EP.362 ทหารส่งเสบียง

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา

EP.362 ทหารส่งเสบียง

วันที่เก้าในป่าล่ามังกร หลินมู่อวี่อยู่ระหว่างเดินทางกลับ ทว่ายังไม่พบสัตว์วิญญาณที่เหมาะสมในการพัฒนาโซ่เทวะชั้นที่แปด สัตว์วิญญาณอายุต่ำกว่าแปดพันปีนั้นอ่อนแอเกินไปและไม่คุ้มค่า กระนั้นสัตว์วิญญาณที่แข็งแกร่งหาได้ยากยิ่ง จึงจำเป็นต้องมองหาอย่างรอบคอบ

‘พรึ่บ…’

เสียงกระพือปีกดังขึ้นในอากาศ นกพิราบส่งสารร่อนลงบนไหล่ของหลินมู่อวี่ เขาหยิบกระดาษออกมาซึ่งมาจากตำหนักเจ๋อเทียนและถูกเขียนขึ้นโดยฉินอิน

‘อาอวี่ เซินเว่ยโหวหมินยวี่หลินจะกลับมายังเมืองหลันเยี่ยนอีกสามวัน เจ้าควรกลับมาก่อนเวลา เสี่ยวอินคิดถึงเจ้า…’

หลินมู่อวี่มองดูลายมือที่งดงามและอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอบอุ่นหัวใจพร้อมเผยยิ้ม ดูเหมือนว่ามังกรน้อยจะเข้าใจความคิดเจ้านาย มันเอาหัวถูขาเขาก่อนจะกลิ้งลงกับพื้นและแสดงออกว่า ‘ข้าก็คิดถึงฉินอินเช่นกัน’ หลินมู่อวี่จ้องมองและพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้ารู้ รีบกินรีบหาสัตว์วิญญาณที่เหมาะสม มิเช่นนั้นเราอาจกลับไปไม่ทันพบหมินยวี่หลิน”

มังกรน้อยพยักหน้ารับขณะที่มองเจ้านายพร้อมแลบลิ้นออกมาราวกับสุนัขไซบีเรียนฮัสกี

หลินมู่อวี่ขี่ม้าอย่างเชื่องช้าพร้อมแผ่ทักษะชีพจรวิญญาณสำรวจรอบบริเวณ กระทั่งใกล้พลบค่ำ…เขามาถึงทุ่งรกร้างโดยไม่รู้ตัว ที่นั่นไม่มีต้นหญ้า ไม่มีแม้แต่สัตว์วิญญาณระดับต่ำ ดูเหมือนว่าพวกมันจะถูกกินไปหมดแล้ว อีกทั้งบนเนินเขามีร่องรอยของเปลวไฟเผาไหม้

มันต้องเป็นสัตว์วิญญาณอายุมากอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นคงไม่สร้างความเสียหายเช่นนี้

เขาผูกม้าศึกไว้ ก่อนจะชักกระบี่วิญญาณมังกรเดินนำมังกรผลึกโลหิต ไม่นานก็พบถ้ำขนาดใหญ่พร้อมเปลวไฟลุกโชน สัตว์วิญญาณตนนั้นคงอาศัยอยู่ที่นี่

หลินมู่อวี่เพิ่มพลังปราณอย่างรวดเร็ว แสงน้ำเต้าทองปรากฏพร้อมโซ่เทวะที่พวยพุ่งโอบล้อมร่างกาย ทำให้หลินมู่อวี่ดูเหมือนเทพแห่งสงคราม

ขณะเดียวกันมังกรผลึกโลหิตวิ่งไปด้านหน้าพร้อมกระดิกหางและส่งเสียงราวกับต้องการพูดบางสิ่ง ไม่กี่วินาทีต่อมา หลินมู่อวี่ก็เข้าใจว่ามังกรน้อยกำลังขอออกไปต่อสู้กับเจ้าของถ้ำแห่งนี้…

“เจ้าทำได้หรือไม่?” หลินมู่อวี่ถามด้วยรอยยิ้ม

มังกรน้อยส่งเสียงร้องพร้อมแยกเขี้ยวและกางกรงเล็บให้ดูดุร้าย

“ตกลง แต่ว่าห้ามฝืน เพียงกลับมาถ้าไม่ไหว”

หลินมู่อวี่เก็บกระบี่เข้าฝักและเอนกายกับก้อนหินด้านข้างเพื่อรอรับชม

‘โฮก!’

ในที่สุดเจ้าของถ้ำก็ออกมา มันเป็นสัตว์ร้ายที่มีเปลวไฟลุกโชนพร้อมหนามแหลมปกคลุมร่างกาย ซึ่งดูคล้ายกับเม่นถูกไฟเผา

“หนามเพลิงอายุหนึ่งหมื่นปี” หลินมู่อวี่กล่าวเสียงเบา

มังกรผลึกโลหิตคำรามก้องและพุ่งไปด้านหน้า มังกรศักดิ์สิทธิ์อายุห้าพันปีท้าทายกับหนามเพลิงอายุหนึ่งหมื่นปี ช่างน่าเชยชมยิ่งนัก…

วิธีการโจมตีของหนามเพลิงค่อนข้างมีลักษณะเฉพาะ มันก้มหัวลงต่ำก้อนจะพุ่งโจมตีด้วยหนามแหลมที่หน้าผาก ‘เปรี้ยง!’ หนามแหลมกระทบเกล็ดผลึกโลหิตรุนแรงจนเกล็ดแตกเป็นชิ้น มังกรน้อยพลันยกกรงเล็บตะปบพร้อมอ้าปากกว้างกัดหัวคู่ต่อสู้…

‘กร้วม!’

มังกรผลึกโลหิตกรีดร้องอย่างเจ็บปวดทันทีที่กัด ปากของมันเต็มไปด้วยหนามแหลมของสัตว์ร้าย ขณะที่มีเลือดไหลกบปาก

‘โฮก…’

หนามเพลิงพุ่งกัดขาหลังมังกรน้อยพร้อมสะบัดหัวไปมาหวังฉีกให้ขาด พร้อมกันนั้นเปลวเพลิงลุกโชนกลืนกินตนเองและมังกรผลึกโลหิต!

ทว่าหลินมู่อวี่ไม่ได้กังวลมากนัก เนื่องจากมังกรสายเลือดบริสุทธิ์ไม่เกรงกลัวต่อไฟ และไฟของหนามเพลิงไม่สามารถทำร้ายมันได้

มันเป็นไปตามที่หลินมู่อวี่คาดการณ์ สัตว์อสูรกรีดร้องและวิ่งหนีออกจากเปลวไฟ ขณะเดียวกันเขาเห็นมังกรน้อยกัดหางตนเองพร้อมเกล็ดบนหลังตั้งขึ้นราวกับใบมีด

กงล้อสะบั้นพุ่งปะทะหนามเพลิงที่กำลังวิ่งหนี เกล็ดแหลมแทงทะลุร่างสัตว์อสูรจนเกิดแผลเหวอะน่าหวาดหวั่น

‘โฮก…’

แม้หนามเพลิงเป็นสัตว์วิญญาณอายุหนึ่งหมื่นปี มันยอมทิ้งศักดิ์ศรีด้วยการหนี ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นก็เจอกับกงล้อสะบั้นที่พุ่งมารอบสอง ซึ่งกระแทกลงอย่างรุนแรงจนสัตว์ร้ายกระอักเลือด

หลังจากโจมตีด้วยกงล้อสะบั้นแปดครั้งติดต่อกัน อสูรหนามเพลิงก็กลายเป็นเพียงกองเนื้อ…

หลินมู่อวี่มองอย่างตกตะลึง มังกรน้อยดุร้ายเกินไป…

หลินมู่อวี่ก้าวออกไปขุดศิลาวิญญาณออกมา ก่อนจะโยนลงถุงมิติ ขณะเดียวกันมังกรน้อยคลานเข้ามาด้านข้างและอ้าปากกว้าง มันมองเจ้านายพร้อมส่งสายตาขอความช่วยเหลือ หางยาวด้านหลังกวัดแกว่งไปมาเล็กน้อย

“อย่าก้าวร้าว เจ้าต้องทำตัวดีๆ”

หลินมู่อวี่นั่งลงและช่วยมันดึงหนามแหลมออกจากปากทีละอัน ขณะที่มังกรน้อยวางหัวบนตักเจ้านายพร้อมแสดงสีหน้าอ่อนโยน

ไม่กี่นาทีต่อมา หนามทั้งหมดก็ถูกดึงออก จากนั้นหลินมู่อวี่เริ่มดูดซับพลังหนามเพลิง สัตว์วิญญาณอายุหนึ่งหมื่นปีเพียงพอที่จะเสริมพลังให้โซ่เทวะทะลวงชั้นที่แปด

‘วิ้ง…’

ขณะที่โซ่เทวะออกมา ภายในแสงสีทองยังมีริ้วพลังดวงดาวอยู่ หลินมู่อวี่อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจ โซ่เทวะกำลังกลายพันธุ์หรือ? มันค่อนข้างแปลกประหลาดที่รวมส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ดวงดาราไว้ในร่างกาย

อย่างไรก็ตาม…ดูเหมือนว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อความแข็งแกร่งของวิญญาณยุทธ์ กระนั้นก็เป็นคุณสมบัติพิเศษ ในที่สุดโซ่เทวะของหลินมู่อวี่ก็แตกต่างจากโซ่เทวะของฉินอิน

หลังจากการดูดซับเสร็จสิ้น ความสามารถที่ได้รับจากหนามเพลิงยังคงเป็นการเสริมความแข็งแกร่ง ทว่าครานี้เพิ่มขึ้นเพียงสามสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น แน่นอนว่าข้อมูลนี้มาจากลู่ลู่ที่สรุปออกมาจากข้อมูลทั้งหมด

หลินมู่อวี่พึ่งพาข้อมูลของลู่ลู่อย่างมาก ทว่าไม่ทั้งหมด เขารู้ว่านี่คือโลกความจริง และข้อมูลไม่ได้บอกทุกสิ่งอย่างเสมอไป ในหลายครั้งความคิดเพียงชั่วครู่สามารถกำหนดชะตาชีวิตได้

หลินมู่อวี่เดินผ่านป่าข้ามคืนเพื่อกลับเมืองหลันเยี่ยนให้เร็วที่สุด เขาอยู่ในป่าล่ามังกรนานเกินไปแล้ว จนไม่รู้ว่าสถานการณ์ในเมืองหลันเยี่ยนขณะนี้เป็นเช่นไร

หลินมู่อวี่มาถึงยังเมืองหลันเยี่ยนอีกสามวันต่อมา ทว่าพลังยุทธ์กลับดูเหมือนเดิม อีกทั้งยังดูเกียจคร้าน แน่นอนว่านี่เป็นผลจากการซ่อนปราณและวิญญาณยุทธ์

เมื่อมาถึงตำหนักเจ๋อเทียนเป็นเวลาบ่ายโมงแล้ว ภายในโถงใหญ่ฉินอิน เฟิงจี้สิง ถังหลาน ซูมู่หยุน และเหล่าทหารยศสูงคนอื่นๆ อยู่ภายในพิธิการเรียบร้อย กลางโถงหลักมีโต๊ะทรายซึ่งมีภาพจักรวรรดิวางซ้อนอยู่

“ท่านผู้ดูแลหลินมู่อวี่กลับมาแล้ว…” ข้าราชบริพารตะโกนดัง

ฉินอินรีบหันกลับมาทักทายด้วยรอยยิ้ม “พี่อาอวี่ในที่สุดก็กลับมา…การฝึกยุทธ์เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?”

“ราบรื่นมาก”

หลินมู่อวี่พยักหน้าและยิ้มรับ

“มาเถิด ข้าจะแนะนำท่านผู้หนึ่งให้รู้จัก” ฉินอินจับมือหลินมู่อวี่เดินเข้าไปกลางฝูงชน ก่อนจะกล่าวกับชายในชุดเกราะแม่ทัพ “นี่คือเซินเว่ยโหวหมินยวี่หลิน ส่วนนี่คือหลินมู่อวี่ หนึ่งในสี่วีรบุรุษแห่งเมืองหลันเยี่ยน”

หมินยวี่หลินเป็นชายอายุราวห้าสิบปี ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยพลังและความแข็งแกร่ง ซึ่งบ่งบอกได้ว่าเขาเป็นแม่ทัพที่หาได้ยาก ซึ่งแตกต่างจากเด็กครอบครัวชั้นสูงที่ได้รับการปรนนิบัติ…

หลินมู่อวี่ประสานหมัด “คารวะท่านเซินเว่ยโหว…”

หมินยวี่หลินประสานหมัดรับด้วยความเคารพ “สวัสดีท่านผู้นำวิหารศักดิ์สิทธิ์…”

“เอาล่ะ ทักทายกันแล้ว ก็มาหารือกันต่อเถิด” ซูมู่หยุนก้าวไปด้านหน้าตบไหล่หลินมู่อวี่แผ่วเบา “อาอวี่ กำลังคนและม้าของเซินเว่ยโหวมาถึงเมืองหลันเยี่ยน ในอีกสามวันกองทัพหนึ่งแสนนายจะเคลื่อนทัพไปยังมณฑลหลิงตง ลำพังเพียงท่านเซินเว่ยโหวคงมิสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ดังนั้นหลานกงและข้าจึงตัดสินใจเป็นเอกฉันท์ให้เจ้าดึงกำลังคนจากวิหารศักดิ์สิทธิ์มาร่วมด้วย”

“ดึงกำลังคนจากวิหาร?” หลินมู่อวี่ตกตะลึง

ซูมู่หยุนยิ้มเล็กน้อยและกล่าวอย่างมีเลศนัย “ใช่ มีทหารฝึกฝนอยู่เสมอในค่ายด้านหลังวิหารมิใช่หรือ? ในเมื่อคนในวิหารตั้งใจจะรับใช้จักรวรรดิ พวกเราจึงมอบโอกาสนี้ให้”

“ทว่าคนเหล่านี้ไม่เคยร่วมในสนามรบจริง พวกเขาเป็นเพียงทหารเกณฑ์…นี่ไม่เท่ากับการส่งพวกเขาไปตายรึ?” หลินมู่อวี่กล่าว

“เช่นนั้น…” ซูมู่หยุนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อาอวี่จึงมีหน้าที่คอยคุ้มกันเมล็ดพืช หญ้า และกองทัพทั้งหมด ซึ่งจะออกเดินทางติดตามกองทัพทันที ความรับผิดชอบแรกที่เจ้าจะได้รับคือ…ทหารส่งเสบียง”

เฟิงจี้สิงด้านข้างกล่าวด้วยความประหลาดใจ “หยุนกง…ทว่าเรามิเคยพูดถึงการแต่งตั้งอาอวี่ให้เป็นทหารส่งเสบียงมาก่อน?”

“ค่อยเป็นค่อยไป”

ซูมู่หยุนลูบเคราและกล่าวต่อ “การปันส่วนทหารเป็นรากฐานของสามเหล่าทัพ เมื่อใดที่ประสบปัญหา อาจส่งผลกระทบต่อขวัญกำลังใจทหารทั้งสามกองได้ ดังนั้นตำแหน่งทหารส่งเสบียงจึงสำคัญ เนื่องจากเราต้องการนายพลที่มีความซื่อสัตย์และความรับผิดชอบ เช่นนั้นจะมีผู้ใดเหมาะสมไปกว่าอาอวี่?”

ถังหลานด้านข้างกล่าว “อาอวี่ นอกเหนือจากการนำทหารแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์หนึ่งพันนาย เจ้าต้องนำหน่วยวิญญาณอัคนีสองพันคนเดินทางไปพร้อมกับขบวนลำเลียงเสบียง ทั้งหมดนี้จะอยู่ภายใต้คำบัญชาของเจ้า แม้จะเป็นแม่ทัพที่มีทหารเพียงสามพันนาย ก็อย่าได้ดูถูกตนเองเลย”

ฉินอินเม้มริมฝีปากแดงและมองหลินมู่อวี่ด้วยดวงตาที่เปียกชื้น นางมีทั้งความหวังและสิ้นหวังในเวลาเดียวกัน ไม่นานก็หันไปพูดว่า “ท่านตา ท่านหลานกง ข้าแนะนำว่าควรส่งนายพลผู้มีความสามารถไปช่วยพี่อาอวี่ มิเช่นนั้นข้าเกรงว่าเขาคนเดียวจะไม่สามารถควบคุมทหารเกณฑ์ทั้งสามพันนายได้”

“อืม ผู้ใดยินดีจะติดตามหลินมู่อวี่?” ถังหลานเอ่ยถาม

ท่ามกลางฝูงชน ฉินเหยียนประสานหมัดกล่าว “ข้ายินดี”

“ท่านอ๋องน้อยฉินเหยียน?” ถังหลานผงะ “อ๋องน้อยฉินเหยียนเป็นคนในตระกูลฉิน และเป็นบุตรคนเดียวของอ๋องจี้หนิง…คงดีกว่าหากอยู่ในเมืองหลันเยี่ยน อย่างน้อยหากอ๋องจี้หนิงจากไป จะได้มีสายเลือดสืบต่อภายภาคหน้า”

ฉินเหยียนเลิกคิ้ว “ข้า…ฉินเหยียน…ฝึกฝนตั้งแต่เด็กเพื่อสามารถเป็นกำลังให้แก่จักรวรรดิในสักวันหนึ่ง ชีวิตของข้าจะไม่ส่งต่อรุ่นสู่รุ่น ได้โปรดให้ข้าได้ติดตามพี่ใหญ่ไปเถิด ข้าต้องการประสบการณ์ และพี่อาอวี่ก็ต้องการคนทำงานให้เพื่อร่วมชะตากรรมด้วยกัน!”

ฉินอินพยักหน้ารับ “ฉินเหยียนจะเป็นรองผู้บัญชาการของหลินมู่อวี่ และพวกเราจะออกไปด้วยกันทั้งหมด จบการหารือ!”

ฉินอินกล่าวอย่างหนักแน่นจนทำให้ซูมู่หยุนและถังหลานมิสามารถโต้แย้ง

เฟิงจี้สิงนิ่งเงียบและครุ่นคิด