ตอนที่ 223 ละครในละครนอก
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 9 เดือนหนึ่งวันที่สิบ ยามบ่าย
ถึงแม้แสงอาทิตย์จะมิได้ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายมากเสียเท่าใด แต่ก็ยังคงสว่างไสวเจิดจ้า
โคมไฟและสีสันรอบด้านของพระตำหนักฉือหนิงกงถูกจัดให้ดูครึกครื้นมากกว่าปกติ
ภายในตำหนักนางในมีพระสนมซั่งเป็นผู้นำของเหล่านางในและบรรดาเชื้อพระวงค์รวมไปถึงฮูหยินของเหล่าขุนนาง ภายในลานด้านนอกจะมีขุนนางในราชสำนักชั้นน้อยใหญ่และบุคคลมีชื่อเสียงของเมืองหลวง
ในยามนี้ฟู่เสี่ยวกวนกำลังหลบตัวอยู่ที่โต๊ะตัวมุมด้านหน้าของลาน เขาได้นั่งร่วมกับฉินปิ่งจงและชางกวนเหวินซิ่ว
ส่วนของขวัญที่จะมอบให้ไทเฮานั้น เขาได้ให้หยูเวิ่นหวินไปแล้ว คิดว่าหยูเวิ่นหวินก็คงจะได้มอบให้ไทเฮาแล้วเช่นกัน เพียงแต่มิทราบว่าไทเฮาจะชอบหรือไม่
ต่งชูหลานเองก็ตามต่งหยวนชื่อมารดาของนางเขาไปในพระตำหนักนางในแล้ว คาดว่าวันนี้คงยากที่จะเจอกันอีก
ในตอนนี้ฉินปิ่งจงกำลังจ้องมาทางฟู่เสี่ยวกวน และได้เอ่ยถามขึ้นมา “วันพรุ่งนี้หลังจากงานกวีเทศกาลโคมไฟ เจ้าต้องเลือกคนที่จะไปเข้าร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมราชวงศ์อู๋แล้ว เจ้าเคยได้ไปดูที่สำนักศึกษาจี้เซี่ยหรือไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนยังมิได้คิดถึงเรื่องยุ่งยากพวกนี้ ช่วงหลายวันนี้เขาเอาแต่เขียนหนังสือกั๋วฟู่ลุ่นเล่มนั้น หากจะต้องไปเลือกบัณฑิต ก็คงต้องรอให้เขียนหนังสือกั๋วฟู่ลุ่นจนเสร็จ แล้วส่งมันให้กับเยี่ยนเป่ยซีเสียก่อน
“ข้านั้นไร้ฝีมืออย่างแท้จริง…” เขาหันมองชางกวนเหวินซิ่ว แล้วกล่าวยิ้ม ๆ “หากจะกล่าวถึงผู้ที่คุ้นเคยกับผู้มีพรสวรรค์ของเมืองหลวง ข้าคิดว่ามิมีผู้ใดเทียบกับขุนนางระดับสูงช่างกวนได้แล้ว หรือไม่…ขุนนางระดับสูงช่างกวนช่วยเป็นธุระให้ข้าเถิด เรื่องการเลือกบัณฑิตนี้ ท่านจะช่วยข้าได้หรือไม่ ?”
ชางกวนเหวินซิ่วหัวเราะร่า และลูบเครายาวของเขา “เจ้าคิดจะแอบอู้งานรึ ข้าจะบอกเจ้าให้ เจ้าอย่าได้ดูถูกบัณฑิตแห่งราชวงศ์อู๋ไป ตั้งแต่ที่เหวินสิงโจวได้เข้ามาควบคุมเกี่ยวกับวรรณกรรมของราชวงศ์อู๋จนถึงวันนี้ก็เป็นเวลาสี่สิบกว่าปีแล้ว ในสี่สิบกว่าปีมานี้วรรณกรรมของราชวงศ์อู๋น่าสนใจยิ่งขึ้น มิเหมือนดังเก่าก่อนอีกต่อไปแล้ว ถึงกล่าวว่าราชวงศ์อู๋ยังคงเป็นอาวุธที่แข็งแกร่ง คลื่นลูกใหม่ในวงการวรรณกรรมของราชวงศ์อู๋ก็ได้มีผู้แสดงความสามารถออกมาเป็นจำนวนมากแล้ว และจัวตงหลายก็ถือเป็นแนวหน้าของสำนักศึกษาหลีชานเขตหลานซี มีนามเรียกว่าศิษย์ทั้งเจ็ดแห่งหลานซี ในปลายปีที่แล้ว ณ เมืองกวนหยุนเมืองหลวงราชวงศ์อู๋ได้จัดงานชุมนุมขึ้น บทกวีและบทความของทั้งเจ็ดได้กวาดล้างแนวโน้มที่ไม่เคยมีมาก่อนของราชวงศ์อู๋ไป ต่างก็ได้รับคำชมจากเหวินสิงโจวกันถ้วนหน้า และบทกวีของจัวตงหลาย ‘คำนึงทาสที่อ่อนช้อย จันทราในสารท’ ก็ชนะเป็นลำดับที่หนึ่ง”
“กวีบทนั้น…ท่วมท้นไปด้วยพลังอย่างแท้จริง มีทั้งความนุ่มนวล และยังมีพลังที่ยิ่งใหญ่นัก”
กล่าวถึงตรงนี้ชางกวนเหวินซิ่วก็เคาะจังหวะและท่องออกมา
“อาทิตย์ตก ณ ประจิม สันดอนหนาวเหน็บ หุบเขาไผ่ที่มืดลึกจางหายไป
หยกดำขึ้นทางบูรพา ณ เมฆาที่คล้อยต่ำ ดาราส่องสว่างเป็นจุดจุด
แสงจันทร์ราวน้ำค้าง กระบี่ยาวต่างร่ายรำ แตกสลายเป็นหิมะนับหมื่น
บทเพลงบรรเลงดัง เอื้อนเอ่ยถามผู้มีพรสวรรค์ในใต้หล้า
ย้อนมองไปหลานซีในปีนั้น ดอกไม้เขาลี่ซานได้เบ่งบาน สุกใสดั่งสายโลหิต
ชูสุราและเอ่ยถาม ยามที่อ่าน กลับพบลมแรงดังพายุ
พายเรือไปในทะเลตำรา ยึดมั่นไม่เยาะเย้ยข้า กร่ำตำราทราบวิทยายุทธ์
แม่น้ำที่หนาวเหน็บกับเงาที่โดดเดี่ยว อริแห่งยุทธภพใต้จันทราแห่งสารท”
ชางกวนเหวินซิ่วส่ายหัวไปมาพร้อมบอกเล่าต่อ “เจ้าลองดูสิ แม่น้ำที่หนาวเหน็บกับเงาที่โดดเดี่ยว อริแห่งยุทธภพใต้จันทราแห่งสารท… นี่มันเป็นการเคลื่อนไหวที่มีชีวิตชีวา และประโยคก่อนหน้าพายเรือไปในทะเลตำรา ยึดมั่นไม่เยาะเย้ยข้า กร่ำตำราทราบวิทยายุทธ์ที่รวมเข้าด้วยกัน และประโยคสุดท้ายก็คือจัวตงหลาย คนผู้นั้นเปรียบตัวเองถึงเงาของความโดดเดี่ยวที่ดื้อรั้นจะแล่นไปในทะเลตำรา ทั้งยังมีความโดดเดี่ยวกับการเป็นผู้มีฝีมือของยุทธภพที่ไร้อริ ดังนั้นความลึกซึ้งของบทกวีนี้จึงสูงส่งอย่างมาก”
ฟู่เสี่ยวกวนตกอยู่ในภวังค์ แม่น้ำที่หนาวเหน็บกับเงาที่โดดเดี่ยว อริแห่งยุทธภพประโยคนั้น เนิ่นนานแล้วที่มิได้นึกถึงมัน
แม่น้ำที่หนาวเหน็บกับเงาที่โดดเดี่ยว อริแห่งยุทธภพใต้จันทราแห่งสารท ช่างน่าเหลือเชื่อ… แต่คนผู้นี้ก็ประพันธ์ออกมาได้ไพเราะอย่างแท้จริง ถึงแม้เขาจะไม่สามารถแยกแยะข้อดีข้อเสียของบทกวีนี้ได้ แต่อย่างน้อยคนผู้นี้ก็เขียนเอง เมื่อเทียบกับตนเองที่คัดลอกมานั้น…เรื่องราวของผู้ใฝ่รู้จะบอกว่าคัดลอกมาได้อย่างไรกัน
ข้าก็เป็นแค่ผู้เคลื่อนย้ายวรรณกรรมของสองโลกเท่านั้น นี่เกียรติยศของข้า !
ดวงตาของชางกวนเหวินซิ่วเบิกกว้าง หรือว่าผู้มีพรสวรรค์แห่งราชวงศ์หยูของข้าก็ตกใจจนติดในภวังค์ของบทกวีนี้เช่นกันรึ ?
“เสี่ยวกวน…”
“โอ้… !”
“ข้าคิดว่าบทกวีนี้มิได้สวยงามมากนัก หากแต่เถรตรงไปเสียเล็กน้อย ร่องรอยตำหนิของการขัดเกลาก็หนักเกินไป ยังคงห่างชั้นที่จะเทียบกับทำนองเพลงสายน้ำของเจ้าได้”
ฟู่เสี่ยวกวนขัดเขินเล็กน้อย ใบหน้าแดงก่ำอย่างคาดไม่ถึง โชคดีที่แสงแดดเริ่มเคลื่อนที่ และตกกระทบบนใบหน้าของเขา ชางกวนเหวินซิ่วกับฉินปิ่งจงและคนอื่น ๆ จึงมิได้สังเกตเห็น
“มิมีกวีอันดับหนึ่งตั้งแต่ครั้งโบราณ เสี่ยวกวนเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มผู้มีความรู้ ยามเมื่อเจ้าไปยังราชวงศ์อู๋ย่อมเป็นสิงโตสู้กับกระต่าย ทุ่มกำลังของเจ้าทั้งหมดที่มีให้เต็มที่”
ทันใดนั้นชางกวนเหวินซิ่วก็รู้สึกสบายใจขึ้นมา เขามีความสามารถมากมายเพียงนี้ อีกทั้งยังเป็นชายหนุ่มที่ถ่อมตน ด้วยความคิดของตนแล้ว มิใช่ว่าจัวตงหลายก็มิสามารถเทียบกับเขาได้แล้ว
“หากจะกล่าวถึงนักวรรณกรรม เยาวชนของราชวงศ์อู๋ก็ขาดสตรีผู้นี้ไปมิได้เช่นกัน นางคือธิดาของเหวินตี้แห่งราชวงศ์อู๋ องค์หญิงเพียงหนึ่งเดียวของราชวงศ์อู๋ อู๋จ้าว”
ฟู่เสี่ยวกวนตกใจอีกครา อู๋จ้าวรึ ?
อู๋เจ๋อเทียนเยี่ยงนั้นรึ !
“ประเดี๋ยวก่อน ๆ ขุนนางระดับสูงช่างกวน จ้าวในชื่ออู๋จ้าวนั้นคือจ้าวตัวใดกัน ?”
“จ้าวที่แปลว่าส่องสว่าง”
“โอ้…ท่านเชิญต่อได้เลย ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนวางใจ เขายังกังวลใจในเรื่องพื้นที่เวลาทับซ้อนนี้อย่างแท้จริง
ชางกวนเหวินซิ่วกล่าวอีกว่า “อู๋จ้าวมีชื่อเล่นว่าหลิงเอ๋อร์ ยามที่อยู่สำนักศึกษาหลีชานนอกจากเหวินสิงโจวก็มิมีผู้ใดทราบถึงตัวตนของนาง ทุกคนต่างเรียกนางว่าอู๋หลิงเอ๋อร์ และเป็นหนึ่งในศิษย์ทั้งเจ็ดแห่งหลานซี ได้ยินมาว่าสตรีผู้นี้ไม่เพียงแต่เชี่ยวชาญฉิน หมากรุก ตำรา และการวาดภาพ วิทยายุทธ์ของนางก็ยังแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก นางเป็นอัญมณีของเหวินตี้ การชุมนุมของราชวงศ์อู๋ในปลายปีที่แล้ว นางเองก็ได้ประพันธ์หนึ่งบทกวี ‘ขานรับฟ้าเวิ้งว้าง คิดถึง’ บทกวีนี้ก็ได้รับคำชมจากเหวินสิงโจวเช่นกัน ข้าคาดว่า งานชุมนุมวรรณกรรมเทศกาลฤดูหนาวในปีนี้ ศิษย์ทั้งเจ็ดแห่งหลานซีย่อมต้องไปอย่างแน่นอน เจ้าคงไร้หนทางที่จะรับมือกับบัณฑิตที่มากมายของราชวงศ์อู๋ด้วยตัวคนเดียว ดังนั้นเรื่องการคัดเลือกบัณฑิต ข้าคงจะช่วยเจ้าคัดเลือกได้เพียงขั้นตอนแรกเท่านั้น แต่ผู้ที่ตัดสินใจเป็นคนสุดท้าย ยังคงต้องให้เจ้าเป็นผู้พิจารณาด้วยตนเอง”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า ชางกวนเหวินซิ่วช่วยเขาเลือกในขั้นตอนแรกได้ก็เพียงพอแล้ว นี่ก็คือน้ำใจที่ใหญ่มากแล้ว ลดภาระของเขาไปได้ไม่น้อย “เยี่ยงนั้น คงต้องรบกวนขุนนางระดับสูงช่างกวนแล้วขอรับ”
“แล้ว…ซีชานเทียนฉุนของเจ้า จะมอบให้ข้าสักขวดสองขวดได้หรือไม่ ? ”
ฉินปิ่งจงหัวเราะร่า และชี้ไปทางชางกวนเหวินซิ่ว “ในที่สุดหางจิ้งจอกของเจ้าก็โผล่ออกมา”
ฟู่เสี่ยวกวนเองก็กล่าวยิ้ม ๆ “เรื่องเล็กน้อยมากนัก เพียงแต่ในยามนี้ที่จวนของข้ามิมีเหลือแล้ว แต่ที่ซีซานคงจะส่งมาถึงในอีกไม่กี่วัน ข้าจะนำไปมอบให้ถึงในจวนของท่านด้วยตนเองขอรับ”
ท่ามกลางกลุ่มคนที่กำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แต่แล้วนางในผู้หนึ่งก็ได้เดินมาหาฟู่เสี่ยวกวน และกระซิบแผ่วเบาที่ข้างหูของเขา ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นยืนและคำนับให้กับทุกคน “ข้าขอตัวสักครู่ ประเดี๋ยวจะกลับมาพูดคุยด้วยใหม่”
เขาเดินออกมาจากพระตำหนักฉือหนิงกง เขาพบกับขันทีผู้หนึ่งที่อยู่ด้านนอกของตำหนัก ขันทีผู้นี้ได้ส่งหลอดขี้ผึ้งขนาดเล็กให้กับเขา หลังจากนั้นก็หันหลังกลับออกไป
ฟู่เสี่ยวกวนเปิดตลับเล็กออก และหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา
รายงานเดือนสิบสอง งานเทศกาลโคมไฟเตรียมพร้อมไว้สมบูรณ์แล้ว
สอง เฟ่ยอันแวะเวียนไปอารามซุ่ยเยว่ ได้ขนโลงศพของปู้เนี่ยนชือไท่ไปยังเขตหนานหลิง
สาม หยี่ฮวาถายราวกับหายไปในชั่วข้ามคืน แม้แต่หนานป้าเทียนก็หายไปอย่างไรร่องรอย
ฟู่เสี่ยวกวนคิ้วขมวด และใช้ตะบันไฟเผากระดาษแผ่นนั้นทิ้งไป
เขาเงยหน้ามองดวงอาทิตย์ ครุ่นคิดถึงโลงศพของปู้เนี่ยนชือไท่…หรือว่าจะมีความลับอันใดซ่อนอยู่กัน ?
แต่โลงศพนั้นเขาไม่เพียงแต่จะส่งคนของหอซี่หยู่ไปตรวจสอบ ทั้งยังให้ศิษย์พี่สามซูโหรวไปตรวจสอบด้วยตนเอง มิมีสิ่งแปลกปลอมอื่นใดอยู่ภายในนั้น นอกเสียจากกลิ่นไม้จันทน์รุนแรงที่โชยมาในยามเปิดโลงศพ
มันมีเหตุอันใดที่เฟ่ยอันต้องนำศพของปู้เนี่ยนชือไท่และโลงศพไปยังเขตหนานหลิง ?
เขาเป็นเพียงนายพลของกองทัพชายแดนใต้ และนี่คือแม่ชีแห่งอารามซุ่ยเยว่ที่มิมีชื่อเสียงอะไร…แต่เหตุอันใดจึงได้เกี่ยวข้องกัน ?
หรือต่อให้มีความเกี่ยวข้องกันจริง แต่ก็มิถึงกับต้องให้เขามาด้วยตนเองมิใช่รึ
ส่วนการหายตัวไปของหยี่ฮวาถาย ฟู่เสี่ยวกวนย่อมระมัดระวังอย่างถึงที่สุด แต่ก็ยังอยู่ในการคาดการณ์ของเขา
บนราชสำนักเยี่ยนเป่ยซีได้ทูลเสนอฝ่าบาทให้องค์ชายใหญ่หยูเวิ่นเต้าไปควบคุมกองทัพชายแดนตะวันออก แต่ก่อนที่องค์ชายใหญ่จะตัดสินพระทัยได้ หยี่ฮวาถายมิมีทางจะเคลื่อนไหวอีก
เยี่ยงนั้น…ก็รอให้ถึงเย็นพรุ่งนี้
งานเทศกาลโคมไฟจะจัดขึ้นในคืนวันพรุ่งนี้ ส่วนเรื่องที่เกี่ยวกับกองทัพชายแดนใต้สังหารพลเรือนและประกาศเนรเทศนั้นก็เอาไว้หลังจากที่ดอกไม้ได้เบ่งบานไปทั่วเมืองจินหลิง ค่อยมาดูกันอีกทีว่าเฟ่ยอันจะมีการเคลื่อนไหวอันใดอีก
เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาก็เดินเข้าไปในพระตำหนักฉือหนิงกง และได้ยินเสียงกู่ร้องดังขึ้นมา
ไทเฮาเดินลงมาโดยมีเหล่าสนมนางในประคองลงมา
“ข้า…ยามที่มองไปที่พวกเจ้า ในใจมีความสุขอย่างยิ่ง พวกเจ้าต่างเป็นเสาหลักของราชวงศ์หยู และยังมีคนเก่าคนแก่อีกมากมายที่อยู่กับราชวงศ์หยูมาถึงสามราชวงศ์…ราชครูอาวุโสเฟ่ย ร่างกายของเจ้ายังแข็งแรงดีสินะ ดีมาก เข้ามาอีกนิดสิ ให้ข้าได้มองเจ้าให้ชัดเจนขึ้น”
“นั่นคือ…หนิงไท่ฟู่รึ ? สายตาของข้ามิค่อยดีแล้ว หนิงไท่ฟู่ เจ้าเองก็เข้ามาใกล้ ๆ สิ ใช่ แล้วก็เยี่ยนเป่ยซี มามา พวกเจ้าเข้ามาทั้งหมด…มาอยู่ข้าง ๆ ข้า”
ผู้อาวุโสทั้งสามต่างเดินเข้าไปด้วยร่างกายที่สั่นสะท้าน ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ราวกับได้นึกย้อนกลับไปในตอนที่ยังเยาว์วัย ภาพในตอนนั้นและคำพูดต่าง ๆ ก็ได้ฉายชัดขึ้นมา หรือบางทีอาจจะนึกถึงช่วงเวลาที่ได้หารือเกี่ยวกับนโยบายประเทศกับฮ่องเต้องค์ก่อน ที่ได้แบ่งปันช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ด้วยกัน
แต่ในวันนี้ ถึงแม้พวกเขาจะยังเป็นบุคคลเรียกฟ้าเรียกฝนของราชวงศ์หยูที่ยิ่งใหญ่ แต่กาลเวลาก็ได้เร่งเร้าผู้คน เฉกเช่นเดียวกับดวงอาทิตย์ที่กำลังตกดินในยามนี้
หลังจากนั้นไทเฮาก็ได้ขานชื่อผู้อาวุโสอีกหลายคน จากนั้นก็ได้กล่าวอีกว่า “วันนี้อากาศดีอย่างยิ่ง ข้านั้น ได้เชิญคณะละครมาแสดง ให้พวกเขาแสดงละครเพลงให้พวกเจ้าได้รับชม…นั่นคือความฝันในหอแดงที่ฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้ประพันธ์ ข้าชื่นชอบอย่างมาก หวังว่าพวกเจ้าเองก็จะชอบเช่นกัน”
กล่าวจบนางก็โบกมือขึ้น ม่านสีแดงบนเวทีสูงจึงได้เปิดออก เสียงฆ้องกลองดังขึ้น และได้พบกับสตรีผู้หนึ่งอยู่บนเวที คาดมิถึงว่านางจะคือหลิ่วเยียนเอ๋อร์แห่งหงซิ่วจาว !
ฟู่เสี่ยวกวนนั่งลง สายตามองไปยังบนเวทีสูง จากนั้นเสียงฉินก็ได้ดังขึ้นอีกครา หลิ่วเยียนเอ๋อร์ร่ายรำอ่อนช้อย คาดมิถึงว่านางจะร้องบทกวีคิ้วแข็งโค้ง
บางทีนี่อาจจะกำลังเริ่มการแสดง
หลังจากนั้นสายตาของฟู่เสี่ยวกวนก็ผละจากเวทีสูง มองไปยังทางไทเฮา ก็ได้เห็นหยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานที่กำลังนั่งอยู่ด้านหลังอย่างพอดิบพอดี ทั้งสองกินผลไม้เชื่อมที่อยู่บนโต๊ะ และมองการแสดงอย่างตั้งใจ
ราวกับรับรู้ถึงสายตาของฟู่เสี่ยวกวนที่มองมา สตรีทั้งสองต่างมองมาทางเขา หลังจากนั้นก็แย้มยิ้มขึ้น ทันใดนั้นภายในใจของฟู่เสี่ยวกวนก็อบอุ่นขึ้นมา
การร้องเพลงของหลิ่วเยียนเอ๋อร์เป็นเพียงการเริ่มต้นการแสดง ถัดจากการร้องเพลงและร่ายรำของนาง ก็ได้มีคนปรากฏขึ้นมาบนเวที
ฟู่เสี่ยวกวนมองอยู่ชั่วครู่ เป็นการแสดงฉากแรกที่เจี๋ยหยวนชุนกลับไปยังจวนเจี๋ย และได้จัดงานเลี้ยงที่หรูหรา
นี่คือจุดเริ่มต้นหายนะของจวนเจี๋ย เพื่อต้อนรับการกลับมาของพระสนมเจี๋ยหยวนชุน จึงใช้จ่ายมือเติบเพื่อสร้างกิจการขึ้นมา จนสูญเสียเงินของจวนเจี๋ยไปเป็นจำนวนมาก
และนั่นก็ได้ไปแตะฟางเส้นสุดท้ายของจวนเจี๋ย ในตอนที่ทุกคนกำลังคิดว่าเจี๋ยหยวนชุนที่ได้แต่งตั้งให้เป็นพระสนมจะทำให้จวนเจี๋ยฟื้นขึ้นมาได้อีกครา แต่กลับมิมีผู้ใดคิดว่าจวนเจี๋ยในยามนี้ยากจนข้นแค้นยิ่งนัก จนถึงขนาดที่รายรับที่ได้มิเพียงพอต่อรายจ่ายด้วยซ้ำ
หลังจากการแสดงจบลง ทันใดนั้นไทเฮาก็ได้เอ่ยถามกับผู้อาวุโสข้างกายว่า “ข้าคิดมาเสมอว่า หากเจี๋ยหยวนชุนมิได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นสนม เกรงว่าจวนเจี๋ยจะยังประคับประคองไปได้อีกช่วงเวลาหนึ่ง…แต่ข้ากลับคิดว่า หากต้าหยูมีมอดน้อยลงอีกสักนิด จะกลับมาแข็งแกร่งขึ้นได้หรือไม่ พวกเจ้าต่างก็เป็นผู้อาวุโสที่สุขุมรอบคอบ จากคำพูดของข้า พวกเจ้าคิดเห็นว่าเยี่ยงไรกัน ? ”