ตอนที่ 194 เจ้าให้ข้าตีตรงไหน
เถียนตวนสื่อ โฉ่วเหือ โฉ่วช่วน และพรรคพวกรู้สึกภูมิใจกับการกระทำของตนอย่างมากจึงแหกปากตะโกนโวยวายไปทั่วหมู่บ้านอย่างโอหัง
แม้ว่าวันนี้จะทำเงินได้ไม่มากนัก ทว่าพวกเขาก็สามารถขัดขวางไม่ให้เสี่ยวส้วยเอ๋อและชีจินทำการขายได้ เมื่อเทียบกันแล้ว เถียนตวนสื่อก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา
ขณะนี้เหล่าชายหนุ่มกำลังเก็บฟืนอยู่ด้านล่างของภูเขาหลังหมู่บ้าน หยุนเชวี่ยและเหอยาโถวที่สังเกตเห็นคนเหล่านั้นมาจากที่ไกล ๆ จึงเดินวนอยู่บนภูเขาอย่างอดทนเพื่อรอให้เหล่าชายหนุ่มกลับไปก่อน
“อยากรู้ว่าหากโดนต่อยแล้วพวกมันจะยังทำตัวอวดดีอยู่หรือไม่!”
เหอยาโถวพึมพำเสียงแผ่ว ทว่าจู่ ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นด้านหลัง “ลงมือเมื่อใดกัน?”
“ผู้ใด?!” ทั้งสองคนตกใจจนวิญญาณแทบออกจากร่าง
เหอยาโถวหันกลับไปมองทันที ทว่าพบเพียงความว่างเปล่าท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านใบไม้
เหอยาโถว “เมื่อครู่มีใครพูดอะไรหรือไม่?”
หยุนเชวี่ย “ไม่ใช่เจ้าหรอกหรือ?”
เหอยาโถว “อย่าแกล้งข้าสิ”
หยุนเชวี่ย “ไม่ใช่ข้าจริง ๆ นะ…”
ทั้งสองคนมองหน้ากันและกัน แม้จะรู้สึกคุ้นเคยกับป่าแห่งนี้ ทว่าพวกเขาก็สัมผัสได้ว่าที่นี่มีกลิ่นอายความพิศวงอยู่หลายส่วน
“วี๊ด…” เสียงผิวปากกังวานราวกับนกหวีดดังขึ้นเหนือศีรษะของทั้งสองคน สืออีหัวเราะเบา ๆ ราวกับกำลังเล่นพิเรนทร์ “ข้าอยู่นี่!”
ทั้งสองเงยหน้าขึ้นตามเสียงและพบเข้ากับชายหนุ่มนั่งยอง ๆ อยู่บนต้นไม้
บนภูเขามีต้นไม้เก่าแก่อายุหลายร้อยปี กิ่งก้านของมันแผ่สาขาบดบังท้องฟ้าและแสงจากดวงตะวัน สืออีหมอบตัวลงบนกิ่งของต้นไม้ที่สูงราวสิบกว่าเมตรพร้อมหรี่ตาเล็กน้อยราวกับเสือดาวกำลังเตรียมตัวล่าเหยื่อ
เหอยาโถวตกตะลึง “เจ้า… เจ้าปีนขึ้นไปได้อย่างไร!”
“ไอ้เด็กหน้าอ่อนอย่างเจ้าทำไม่ได้ล่ะสิ!” สืออีลูบคางพลางมองไปยังพรรคพวกของเถียนตวนสื่อพร้อมเอ่ยถาม “เจ้าจะให้ข้าสั่งสอนผู้ใด? หรือจะให้สั่งสอนทั้งหมด?”
“เจ้าลงมาก่อนได้หรือไม่?” หัวใจของหยุนเชวี่ยสั่นไหวเล็กน้อย
กิ่งก้านของต้นไม้นั้นมีขนาดใหญ่พอ ๆ กับน่องของหยุนเชวี่ย ใบไม้ขยับไหวตามสายลมส่งเสียงหวีดหวิว นางรู้สึกราวกับว่าสืออีสามารถตกลงมาได้ทุกเมื่อ
“มองจากด้านบนชัดกว่า” สืออียกมือขึ้นป้องแสงแดดที่แยงตา แม้จะนั่งยอง ๆ ทว่าร่างกายกลับมีความสมดุลอย่างไม่น่าเชื่อ จากนั้นเขาจึงพึมพำกับตนเอง “เหตุใดถึงหน้าตาเหมือนกันทุกคน เสื้อผ้าก็เหมือนกันไปหมด?”
“คนที่มีรูปร่างไม่สูงมาก ใบหน้าทรงเหลี่ยม ผิวคล้ำแดด และดูมีอายุมากที่สุดในกลุ่ม” เหอยาโถวยกมือขึ้นชี้ “แค่เขาคนเดียว!”
สืออีมองตามปลายนิ้วของเหอยาโถวและพบเข้ากับชายหนุ่มร่างกำยำ ผิวดำคล้ำ รูปร่างไม่สูงมาก สวมเสื้อแขนสั้นสีเขียวหม่น
“เขาชื่ออะไร?” สืออีไม่สามารถระบุได้ว่าคือผู้ใด
“เถียนตวนสื่อ เขาคือหัวโจก”
“อืม!”
สืออีพยักหน้ารับทราบ ในขณะที่หยุนเชวี่ยกะพริบตาปริบ ๆ นางไม่ทันสังเกตเห็นเงาสีดำที่กระโดดลงมาจากต้นไม้สูงประมาณสิบเมตร
“แม่ร่วง!” เหอยาโถวอุทานด้วยความตกใจพลางสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ กรามของเขาอ้าค้างจนไม่สามารถหุบได้
เมื่อทั้งสองฟื้นคืนสติ สืออีจึงออกตัววิ่งออกไปอย่างรวดเร็วราวกับลมบ้าหมู หลังจากวิ่งออกไปไม่กี่ก้าว เขาก็เข้าประชิดตัวของคนพาลเหล่านั้น
ขณะนี้สายเกินไปแล้วที่จะห้ามปราม หยุนเชวี่ยและเหอยาโถวเบิกตากว้างและนิ่งอึ้งอยู่ครู่ใหญ่
เหอยาโถว “เจ้าไม่ได้บอกหรือว่าให้ลงมือเมื่อเถียนตวนสื่ออยู่คนเดียว?”
หยุนเชวี่ย “ลงมือกลางวันแสก ๆ ไม่ดีหรือ?”
เหอยาโถว “หนึ่ง สอง สาม สี่… พวกมันมีทั้งหมดเจ็ดคน! เราจะทำอย่างไรกันดี?”
ความจริงประจักษ์ชัดแก่สายตาแล้วว่าเหอยาโถวนั้นวิตกจนเกินจริง
ทั้งสองคนหมอบลงซ่อนตัวและแอบดูอยู่ในพงหญ้า พวกนางเห็นสืออีวิ่งเข้าไปทางกลุ่มอันธพาลและเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหยิ่งยโส “ใครเป็นหัวโจก?”
ทุกคนต่างนิ่งอึ้ง
คนกลุ่มนั้นมองชายหนุ่มผู้สวมเสื้อคลุมยาวลายลูกศรสีดำที่มีใบหน้าหล่อเหลา สะอาดสะอ้านด้วยสายตาตะลึงงัน
“ข้าจะถามอีกครั้งว่าผู้ใดชื่อเถียนตวนสื่อ?” สืออีหรี่ตาลง สายตาคมกริบกวาดมองผ่านใบหน้าของทุกคน
นอกเหนือจากสิ่งอื่นใด รังสีความเย่อหยิ่งที่แผ่ออกมาจากร่างกายของสืออีนั้นทำให้ชายหนุ่มบ้านนอกผู้ไม่เคยเผชิญโลกภายนอกหลายคนเกรงกลัว
ชายหนุ่มสองถึงสามคนหันมองเถียนตวนสื่ออย่างพร้อมเพรียงโดยไม่ได้นัดหมาย
“เป็นเจ้ารึ?” สืออีเลิกคิ้ว
สืออีคิดว่าหัวโจกจะมีมาดดุร้ายกว่านี้เสียอีก ที่แท้ก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มร่างกำยำผิวคล้ำแดดที่สูงยังไม่ถึงคางของเขา
“ใช่ ข้าเอง เจ้าเป็นใคร? ต้องการอะไรจากข้า?” เถียนตวนสื่อรู้สึกกระวนกระวายใจเล็กน้อย
“ไม่มีอะไร”
มุมปากของสืออีโค้งขึ้นเล็กน้อยก่อนสาวเท้าเข้าไปให้อีกฝ่ายสองก้าว ในขณะที่เถียนตวนสื่อก้าวถอยหลังอย่างช่วยไม่ได้ ร่างกายของเขาพลันชาวาบไปทั่วตัว
“ถูกต้อง ข้ามาเพื่อสั่งสอนเจ้า”
หลังจากสืออีพูดจบ ชายหนุ่มทุกคนก็หลุดออกจากห้วงความคิดทันที พวกเขาจ้องมองสืออีอย่างไม่วางตาพร้อมกำหมัดแน่น
“ข้าบอกแล้วว่าเจ้าหมอนี่เป็นคนโง่!” บนศีรษะของเหอยาโถวมีช่อดอกหญ้าติดอยู่ “ไหนเลยจะต่อกรกับผู้ใดได้!”
“เขาซื่อบื้อเกินไป…” หยุนเชวี่ยแหวกพงหญ้าออกอย่างช้า ๆ “แม้จะเป็นเช่นนั้น ทว่าข้าก็ยังคาดหวังในตัวเขา!”
เหอยาโถวบีบแขนของหยุนเชวี่ยแน่น
หยุนเชวี่ย “มีอะไรรึ?”
เหอยาโถว “หากเขาแพ้ พวกเราต้องวิ่งหนีอย่างสุดชีวิต!”
หยุนเชวี่ย “ไม่ช่วยเขาหรือ?”
เหอยาโถว “เขาได้รับบาดเจ็บจนเลือดไหลท่วมกายยังรอดมาได้! หากพวกเราถูกทุบตีจนตายเล่าจะทำอย่างไร?”