ตอนที่ 222 รังแก

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 222 รังแก

ในที่สุดชีวิตอันแสนสงบสุขก็กลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง แม้ภายใต้ความสงบจะยังมีคลื่นอยู่ก็ตาม

หลังจากที่ไทเฮาทรงอ่อนข้อ เรื่องของฟู่เสี่ยวกวนกับหยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานจึงได้ลงเอยกันด้วยดี เขาได้เขียนจดหมายไปหาบิดา เพื่อเชิญให้เขาเดินทางมาเมืองหลวง หลังจากนับวันแล้วคาดว่าบิดาจะเดินทางมาถึงเมืองหลวงประมาณวันที่สิบหกนี้

หลายวันมานี้ ฟู่เสี่ยวกวนนอกจากจะเขียนหนังสือกั๋วฟู่ลุ่นแล้ว ก็ได้คลุกคลีหยอกเย้าอยู่กับแม่นางทั้งสอง

สตรีทั้งสองหลังจากได้รับอนุญาตจากครอบครัวแล้ว พวกนางก็มักกระทำการหยอกล้อให้ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกลำบากทั้งกายและจิตใจ ทั้งสามคนอยู่กันอย่างมีความสุข และรอวันที่จะเข้าหอวิวาห์

“วันพรุ่งนี้เป็นวันที่สิบสี่เดือนหนึ่ง ไทเฮาจะทรงฉลองพระชนมายุ 70 พรรษา เดิมทีเสด็จพ่อประสงค์ให้จัดงานเฉลิมฉลองยิ่งใหญ่ แต่ไทเฮามิยินยอม สุดท้ายแล้วเสด็จพ่อจึงได้เชิญขุนนางคนสนิทและญาติทั้งหลายไปร่วมรับประทานอาหาร ณ พระตำหนักฉือหนิง ดูการแสดงงิ้วและร่วมสนุกสนานไปกับไทเฮา”

หยูเวิ่นหวินนำผมไปทัดที่หู แก้มนางแดงเรื่อแล้วกล่าวว่า

“ในวันพรุ่งนี้เจ้าก็ควรไป” ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดสักครู่ก่อนเอ่ยถามว่า “ฮุ่ยชินอ๋องไปจากเมืองหลวงแล้วหรือยัง ? ”

“ยัง ไทเฮาทรงพระทัยอ่อน กล่าวว่าบัดนี้อากาศหนาวเหน็บ อีกทั้งระยะทางยาวไกลนัก เมื่อหิมะตกหนักจะเดินทางไม่สะดวก จึงได้กักเขาไว้ในจวนฮุ่ยชินอ๋อง รอจนกว่าอากาศอุ่นขึ้นจึงค่อยเดินทาง”

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เอ่ยอันใดออกมาอีกเกี่ยวกับเรื่องนี้ นี่คือขีดจำกัดของพระนางแล้ว เขามิควรกระทำการใดไปมากกว่านี้

แต่ความเสียหายของจวนฟู่ ศาลจินหลิงกล่าวว่าจะให้คนของจวนฮุ่ยชินอ๋องมาชดเชยให้ในสองสามวันนี้…ควรจะเร่งเขาสักหน่อยดีหรือไม่ ?

ฟู่เสี่ยวกวนตัดสินใจเดินทางไปเยี่ยมฮุ่ยชินอ๋องที่จวน เนื่องจากเงินจำนวน 200,000 ตำลึงมิใช่เงินน้อย ๆ หากว่าฮุ่ยชินอ๋องเกิดตุกติกละก็ คงจะขาดทุนไม่น้อย !

“ไปเถอะ พวกเราไปดูจวนฮุ่ยชินอ๋องกัน”

“ดูสิ่งใดกัน ? ” หยูเวิ่นหวินเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“ไปดูว่าเขายังอยู่ดีหรือไม่นะสิ ! ”

……

เดิมทีจวนฮุ่ยชินอ๋องที่ครึกครื้นโอ่อ่า เพียงไม่กี่วันเท่านั้น กลับกลายเป็นสถานที่อันเงียบสงัดว่างเปล่า

ฮุ่ยชินอ๋องได้ไล่บรรดาบ่าวใช้ออกจำนวนมาก อีกทั้งเจ้าหน้าที่สิบกว่าคนก็เช่นกัน บัดนี้มีเพียงเขาที่กำลังนั่งดื่มชากับบุตรชายคนโต หยูเล่อ

“จากสถานการณ์ตอนนี้ เกรงว่าน้องสามของเจ้าคงจะมิรอดแน่…พระสนมซั่งเป็นสตรีที่มีแผนการในใจมากมาย บัดนี้คนที่ไปร้องทุกข์ ณ ศาลจินหลิงยังมีมากโข เดิมทีพ่อคาดว่าจะได้ออกจากที่นี่เร็วสักหน่อย คาดมิถึงว่าไทเฮาจะทรงรั้งพ่อไว้ เจ้าจงเขียนจดหมายไปถึงน้องรองของเจ้า บรรดาเจ้าหน้าที่ของพ่อนั้นเป็นเหมือนแขนขา พวกเขาได้แยกย้ายกันไปยังจวนฉางเล่อ จงกำชับให้น้องรองของเจ้าต้อนรับพวกเขาให้ดี”

สีหน้าของหยูเล่อเคร่งเครียด เขาตอบกลับมาว่า “รับทราบขอรับเสด็จพ่อ”

“อีกอย่าง…พ่อคาดว่าจะออกเดินทางในเดือนสาม ระยะทางไปยังจวนฉางเล่อช่างยาวไกล ให้น้องรองของเจ้าส่งจอมยุทธ์ชุดดำมา…เจอกันที่เมืองหลินเจียง”

“เหตุใดให้ไปเจอกันที่เมืองหลินเจียงขอรับ ? ให้พวกเขารออยู่ที่เขตแดนจินหลิงมิดีกว่าหรือ ? ”

ฮุ่ยชินอ๋องยิ้มจากนั้นกัดฟันเอ่ยว่า “น้องสามของเจ้าจะตายเปล่ามิได้ ! พ่อ…จะให้ตระกูลฟู่ตายตามไปพร้อมกับเขา ! ”

หยูเล่อเพียงแค่เคยพบกับฟู่เสี่ยวกวนครั้งหนึ่ง แต่เขาก็รู้สึกเกรงกลัวชายผู้นี้อยู่ในใจลึก ๆ

เขาเป็นเพียงพ่อค้าที่ดินในเมืองหลินเจียงเท่านั้น แต่กลับใช้เวลาเพียงสองวันทำให้จวนชินอ๋องที่เคยผาสุกกลับกลายเป็นเช่นนี้ได้ นี่บ่งบอกได้ว่าเขาน่ากลัวสักเพียงใด อีกทั้งยังมีพระสนมซั่งเป็นคนคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง หรือบางทีฮ่องเต้อาจจะช่วยเหลือเขาอยู่ก็เป็นได้ !

หากเสด็จพ่อของเขาคิดกำจัดตระกูลฟู่…เกรงว่าเจ้าหมอนั่นจะบ้าคลั่งกว่านี้ ! เขาจะทำเรื่องเหนือความคาดหมายออกมาหรือไม่ ?

“เสด็จพ่อ…”

“พ่อรู้ว่าเจ้ากังวลสิ่งใดอยู่” ฮุ่ยชินอ๋องยกน้ำชาขึ้นดื่ม “หาได้มีผู้ใดรู้จักจอมยุทธ์ชุดดำไม่ ให้พวกเขาบุกเข้าไปฆ่าคนในเรือนซีซานจนสิ้น จากนั้นเผาจวนฟู่ทิ้งซะ นี่เป็นเรื่องที่กระทำได้ง่ายดาย หากฟู่เสี่ยวกวนต้องการจะตรวจสอบ…เขาจะเอาหลักฐานที่ใดมาตรวจสอบกัน !”

หยูเล่อครุ่นคิดดู หากจอมยุทธ์ชุดดำกระจายตัวบุกเข้าไปในเรือนซีซาน จากความสามารถของพวกเขา คาดว่าคงปลิดชีพตาเฒ่าฟู่นั่นได้ง่าย ๆ หลังเสร็จภาระกิจให้รีบหลบหนีออกมาจากเมืองแล้วแยกย้ายกันไป คงไม่มีความเสี่ยงใด ๆ

“ลูกเข้าใจแล้วขอรับ”

ในขณะนั้นเอง ผู้ดูแลจวนเก่าแก่คนหนึ่งวิ่งเข้ามาด้วยความรีบร้อน “ทูลฝ่าบาท องค์หญิงเก้าและฟู่เสี่ยวกวนประสงค์จะเข้าพบพ่ะย่ะค่ะ !”

หยูเล่อตกตะลึงเบิกตากว้าง สีหน้าเขาเปลี่ยนไปทันที คล้ายกับนกที่เห็นคันธนูยังไงยังงั้น

ฮุ่ยชินอ๋องเองก็ขมวดคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย เจ้าหมอนี่เดินทางมาในครานี้…ต้องการสิ่งใดกัน ?

แต่เนื่องจากองค์หญิงเก้าได้เสด็จมาด้วย เขาจึงมิอาจปฏิเสธการเข้าพบได้ จึงจำเป็นต้องเผชิญหน้า

โดยให้พวกเขาไปรอยังสวนดอกไม้หลังจวน

ฟู่เสี่ยวกวนและหยูเวิ่นหวินเดินตามผู้ดูแลคนนั้นเข้าไปด้านใน

เขาโบกไม้โบกมือทักทายฮุ่ยชินอ๋อง จากนั้นเอ่ยอย่างยิ้มแย้มว่า “ท่านอ๋องสบายดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ! ”

สีหน้าของฮุ่ยชินอ๋องนิ่งเรียบ เขามิได้สนใจฟู่เสี่ยวกวน แต่กลับหันไปทักทายองค์หญิงเก้าว่า “อาถูกคนผู้น้อยต่ำต้อยทำร้ายเสียจนแทบมิเหลือแม้แต่ชีวิต คาดมิถึงว่าองค์หญิงจะเห็นแก่อดีตที่ผ่านมาจึงได้เดินทางมาเยี่ยมเยียน อาซึ้งใจยิ่งนัก ! ”

ทว่าหยูเวิ่นหวินเกลียดแค้นเสด็จอาผู้นี้เข้ากระดูกดำ อาจเป็นเพราะว่านางใกล้ชิดกับฟู่เสี่ยวกวนมาเป็นเวลานาน แต่นางมิได้แสดงสีหน้าใด ๆ ออกมา ได้แต่ยิ้มจาง ๆ

“เสด็จอามิต้องซึ้งใจไปหรอกเพคะ เนื่องจากในวันนี้หลานเดินทางมาพร้อมกับฟู่เสี่ยวกวน…เพียงต้องการมาดูว่าที่จวนของเสด็จอายังมีของมีค่าหลงเหลือบ้างหรือไม่เท่านั้น”

ฮุ่ยชินอ๋องสีหน้าเปลี่ยนไปทันที “หลานเห็นอาตกบ่อน้ำเช่นนี้ แล้วยังจะปาหินใส่ลงมาอีกรึ ?”

“เสด็จอากล่าวเกินไปแล้วเพคะ หลานเพียงแค่ต้องการ…ปิดปากบ่อเท่านั้น ! ” หยูเวิ่นหวินยังคงยิ้มรื่น ฟู่เสี่ยวกวนเองก็แอบยิ้มอยู่ในใจ ฮุ่ยชินอ๋องมองพวกเขาอย่างเย็นชา หยูเล่อเองก็นั่งอย่างไม่เป็นสุข

ประโยคเมื่อครู่ออกจากปากองค์หญิงเก้า !

เป็นพระประสงค์ของฮ่องเต้งั้นหรือ ?

“เรื่องอื่น ๆ เสด็จอาเจรจากับฟู่เสี่ยวกวนเองเถิดเพคะ หลานเพียงแค่มาดู”

ทั้งสองคนนั่งลงตรงข้ามกับฮุ่ยชินอ๋อง ฟู่เสี่ยวกวนมองไปทางหยูเล่อแล้วเอ่ยว่า “ท่านซื่อจื่อ จวนของท่านนั้นคงมิยากจนถึงขนาดมิมีน้ำชาใช่หรือไม่ ? หากเป็นเช่นนี้กระหม่อมคงต้องไปเรียกร้องกับศาลจินหลิงให้ปิดจวนของท่านอีก เนื่องจากพวกท่านทำลายจวนของกระหม่อมเสียจนมิมีชิ้นดี แต่ยังมิได้ชดใช้ให้กระหม่อมเลยสักนิด กระหม่อมมีสิทธิ์สงสัยว่าพวกท่านได้นำทรัพย์สินขนย้ายหนีไปเสียแล้ว ? ”

“หากพวกท่านหลบหนีไปจริงๆ…” ฟู่เสี่ยวกวนหันไปเอ่ยกับหยูเล่อทีละคำอย่างชัดเจนว่า “กระหม่อมจะไปตามเอาที่ใคร ? ”

“เจ้า !…”

“ชงชา ! ช่างมิรู้จักมารยาทเอาเสียเลย ! ” ฟู่เสี่ยวกวนนั่งหลังตรงและตะคอกไปยังหยูเล่อ

หยูเล่อกลืนน้ำลายลงคอ เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วเริ่มลงมือชงชา

ความคิดของเสด็จพ่อถูกต้องแล้ว ควรให้จอมยุทธ์ชุดดำไปยังเมืองหลินเจียงเร็วสักหน่อย แล้วจัดการทำลายตระกูลฟู่เสีย มิเช่นนั้น…อย่าเรียกข้าว่าหยูเล่อ !

เมื่อมองเห็นสีหน้าของหยูเล่อ ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้ละสายตากลับมามองฮุ่ยชินอ๋อง เขายิ้มแล้วเอ่ยว่า “ท่านอ๋อง เงินจำนวน 200,000 ตำลึงเล่า ! หากพระองค์มิชดใช้ให้ข้า ข้าคงต้องอาศัยอยู่ที่นี่เสียแล้ว”

“เจ้ากล้างั้นรึ ! เจ้านี่มันเกินไปแล้ว ! ” ฮุ่ยชินอ๋องรู้สึกโมโหจนเลือดขึ้นหน้า

ฟู่เสี่ยวกวนโบกไม้โบกมือแล้วกล่าวว่า “ท่านอ๋องทรงไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย แต่โบราณมามีติดค้างต้องมีคืน ฆ่าคนต้องชดใช้ด้วยชีวิต หยูจิ่งฟ่านฆ่าคนเขาก็ชดใช้ด้วยชีวิต ส่วนพระองค์ในฐานะบิดาก็ติดหนี้ข้าเช่นกัน พระองค์ทำเช่นนี้มิขายหน้าหรือ ? พระองค์กำลังทำให้ราชวงศ์ขายหน้าอยู่หรือเปล่า ! บัดนี้พระองค์มิอาจออกจากจวนได้ หรือจะไหว้วานให้ข้าช่วยป่าวประกาศ ? ”

ฮุ่ยชินอ๋องลำบากใจเป็นอย่างมาก เงินตั้ง 200,000 ตำลึง ! มันไม่มากเกินไปงั้นหรือ !

ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วขึ้น จากนั้นตบลงไปที่มือของหยูเล่อ “เพี๊ยะ !” หยูเล่อตกใจเสียจนขวัญหาย เขายังมิทันได้เอ่ยปากพูด ก็ได้ยินฟู่เสี่ยวกวนกล่าวว่า “เจ้าชงชาหลงจิ่งอย่างไรกัน ? เจ้ามิรู้จักวิธีชงหรือไร ! ไปชงมาใหม่ !

หยูเล่อตกตะลึง ฮุ่ยชินอ๋องลุกขึ้นทันที “ฟู่เสี่ยวกวน อย่าให้มากไปกว่านี้ !”

ฟู่เสี่ยวกวนก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นเช่นกัน สีหน้าเขายังคงเยือกเย็นไม่เปลี่ยนแปลง

“ในคืนนี้เป็นวันเฉลิมฉลองไทเฮาครบ 70 พรรษา ! ”

“แต่ท่านอ๋องถูกกักบริเวณเช่นนี้ คงไปร่วมงานมิได้”

“แต่ข้า…ต้องไป”

“พระองค์ลองเดาดูว่ากระหม่อมจะเอ่ยสิ่งใดกับพระนาง ?”

“พระองค์ลองทายดูว่าหลังจากกระหม่อมเอ่ยไปแล้ว ในวันรุ่งขึ้นพระองค์จะถูกกักตัวในจวนของตระกูลหรือไม่ ? ”

“กระหม่อมจะบอกให้ว่า หากพระองค์ไม่ชดใช้เงินให้กับกระหม่อม…กระหม่อมรับรองว่าพระองค์จะมิอาจเดินทางกลับไปยังจวนฉางอันที่หลิงหนานได้เป็นแน่ ! ”

ฮุ่ยชินอ๋องตัวสั่นสะท้าน ฟู่เสี่ยวกวนทำตัวโอ้อวดเพียงนี้ แต่เขากลับมิอาจทำสิ่งใดได้เลย

เขาเดาได้ว่าชายผู้นี้จะต้องเอ่ยวาจาให้ไทเฮาทรงเชื่อตามที่เขาต้องการเป็นแน่ อีกทั้งในคืนนี้ฮ่องเต้ก็ทรงประทับอยู่ด้วย ไหนจะบรรดาขุนนางชั้นสูงต่าง ๆ หากเขาได้รับโทษมากขึ้น…เกรงว่าแม้แต่โอกาสแก้ตัวก็คงจะมิมี

ทั้งสองคนสบตากัน แววตาของฮุ่ยชินอ๋องเริ่มอ่อนลง เขานั่งที่บนเก้าอี้อย่างไรเรี่ยวแรง

เงินจำนวน 200,000 ตำลึงเชียว !

เงินเหล่านี้ใช้จ้างวานจอมยุทธ์ชุดดำได้มากเพียงใด !

แต่เขาจะต้องมาเสียให้ฟู่เสี่ยวกวนเปล่า ๆ งั้นรึ !

เงินจำนวนนี้…ข้าจะคิดบัญชีกับเจ้าในภายหลังแน่ ! ข้าจะให้เจ้าชดใช้ร้อยเท่าพันเท่า !

“เจ้าชนะแล้ว”

ฮุ่ยชินอ๋องเอ่ยออกมาอย่างผู้แพ้

“เงินเล่า ? ” ฟู่เสี่ยวกวนมองไปทางเขาจากนั้นเอ่ยถามอย่างหน้าเลือด

“เล่อเอ๋อร์ จงไปหามารดาเจ้า นำเงินจำนวน 200,000 ตำลึงมา”

หยูเล่อรีบลุกขึ้นแล้วออกจากลานนั้นไป

ฟู่เสี่ยวกวนสีหน้ากลับมาเป็นปกติ เขานั่งลงอย่างสบายอารมณ์ จากนั้นรินน้ำชาให้ฮุ่ยชินอ๋อง “ชาหลงจิ่งนี้ ที่จริงก็มิเลวเท่าใดนัก หากท่านอ๋องทรงตอบรับแต่แรกก็คงมิเกิดเรื่องบาดหมางขึ้นใช่หรือไม่ ? ”

เขารินชาไปพลางเอ่ยว่า “ท่านอ๋องอาจจะทรงมิเข้าใจกระหม่อมเท่าใดนัก กระหม่อมนั้นเป็นคนมีเหตุผล ยังไงเสียกระหม่อมก็เป็นผู้ร่ำเรียนตำรา มิชอบรบราฆ่าฟัน แต่พระองค์มิทรงมีเหตุผลเอาเสียจริง เช่นเหตุการณ์ ณ ถนนสายยาววันนั้น บุตรชายของพระองค์เป็นผู้ผิด กระหม่อมจึงได้สั่งสอนเขาแทนพระองค์เท่านั้น แต่พระองค์ก็ทำให้เป็นเรื่องใหญ่จนได้…”

เอ่ยจบ ฟู่เสี่ยวกวนก็หันไปมองฮุ่ยชินอ๋อง รอยยิ้มบนใบหน้าค่อย ๆ จางลงไป “ท่านอ๋องเป็นผู้มีความคิดรอบคอบและยุติธรรม เหตุใดจึงเข้าข้างบุตรชายที่กระทำผิดกัน ? กระหม่อมมิเข้าใจเสียจริง ในวันนี้มีโอกาสเข้าเฝ้า ข้าจึงอยากถามให้แน่ชัด ขอทรงเอ่ยให้ข้าฟังได้หรือไม่”

“ท่านอ๋อง…แม้ว่าจวนชินอ๋องจะสามารถฝึกฝนทหารได้ 3,000 คน แต่พระองค์ควรระลึกว่าทหารเหล่านี้ท้ายที่สุดคือทหารของฝ่าบาท ! หากพระองค์เดินทางไปยังจวนฉางเล่อแล้วยังมิยอมวางมือ เกรงว่าใต้หล้านี้คงมิมีผู้ใดช่วยพระองค์ได้ ! ”

ฮุ่ยชินอ๋องตกตะลึงสุดขีด แต่เขาก็ได้ฟังฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยต่อมาว่า “มีอีกเรื่องหนึ่งที่กระหม่อมต้องการจะบอก กระหม่อมนั้นเป็นคนลืมยาก ! ใครทำอะไรกระหม่อมไว้กระหม่อมย่อมมิลืมง่าย ๆ แน่ เรื่องที่ถนนสายยาวนี้กระหม่อมเอ่ยกล่าวว่าจะระเบิดจวนท่าน เรื่องนี้…กระหม่อมมิได้เอ่ยเพียงขบขัน ! ”