ตอนที่ 224 ดาบแห่งสุริยันและจันทรา

นายน้อยเจ้าสำราญ

คำพูดของไทเฮาที่ดูมิได้มีเจตนาใดนั้น กลับทำให้บรรดาผู้อาวุโสต่างเหงื่อตก

ท่านราชครูเฟ่ยลุกขึ้นยืน จากนั้นถวายบังคมทูล “ไทเฮาพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคิดเห็นว่าราชวงศ์หยูแข็งแรงดุจดวงอาทิตย์ แสงอันแรงกล้านี้จะมีผลกระทบเนื่องจากหนอนเพียงไม่กี่ตัวได้เยี่ยงไร”

“เจ้ามิจำเป็นต้องกังวลเช่นนี้ เพียงแค่คอยดูฉากสำคัญก็พอ…ข้านั้นอายุมากแล้ว หูตาฝ้าฟาง มองมิออกถึงบทละครเหล่านี้ เมื่อตอนที่ฮ่องเต้องค์ก่อนสิ้นพระชนม์ ข้าจำได้ว่าเจ้าเป็นผู้นำวิญญาณ ช่วงนี้ข้ามักฝันถึงพระองค์บ่อย ๆ พระองค์…ยังคงวุ่นวายในแต่ละวัน เพียงแต่มักตรัสว่าที่ภูเขาจื่อจินนี้ดี แต่ทว่าช่างเงียบเหงาสักหน่อย ข้าคิด ๆ ดูแล้วคงถึงคราที่ข้าจะไปอยู่เป็นเพื่อนพระองค์แล้ว”

หนิงไท่ฟู่รีบลุกขึ้น ถวายบังคมแล้วเอ่ยว่า “ไทเฮาทรงมีอายุมั่นขวัญยืนหมื่น ๆ ปี คาดว่าที่ฮ่องเต้องค์ก่อนกล่าวมานั้น เพราะต้องการให้ไทเฮาช่วยดูแลใต้หล้าฟ้าดินต่อไป”

ไทเฮาหัวเราะและกล่าวว่า “เจ้าอย่าได้ปลอบใจข้าเลย ภายในใจข้าใสราวกับกระจก ข้าเข้าใจดี หากเอ่ยว่ามีสิ่งใดยังเป็นกังวล…นั่นก็คงจะเป็นจิตใจของฝ่าบาทอ่อนโยนเกินไป มิเหมือนฮ่องเต้องค์ก่อน การปกครองในตอนนี้ข้ามิเข้าใจ เพียงแต่ต้องการตักเตือนว่า ในฐานะประชากร ควรจะวางตัวให้ดี ! ”

บรรดาผู้อาวุโสต่างพากันหวาดกลัวแล้วตัวสั่น พวกเขาได้ยินไทเฮาเอ่ยต่อว่า “หนังสือเยาวชนราชวงศ์หยูกล่าว ที่ฟู่เสี่ยวกวนเขียนนั้นดีเยี่ยม หากพวกเจ้ายังมิเคยอ่าน ข้าแนะนำให้เจ้าไปอ่านเสีย ข้าชอบประโยคที่กล่าวว่า เยาวชนราชวงศ์หยูงดงามดุจท้องฟ้าที่มิมีวันล่มสลาย ! เยาวชนราชวงศ์หยูกว้างใหญ่ ดุจผืนแผ่นดินอันแผ่กว้างไปไร้ซึ่งขอบเขต ! ข้านั้นแก่แล้วอีกทั้งได้แต่พำนักอยู่ในพระตำหนักฉือกง พวกเจ้าเองก็ชราลงเช่นกัน บางคนอาจจะยังคงอยู่รับใช้ราชวงศ์ แต่บางคนก็กลับบ้านเกิดไปแล้ว…”

ไทเฮาทรงสูดหายใจเข้าลึก ๆ สีพระพักตร์เปลี่ยนไป “ทุกคนล้วนต้องการให้ลูกหลานมีชีวิตที่รุ่งเรือง ข้าเองก็เช่นกัน เฉกเดียวกับบุตรชายองค์ที่สามของฮุ่ยชินอ๋อง หลานชายของข้า เขากระทำผิดต่อกฎหมายบ้านเมืองก็สมควรได้รับโทษ นี่คือสิ่งที่ทุกคนพึงปฏิบัติ พวกเจ้าเองก็มีลูกหลานมากมาย จงกำชับพวกเขาไว้ให้ดี อย่าให้พวกเขาออกนอกลู่นอกทาง หากในอนาคตผู้ใดกระทำผิดกฎหมายบ้านเมือง…จงดูข้าเป็นตัวอย่าง พวกเจ้าจงเคารพในกฎหมายบ้านเมือง”

ไทเฮาทรงลุกขึ้นยืน ท่าทางพระนางคล้ายกับเหนื่อยล้าเหลือเกิน นางเดินตรงไปยังพระตำหนักแล้วหันมาเอ่ยทิ้งท้ายว่า “หากพวกเจ้าผู้ใดละเลยกฎหมายบ้านเมือง อย่าหาว่าข้ามิตักเตือน ! ”

ทุกคนมองตามหลังไทเฮาไป บัดนี้เป็นเวลาโพล้เพล้ อาทิตย์กำลังจะตกดิน แสงสีส้มอ่อนนั้นมองไปแล้วช่างดูหดหู่

“เวิ่นหวินพาข้ากลับตำหนักหน่อย พระสนมซั่ง…เจ้าและฝ่าบาทช่วยข้าดูแลผู้มาร่วมงานด้วยเถอะ”

……

งานเลี้ยงที่เดิมทีควรจะสนุกสนานครื้นเครง แต่บัดนี้บรรยากาศกลับเงียบเหงาและจบลง หลังจากไทเฮาทรงเสด็จกลับไปพักผ่อน ก็มิได้เสด็จออกมาจากพระตำหนักอีกเลย

ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย จากคำพูดของไทเฮาเมื่อครู่ดูคล้ายไร้เรี่ยวแรง เกรงว่า…จะเหลือเวลาน้อยเต็มที

งานเลี้ยงจบลงอย่างรวดเร็ว ฟู่เสี่ยวกวนรอต่งชูหลานเพื่อจะเดินทางกลับจากพระตำหนักฉือกงด้วยกัน ส่วนเวิ่นหวินหลังจากเข้าไปพร้อมกับไทเฮาแล้วก็มิได้ออกมาอีก

ดวงจันทร์ลอยขึ้นสู่ยอดฟ้า อากาศเริ่มหนาวเย็น หนาวเหน็บเข้าไปถึงในกระดูก

“คาดว่าไทเฮาทรงเหนื่อยล้ามากแล้ว ได้ยินมาว่าเมื่อตอนที่ฮ่องเต้องค์ก่อนยังมีชีวิตอยู่ ไทเฮาทรงเป็นผู้ช่วยที่ดีของเขา คล้ายกับพระสนมซั่ง ฝ่าบาททรงครองราชย์มาได้ 9 ปี พระนางมิเคยเอ่ยถามถึงเรื่องการปกครอง แต่ในใจนั้นกระจ่างแจ้งยิ่ง พระนางตั้งใจให้คณะงิ้วร้องท่อนนั้นออกมา และตั้งใจเอ่ยกับขุนนางทั้งหลายก่อนเสด็จกลับไป เนื่องจากทรงเข้าใจดีว่าราชวงศ์หยูในปัจจุบันนั้นมิมั่นคง พระนางตั้งใจจะโจมตีจิตใจพวกเขาสักหน่อย…”

ต่งชูหลานเงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์ จากนั้นถอนหายใจออกมาว่า “เพียงแต่น่าเสียดายยิ่ง”

“น่าเสียดายสิ่งใด ? ” ฟู่เสี่ยวกวนเดินจับมือต่งชูหลานออกมา มือของนางค่อนข้างเย็น

“เสียดายที่เวลาของไทเฮาทรงมีไม่มากแล้ว ดังนั้น…จึงไม่มีผลต่อพวกเขาเท่าไหร่”

ฟู่เสี่ยวกวนก้มหน้ามองดิน แล้วกล่าวออกมาว่า “เจ้าว่า เหตุใดเพียง 8 ปีจึงได้แย่ลงถึงเพียงนี้ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนต้องการถามต่งชูหลานว่า แปดปีที่ผ่านมาฮ่องเต้ทรงทำอะไรบ้าง ?

ต่งชูหลานจ้องเขาตาเขม็ง “เจ้าอย่าได้ปากพล่อยไป ที่นี่คือพระราชวัง”

อืม ฟู่เสี่ยวกวนทำได้เพียงเงยหน้ามองท้องฟ้า แสงจากดวงจันทร์ตกกระทบมายังยอดไม้เกิดเป็นเงาทอดยาว พระราชวังใหญ่โตเพียงนี้เหตุใดช่างเงียบเหงา

ฟู่เสี่ยวกวนมิชอบบรรยากาศเช่นนี้มากนัก เขาชื่นชอบบรรยากาศครึกครื้นเสียมากกว่า

ทั้งสองคนเดินทางมาถึงประตูวังหลวง ที่นี่ค่อนข้างคึกคักเนื่องจากผู้คนที่เดินทางมาร่วมงานได้เอ่ยลากัน ณ จุดนี้แล้วขึ้นรถม้ากลับไป

ขณะที่ทั้งสองกำลังจะก้าวขึ้นรถม้า ก็มีชายหนุ่มผู้หนึ่งก้าวเข้ามา

“ข้าน้อย ชางกวนเหมี่ยว เป็นคนในตระกูลชางกวนเหวินซิ่ว คารวะคุณชายฟู่ ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนตกใจเล็กน้อย เขามิเคยพบกับชางกวนเหมี่ยวมาก่อน ชายหนุ่มผู้นี้มีรูปร่างกำยำ คิ้วเข้ม ตาแหลมคม มองไปมิคล้ายกับผู้ร่ำเรียนตำรา แต่เหมือนชาวยุทธเสียมากกว่า

“สวัสดีท่านชางกวน”

เมื่อเอ่ยจบก็มองไปยังต่งชูหลาน ชูหลานรู้จักเขา นางจึงยิ้มทักทาย

“เนื่องจากข้าน้อยได้ยินชื่อเสียงของท่านมาช้านาน คนในครอบครัวข้าก็มักเอ่ยถึงท่านเสมอ ในคืนนี้พระจันทร์เต็มดวงอีกทั้งยังมิดึกมากนัก ข้าน้อยอยากจะเชิญชวนท่านและแม่นางชูหลานไปร่วมกินดื่มที่หงซิ่วจาว ท่านว่าเป็นเยี่ยงไร ? ”

“มีเรื่องอันใดงั้นหรือ ? ”

“ข้าน้อยอยากจะแนะนำชายหนุ่มรูปร่างกำยำให้ท่านได้รู้จัก ขอบอกท่านตามตรงว่า พวกข้านั้นจะเข้าร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมราชวงศ์อู๋ ดังนั้นจึงคิดว่าควรทำความรู้จักท่านไว้เสียก่อน”

เขาช่างตรงไปตรงมานัก ฟู่เสี่ยวกวนเผยยิ้มขึ้นมา “มีใครบ้างงั้นรึ ? ”

“ทุกคนล้วนเป็นบัณฑิต สมาชิกของสมาคมกวีหลานถิงพวกเราล้วนเป็นผู้คลั่งไคล้ท่าน”

ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดแล้วเอ่ยว่า “อืม ข้าจะตามไปที่หงซิ่วจาว”

ชางกวนเหมี่ยวสีหน้ายินดียิ่ง ฟู่เสี่ยวกวนและต่งชูหลานเดินขึ้นรถม้าไป กระทั่งถึงแม่น้ำฉินหวาย

ซูซูนั่งอยู่ในรถม้านี้ด้วย ข้างกายนางมีกล่องฉินวางอยู่ นางเอ่ยด้วยท่าทางมิพอใจว่า “หึ ! เป็นพวกเจ้าช่างดีเสียจริง ข้ายังมิได้กินข้าวด้วยซ้ำ ! ”

“ที่หงซิ่วจาวมีอาหารมากมาย ประเดี๋ยวเจ้าสั่งได้ตามต้องการ”

ดวงตาของซูซูเป็นประกายทันที “จริงรึ ? ”

“จริงสิ ! ”

“ข้าได้ยินมาว่าร้านอู่เว่ยจายเปิดขายแล้ว”

“อืม ๆ ๆ วันพรุ่งนี้ข้าจะซื้อให้เจ้าตามที่เจ้าต้องการเลยเป็นเยี่ยงไร”

เด็กสาวอายุ 14 ปีคนนั้นมิได้เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก ในใจของนางนอกเหนือจากการกินแล้ว คงมิมีสิ่งใดให้ครุ่นคิด

ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้หันมาถามต่งชูหลานว่า “สมาคมกวีหลานถิงคืออะไรเยี่ยงนั้นรึ ? ”

“สมาคมกวีหลานถิงนั้นก่อตั้งมาช้านานแล้ว เป็นสมาคมที่ใหญ่ที่สุดของสำนักศึกษาจี้เซี่ย บัดนี้หัวหน้าสมาคมคือฉินเหวินเจ๋อ บุตรคนที่สี่ของฉินฮุ่ยจือ”

คงคล้ายกับชมรมในตอนเรียนมหาวิทยาลัยในชาติก่อนหน้านี้ ฟู่เสี่ยวกวนจึงเอ่ยถามต่อไปว่า “ชางกวนเหมี่ยว…เขาเป็นคนเยี่ยงไรกัน ?”

“เขามีชื่อเสียงพอควรในสำนักศึกษาจี้เซี่ย อายุประมาณสิบเจ็ดหรือสิบแปดปี กวีของเขามิมีชื่อเสียง แต่เขาเขียนนโยบายได้ดี อีกทั้งมีความสามารถด้านกวีและวรยุทธ บัดนี้เขาได้เปลี่ยนไปศึกษาด้านการต่อสู้แล้ว สถานศึกษามิได้สอนเฉพาะวรรณกรรม แต่สอนการต่อสู้ด้วย”

ฟู่เสี่ยวกวนยังไม่เคยเดินทางไปยังสำนักศึกษาจี้เซี่ยมาก่อน เดิมทีเขาคิดว่าราชวงศ์หยูให้ความสำคัญด้านวรรณกรรมเสียอีก สำนักศึกษาต่าง ๆ คงสอนเฉพาะวรรณกรรมเท่านั้น คาดมิถึงว่าจะสอนการต่อสู้ด้วย

“แต่ก็เป็นเพียงการต่อสู้ในเบื้องต้นเท่านั้น ได้ยินมาว่าแต่ก่อนการต่อสู้ของสำนักศึกษาจี้เซี่ยนั้นรุ่งเรืองยิ่ง วรรณกรรมและการต่อสู้อัตราห้าสิบห้าสิบ เพียงแต่ต่อมาผู้ศึกษาการต่อสู้น้อยลงเรื่อย ๆ บัดนี้เหลือผู้ที่ศึกษาการต่อสู้เพียงหนึ่งส่วนเท่านั้น”

นี่คือผลของการที่ราชวงศ์หยูให้ความสำคัญกับวรรณกรรมมากเกินไป แต่ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ประหลาดใจแต่อย่างใด บัดนี้เขาคิดถึงเพียงแต่ฉินเหวินเจ๋อ

ชื่อนี้คล้ายกับเคยได้ยินมาก่อน ในเมื่อเขาคือบุตรคนที่สี่ของฉินฮุ่ยจือ ก็ต้องเป็นลูกหลานตระกูลฉินผู้ยิ่งใหญ่แห่งเมืองหลวงเป็นแน่ อยากจะรู้เสียจริงว่าเขาจะเป็นคนอย่างไร ?

ฟู่เสี่ยวกวนมิเคยเดินทางไปพบกับฉินหยูเหิง สำหรับตระกูลฉินนั้น ฟู่เสี่ยวกวนคุ้นเคยกับฉินปิ่งจงและฉินโม่เหวิน อีกทั้งฉินเฉิงเย่ที่ซีซานเท่านั้น อ้อแล้วยังมีฉินรั่วเสวียที่เมืองหลวงอีกผู้หนึ่ง

……

ในขณะที่ฟู่เสี่ยวกวนกำลังเดินทางไปที่แม่น้ำฉินหวาย ณ หลังจวนจวิ้นเสียนหวินแห่งหนานหลิ่ง ท่านนายพลแห่งกองทัพใต้ได้ยืนถือดาบยาวอยู่ตรงหน้าใครบางคน

เป็นสตรีนางหนึ่ง จากแสงของดวงจันทร์ ทำให้มองเห็นหน้านางได้อย่างสลัว ๆ ว่านางคือปู้เนี่ยนซือไท่แห่งอารามซุ่ยเยว่ ที่เดิมทีควรตายไปแล้ว

“ท่านอาจารย์ช่างเก่งกาจนัก”

บัดนี้ปู้เนี่ยนซือไท่หาได้เป็นอย่างที่ฟู่เสี่ยวกวนเคยเห็นไม่ !

นางเงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์ ใบหน้าไร้ซึ่งความหวาดกลัวใด ๆ ท่าทีของนางนิ่งสงบ ดวงตาที่เคยมืดมนนั้นเปลี่ยนเป็นประกาย

“ท่านนายพลเฟ่ยรู้ได้เยี่ยงไรว่าข้ายังมิตาย ? ”

“หยางเจี้ยนจื่อในสมัยราชวงศ์ก่อนได้คิดวิชากัศยปแสร้งตายขึ้นมา โดยใช้ผงกระดองเต่าพันปีผสมกับไม้จันทน์ ทำให้ชีพจรหยุดลงชั่วคราวแต่มิตาย ท่าน…เหตุใดจึงมีวิชานี้ ?”

ปู้เนี่ยนชือไท่หันหน้ามาทางนายพลเฟ่ยแล้วยิ้มขึ้น เมื่อนางอ้าปากก็พบเพียงเหงือกหาได้มีฟันแม้แต่ซี่เดียว ทำให้เฟ่ยอันรู้สึกประหม่าเล็กน้อย

ให้ตายสิ ! น่ากลัวยิ่ง !

“เดาสิ ! ” นางเอ่ยออกมาเพียงสองคำ

“จากหนังสือบันทึกแห่งเมืองหลวงที่เคยบันทึกไว้ หยางเจี้ยนจื่อเมื่อครั้งยามที่มีชีวิตอยู่เคยรับศิษย์เพียงคนเดียวนั่นคือองค์หญิงจิ้งอัน เมื่อราชวงศ์หยูยึดครองราชวังได้ ก็ประหารทุกคนทิ้งเสียเว้นแต่องค์หญิงจิ้งอัน หยางเจี้ยนจื่อได้ขี่ม้าเข้าโจมตีจินหลิงเพียงลำพัง เพื่อแก้แค้นแก่ราชวงศ์เก่า ปรากฏว่าพ่ายแพ้ถูกฆ่าตาย ส่วนองค์หญิงจิ้งอันก็มิมีใครเคยพบเห็นนางอีกเลย”

เขาชี้มาทางนางแล้วเอ่ยว่า “ดังนั้น เจ้าคือทายาทขององค์หญิงจิ้งอัน ! เป็นเชื้อสายของราชวงศ์ก่อน ! ”

ปู้เนี่ยนซือไท่หัวเราะออกมา ทำให้ปากอันไร้ฟันอ้าจนมองเห็นด้านในได้อย่างชัดเจน

“เจ้าช่างฉลาดนัก เพียงแต่เจ้ามิควรอยากรู้เช่นนี้ หากตัดสินใจแทงไปที่โลงศพนั้นแต่แรก ข้าคงมิอาจมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว”

“บัดนี้ ข้าสามารถฆ่าเจ้าได้ง่ายดายเช่นกัน ! ”

“ไม่หรอก บัดนี้ความแค้นในใจเจ้าลดลงไปมากแล้ว เจ้ามิใช่คู่ต่อสู้ของข้าอีกต่อไป แต่ว่า…เหตุใดเจ้าจึงไม่ประหลาดใจเกี่ยวกับหยี่ฮวาถายของข้ากัน ? ”

“เรื่องพรรคนั้น ไม่เกี่ยวกับข้าแต่ประการใด จงรับดาบไปซะ ! ”

ดาบยาวเล่มนั้นถูกยกขึ้น แม้จะมีร่องรอยของสนิม แต่ก็เต็มไปด้วยความแค้น !

ปู้เนี่ยนชือไท่กระโดดขึ้นสู่อากาศ นางเพียงแค่แตะเท้าเบา ๆ แต่กลับลอยออกไปในระยะที่ไกลจากเฟ่ยอันมากแล้ว

“ท่านนายพลเฟ่ย บุญคุณที่ช่วยชีวิตข้านั้น ข้าจะกลับมาทดแทนให้วันหลัง ! ”

เมื่อกล่าวจบนางก็จากไป ดวงจันทร์ยังคงส่องสว่าง เฟ่ยอันยืนอยู่ที่เดิม สีหน้าของเขาแฝงไปด้วยความกังวลใจ