจึงยิ้มแหย และกล่าวอีกว่า “กระหม่อมเห็นความเป็นกันเองของเสด็จป้า ดังนั้นจึงอดที่จะเรียกออกมาเยี่ยงนั้นมิได้ เสด็จป้าโปรดประทานอภัยให้กระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้าคนนี้ ปากหวานนัก…เวิ่นหวินเอ๋ย เจ้าและชูหลานต้องจับตาดูเขาเอาไว้ให้จงดี เสด็จป้ากังวลเหลือเกินว่าปากของเขาจะไปหลอกลวงหญิงสาวอีกเป็นจำนวนมาก”

หยูเวิ่นหวินเม้มปากและจ้องฟู่เสี่ยวกวนตาเขม็ง ลอบคิดว่าเสด็จป้ายังมิทราบถึงเยี่ยนเสี่ยวโหลวหลานสาวของเยี่ยนเป่ยซีผู้นั้น เกรงว่านางจะตกหลุมของเขาเสียแล้ว

ไทเฮาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และกล่าวขึ้นมาว่า “ข้าคิดว่า เยี่ยงไรแล้วก็เป็นเชื้อสายของเชื้อพระวงศ์ เรื่องนี้จะช่างมันไปได้หรือไม่ ? ”

องค์หญิงใหญ่ส่งสายตาให้กับฟู่เสี่ยวกวน หมายความได้ว่าให้เขาถอยทางให้แก่ไทเฮาเยี่ยงนี้ เรื่องนี้ได้บรรลุเป้าหมายแล้ว เยี่ยงนั้นก็ช่างมันไปเสีย

แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับกล่าวอย่างจริงจัง “กราบทูลไทเฮา กระหม่อมคิดว่าองค์ชายสามสมควรได้รับโทษทางกฎหมายอย่างสาสม ส่วนฮุ่ยชินอ๋อง กระหม่อมคิดว่าเพื่อมิให้ก่อปัญหาขึ้นมาอีก ไทเฮาทรงโปรดเกลี้ยกล่อมให้ชินอ๋องออกจากเมืองหลวงไปยังที่ของเขาเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

และแล้วก็เงียบไปอีกครั้งอย่างเนิ่นนาน

“ต้องให้เขาสิ้นชีพจริง ๆ หรือ ? ”

บรรยากาศในยามนี้หนักอึ้ง หน้าต่างมิได้เปิดออก แม้แต่หายใจยังรู้สึกลำบาก

“ทูลไทเฮา องค์ชายสามจะตายตกหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับกฎหมาย กระหม่อมอยากจะให้ไทเฮาทรงตระหนัก เรื่องที่องค์ชายสามก่อฆาตกรรมกลางวันแสก ๆ ประชาชนนับร้อยที่ถนนเส้นยาวต่างรู้เห็น และเรื่องเลวร้ายที่องค์ชายสามได้กระทำในอดีต คาดว่าไทเฮาเองก็ทรงทราบเป็นอย่างดี กระหม่อมเข้าใจพระประสงค์ของไทเฮา แต่กระหม่อมอยากให้ไทเฮาทรงตระหนัก ว่ามีผู้ใดบ้างที่เข้าใจหัวอกของบิดามารดาของคนที่เป็นเหยื่อกัน ? ”

“หากกระทำชั่วแล้วมิได้รับโทษ เยี่ยงนั้นความดีก็มิมีความหมาย และกฎหมายทางศีลธรรมของประเทศนี้ ก็จะล่มจมด้วยเรื่องนี้เช่นกัน ทำให้ขุนนางเพิกเฉยต่อกฎหมาย ประชาชนไม่เชื่อในกฎหมาย ก็จะไร้ซึ่งกฎเกณฑ์ สำหรับราชวงศ์หยู นั่นร้ายแรงอย่างยิ่ง กระหม่อมกล้ายืนยันได้ว่า หากองค์ชายสามมิได้รับโทษทัณฑ์ เยี่ยงนั้นกฎหมายทางศีลธรรมของราชวงศ์หยูก็จะถดถอยไปอย่างน้อยร้อยปีพ่ะย่ะค่ะ”

“ดังนั้นเพื่อบ้านเมืองของต้าหยู กระหม่อมคงต้องขอทูลไทเฮาโปรดลงโทษตามผิดด้วยพ่ะย่ะค่ะ ! ”

และเงียบลงไปอีกครา

มีเพียงควันของชา และควันหอมของไม้จันทน์

ผ่านไปเนิ่นนาน ดวงตาของไทเฮาก็ยังมิลืมขึ้น นางเอ่ยอย่างเชื่องช้า “ข้าเหนื่อยแล้ว เรื่องของเจ้าและเวิ่นหวิน…ข้าคงเห็นด้วย เจ้าจงจดจำให้ดีว่าข้านั้นรักและเอ็นดูเวิ่นหวินเป็นอย่างมาก หากเจ้าทำให้นางเจ็บช้ำน้ำใจ…ข้าจักมิปล่อยเจ้าไว้แน่ ! ”

นางยกมือขึ้นมาโบกเล็กน้อย “พวกเจ้าออกไปเถอะ เวิ่นหวิน เปิดหน้าต่างนั้นออก ข้าต้องการพักผ่อนสักประเดี๋ยว”

ไทเฮายินยอมกับเรื่องของหยูเวิ่นหวินและฟู่เสี่ยวกวนแล้ว เดิมทีแล้วเป็นเรื่องที่น่าดีใจ แต่ในยามนี้ฟู่เสี่ยวกวนและหยูเวิ่นหวินกลับดีใจไม่ออก

ไทเฮาทราบแน่ชัดว่าองค์ชายสามต้องตายตก ในฐานะคนเป็นยาย นางย่อมอยากช่วยเหลือองค์ชายสาม ในฐานะไทเฮาของประเทศ นางก็เข้าใจความหมายในคำพูดของฟู่เสี่ยวกวนเป็นอย่างดี

นางเหนื่อยอย่างแท้จริง เหนื่อยที่จิตใจ

นางคาดมิถึงว่าที่ปีนั้นนางเมตตาให้ฮุ่ยชินอ๋องอยู่ที่เมืองหลวงต่อ จะกลับก่อให้เกิดโศกนาฎกรรมเฉกเช่นในตอนนี้ หากปีนั้นมิแก้ไขข้อกำหนด และปล่อยให้ฮุ่ยชินอ๋องไปยังหลิงหนาน บางทีอาจจะมิกลายมาเป็นเช่นนี้

นางนอนลงบนเตียงแต่มิได้หลับใหล แต่ในยามที่ลืมตาขึ้นมา เหม่อมองเพดานที่ว่างเปล่า หยาดน้ำตาก็หลั่งรินออกมาทางหางตา

…..

…..

ณ วังเตี๋ยอี๋

ฟู่เสี่ยวกวนและหยูเวิ่นหวินนั่งลงข้างกัน

หยูเวิ่นหวินเล่าเรื่องทั้งหมดให้พระสนมซั่งโดยละเอียด สีหน้าพระสนมซั่งครึ้มลงไปเล็กน้อย ผ่านไปเนิ่นนานจึงได้ถอนหายใจออกมา

“ข้ารู้สึกว่ามันไร้ค่านักสำหรับไทเฮา แต่มิใช่ฮุ่ยชินอ๋อง ฮุ่ยชินอ๋องแสดงละครออกมาได้ดีเยี่ยม ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนมิเข้าใจ จึงเอ่ยถาม “พระสนมจะหมายถึง…”

“เขามิใช่คนโง่ถึงเพียงนั้น ที่แสดงออกเยี่ยงนั้นต่อหน้าไทเฮาก็เพื่อจะออกไปจากเมืองหลวง หากเขาก้มหน้ารับผิด ไทเฮาย่อมใจอ่อน จนอดที่จะมีความคิดที่จะรั้งเขาให้อยู่ที่เมืองหลวงมิได้”

“แต่เขาเข้าใจว่าในตอนนี้หากอยู่เมืองหลวงต่อไปก็ไร้ความหมาย สู้ให้เขากลับไปหลิงหนานและรอคอยกลับมาเสียจะดีกว่า ดังนั้นเขาจึงมิยอมรับผิด กลับเลือกที่จะปะทะกับเจ้าต่อไป จุดประสงค์มีเพียงหนึ่ง ก็คือให้ไทเฮายอมแพ้กับเขา”

ฟู่เสี่ยวกวนจึงตระหนักขึ้นมาได้ ฮุ่ยชินอ๋องทราบว่าตนนั้นจะตายไม่ได้ และเขาก็มีโอรสอีก 2 พระองค์ แต่หากอยู่ที่เมืองหลวงต่อไป บางทีอาจจะมีหายนะที่ใหญ่ยิ่งกว่า เลือกจากไปจึงเป็นทางเลือกที่ดียิ่งกว่า

ถึงแม้ที่หลิงหนานจะทุรกันดาร และก็อยู่ห่างไกลจากดินแดนฮ่องเต้ ที่ดินหนึ่งหมู่สามส่วน เขายังคงสามารถกำเริบเสิบสานได้อีกมาก

ตนเองยังคงใจอ่อนเกินไป !

“ในตอนนี้คงทำได้เพียงเท่านี้ ปล่อยเขาไปเถิด เยี่ยงไรแล้วก็ก่อคลื่นมิได้มากหรอก เสี่ยวกวน เจ้าสามารถเขียนจดหมายเชิญบิดาของเจ้ามาที่นี่ได้แล้ว”

ฟู่เสี่ยวกวนดีใจอย่างมาก ใบหน้าของหยูเวิ่นหวินแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม

พระสนมซั่งเหม่อมองต้นบ๊วยด้านนอกหน้าต่าง ใบหน้าสงบนิ่ง แต่ภายในกลับโล่งใจอย่างยิ่ง

เพื่อให้ลูกสาวของตนสามารถสมรสกับฟู่เสี่ยวกวนได้ กระดานที่ได้ตั้งเอาไว้ ก็จะพบกับบทสรุปที่ประสบความสำเร็จ

และหมากของกระดานต่อไปก็ได้ถูกวางไว้แล้ว ต่อจากนี้ เพื่อทุกสิ่งมีชีวิต คงต้องคอยตามสถานการณ์ของเมืองหลวงต่อไป !