ตอนที่ 193 นักเลงหัวไม้
สืออีลูบคางของตนเองอย่างเกียจคร้าน มือหยาบกระด้างสัมผัสได้ถึงหนวดเคราที่ยาวขึ้นเล็กน้อยก่อนสูดหายใจเข้าออกด้วยความเจ็บปวด
สืออีพึ่งพาตนเองและใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายบนหุบเขาลึกเพียงเพื่อให้หยุนเชวี่ยประทับใจ ทว่าถึงกระนั้นเชวี่ยเอ๋อก็ยังไม่มาเยี่ยมเขา…
“ฟู่ว…”
สืออีเป่าเศษใบไม้ที่ถูกฉีกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยภายในลมหายใจเดียว ขณะทอดสายตามองไปยังที่ไกล ๆ ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความคิดถึงคะนึงหา
พลันใดนั้น เสียงหนึ่งพลันดังออกมาจากในป่า
ใบหูของสืออีขยับขึ้นลงเล็กน้อย เขาสามารถแยกแยะเสียงนั้นได้ มันไม่ใช่เสียงกระพือปีกของไก่ฟ้าหรือเสียงย่ำเท้าของกระต่าย
เชวี่ยเอ๋อ!
สืออียันกายลุกยืนขึ้นพลางปัดฝุ่นและเศษใบไม้ที่เกาะอยู่ตามเสื้อผ้าก่อนลูบคางอันแดงระเรื่อ
สืออีสามารถมองเห็นร่างของเชวี่ยเอ๋อมาจากที่ไกล ๆ เขาจึงโบกมือเรียกนางทันที มุมปากยกโค้งขึ้น ดวงตาดอกท้อทอประกายความสดใส
“เชวี่ยเอ๋อ…”
เขาแสดงท่าทีราวกับลูกสุนัขที่กระดิกหางอย่างร่าเริงเมื่อมองเห็นเจ้าของ ทว่าทันใดนั้นสืออีก็พบว่าด้านหลังของหยุนเชวี่ยมีร่างหนึ่งเดินตามมา
เหอยาโถวเขย่าห่อขนมในมือ “พวกเรานำของอร่อย ๆ มาให้เจ้าแล้ว!”
สืออีนั่งขัดสมาธิมองน่องไก่มันเยิ้ม ข้าวเหนียว และขนมแป้งม้วนสอดไส้ถั่วแดงกวนก่อนเงยหน้ามองผู้มาเยือนทั้งสองคน
“ขนมแป้งม้วนสอดไส้ถั่วแดงกวนทั้งหวานและเหนียวนุ่ม อร่อยมาก เจ้าลองชิมดูเถิด” เหอยาโถวผลักห่อกระดาษน้ำมันไปทางสืออี
“บนโลกนี้ไม่มีผู้ใดทำดีโดยไม่หวังผลประโยชน์” สืออีหยิบขนมแป้งม้วนสอดไส้ถั่วแดงกวนด้วยท่าทีรังเกียจ “ไอ้เด็กหน้าอ่อน เจ้าต้องการอะไรกันแน่?”
“ไอ้เด็กหน้าอ่อนจะกินหรือไม่ เจ้าคงไม่ชอบขนมราคาแพงสินะ!” เหอยาโถวไม่อาจแสร้งพูดดีกับสืออีอีกต่อไป “ในเมื่อเจ้าไม่กิน ข้าจะเอามันไปให้ต้าหวงที่ทางเข้าหมู่บ้านเสีย! ฮึ่ม!”
“ต้าหวงคือผู้ใด?” สืออีคดข้าวเหนียวที่มีเนื้อสัมผัสดีเยี่ยมพลางเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “เขาเป็นญาติกับเจ้าหรือ?”
“เจ้า… ญาติของเจ้าน่ะสิ!” เหอยาโถวกลอกตา “ไอ้คนบาป ผีเจาะปากมาพูด!”
“พวกเจ้าสองคนอย่าเพิ่งทะเลาะกันได้หรือไม่” หยุนเชวี่ยกล่าวพร้อมขมวดคิ้ว
ทางเข้าหมู่บ้านของพวกเขามีสุนัขตัวน้อยที่มีขนสีเหลืองอาศัยอยู่ ผู้คนที่สัญจรไปมาต่างเอ็นดูสุนัขตัวนี้ไม่น้อย
เหอยาโถว “เขาเป็นคนเริ่มก่อน”
ดูเหมือนว่าสืออีจะพบกับความหรรษา เขาคดข้าวเหนียวแล้วปั้นมันราวกับของเล่น
“วันนี้เจ้ากินข้าวหรือยัง?” หยุนเชวี่ยเอ่ยถามพลางขยับตัวไปด้านข้าง
“ยัง” สืออีหลุบตาลงต่ำพร้อมแสดงท่าทีน้อยเนื้อต่ำใจ “อย่างไรเสียข้าก็หายดีแล้ว เจ้าคงไม่สนใจข้าหรอก”
ขนตาหนาเป็นแพของเขาบดบังดวงตาดอกท้อที่มักเต็มไปด้วยแววตาเศร้าหมอง เห็นได้ชัดว่าสืออีอายุมากกว่าหยุนเชวี่ย ทว่าเมื่อเผยท่าทางออดอ้อน เขากลับดูเหมือนเด็กน้อยคนหนึ่ง
หยุนเชวี่ยลอบสูดหายใจเข้าลึกและอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปลูบผมของสืออี ดังนั้นนางจึงยื่นมือออกไปอย่างลังเล
หล่อเหลายิ่ง! หากเป็นชายหนุ่มหน้าตาธรรมดาแสดงท่าทีออดอ้อนเช่นนี้ เขาคงถูกหยุนเชวี่ยถีบจนล้มหัวคะมำไปนานแล้ว!
สืออีเงยหน้ามองหยุนเชวี่ยด้วยดวงตาทอประกาย
เมื่อสบสายตาเข้ากับดวงตาที่ลึกล้ำดั่งหุบเหว หยุนเชวี่ยก็ตะลึงงันก่อนหยิบน่องไก่ขึ้นมายัดใส่ปากของเขา
“กินข้าวเสีย!”
“พรุ่งนี้เจ้าจะเอาอาหารมาให้ข้าอีกหรือไม่?” แม้ใบหน้าของเขาจะระบายรอยยิ้ม ทว่าดวงตากลับเศร้าสร้อยน่าสงสาร
“ไม่”
“หากอย่างนั้นพรุ่งนี้ข้าไปรอเจ้าที่ริมแม่น้ำได้หรือไม่? ข้าจะจับไก่ฟ้าไปด้วย เราจะได้ย่างกินกัน”
ผู้มาเยือนทั้งสองคนเผยสีหน้าเย็นชา ขณะที่อีกคนหนึ่งกระดิกหางอย่างกระตือรือร้น
เหอยาโถวที่นั่งอยู่ด้านข้างกวาดสายตาไปมาพลางลอบถอนหายใจ ไอ้เด็กหน้าอ่อนช่างหน้าหนาเสียจริง! แต่จะว่าไปแล้ว กระบวนท่าออดอ้อนนี้ดูเหมือนจะได้ผลทีเดียว…
หยุนเชวี่ยแสดงสีหน้าไร้อารมณ์ “พรุ่งนี้ข้าต้องเข้าไปในเมือง ข้าจะซื้อซาลาเปาและเกี๊ยวมาฝากแล้วกัน”
ความสุขพลันแล่นเข้ากอบกุมหัวใจของสืออี เขารู้สึกปลาบปลื้มไม่น้อยที่ได้ยินเช่นนั้นจนน่องไก่ที่อยู่ในปากเกือบตกลงพื้น
“ช้าก่อน ข้าขอพูดอะไรหน่อย” เหอยาโถวโพล่งขึ้นระหว่างบทสนทนาของทั้งสองคน “ข้อขอบอกก่อนว่า เรื่องนี้มีเงื่อนไข”
สืออีไม่สนใจคำพูดของเหอยาโถว เขายื่นมือไปปิดปากอีกฝ่ายเอาไว้ขณะที่ดวงตาจ้องมองหยุนเชวี่ยด้วยความคาดหวัง
หยุนเชวี่ย “ก่อนอื่นเจ้าต้องทำเรื่องบางอย่างให้ข้าเป็นข้อแลกเปลี่ยน”
ยังไม่ทันที่หยุนเชวี่ยจะพูดจบ สืออีก็พยักหน้าไม่หยุด “เชวี่ยเอ๋อ ข้าบอกแล้วว่าจะเป็นวัวเป็นม้าให้เจ้าตลอดชีวิต เจ้าอยากให้ข้าทำอะไรหรือ?”
เหอยาโถวที่อยู่ด้านข้างถูกปิดปากเอาไว้ไม่สามารถเอื้อนเอ่ยวาจาใดจึงเบ้ปากอย่างเอือมระอา เจ้าหมอนี่ช่างประจบประแจงเสียจริง
หยุนเชวี่ยไม่ได้บอกกล่าวสืออีเกี่ยวกับเหตุผล นางบอกเพียงว่าอยากสั่งสอนพวกอันธพาลในหมู่บ้านที่ชอบรังแกผู้อ่อนแอ
“เชวี่ยเอ๋อ พวกอันธพาลรังแกเจ้าหรือ?” สืออีขมวดคิ้วพลางขยับเข้าไปใกล้หยุนเชวี่ยราวกับต้องการสำรวจใบหน้าของนาง “เจ้าบาดเจ็บหรือไม่?”
“ไม่”
“มันรังแกเขาหรือ?” สืออีชี้ไปยังเหอยาโถว
“พวกมันไม่ได้รังแกเขา”
สีหน้าสืออีพลันเปลี่ยนเป็นเฉยเมย “เชวี่ยเอ๋อ เจ้าต้องการให้พวกมันนอนหยอดน้ำข้าวต้มนานเท่าใด? สามวัน ห้าวัน หรือหนึ่งเดือนดีเล่า?”
เหอยาโถวเลียริมฝีปาก “เอ่อ… จะไม่มีใครตายใช่หรือไม่? อันที่จริงก็ไม่ได้มีความเคียดแค้นอะไรมากมาย…”
ใบหน้าของสืออียังคงสงบนิ่ง “วางใจเถอะ ข้าแข็งแกร่งกว่าที่เจ้าคาดคิดเสียอีก ข้าสามารถหักขาของพวกมันด้วยมือเปล่าได้ เชวี่ยเอ๋อคิดว่าทำเช่นนี้ดีหรือไม่?”
หยุนเชวี่ย…
สืออีไม่เห็นหยุนเชวี่ยแสดงสีหน้าพึงพอใจ เขาจึงยื่นนิ้วไปตรงหน้าของนางพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น “สองข้าง?”
หยุนเชวี่ย…
“หักกระดูกซี่โครงของมันด้วยดีหรือไม่?”
หยุนเชวี่ย…
“เหตุใดถึงไม่ขุดหลุมบนภูเขาเพื่อฝังศพของมันเล่า ง่ายจะตายไป!”
บนศีรษะของหยุนเชวี่ยมีอีกาฝูงหนึ่งส่งเสียงร้องและบินวนไปมา นางใช้หลังมือตบเข้าที่หน้าผากของตนเองพร้อมกล่าว “สมองของเจ้าไม่มีรอยหยักหรือ!”
มุมปากของสืออีกระตุกเล็กน้อยขณะที่จ้องมองนางด้วยสายตาไร้เดียงสา เขาไม่รู้ว่าคำพูดไหนของตนไปกระตุกต่อมโมโหของนาง
เห็นได้ชัดว่านางอยากสั่งสอนพวกอันธพาล อารมณ์ของผู้หญิงเปลี่ยนไปตามอายุหรือ?
“ข้าบอกให้เจ้าสั่งสอนคน ไม่ได้บอกให้เจ้าไปฆ่าผู้ใด! เจ้าเสพติดความรุนแรงรึ!” หยุนเชวี่ยเกาศีรษะอย่างบ้าคลั่ง “เจ้าเคยต่อสู้หรือไม่? อย่างเช่นทุ่มอีกฝ่ายลงบนพื้น ต่อย และเตะ?”
สืออีพยักหน้า
เขากำลังจะบอกนางว่าการถีบไม่กี่ครั้งก็สามารถทำให้กระดูกซี่โครงของอีกฝ่ายหักสองถึงสามซี่ จนอีกฝ่ายต้องนอนหยอดน้ำข้าวต้มประมาณแปดถึงสิบวัน?
ยังไม่ทันที่จะอ้าปาก หยุนเชวี่ยก็คำรามเสียงดัง “ทุบตีสั่งสอนให้เขารู้สึกผิดและร้องอ้อนวอนขอความเมตตาก็เพียงพอแล้ว!”
“อ๋อ” ดูเหมือนว่าสืออีจะเข้าใจสิ่งที่นางต้องการสื่อ เขาจึงพยักหน้าอย่างว่าง่าย
“อย่าลงมือหนักจนทำให้เขาเสียชีวิตล่ะ เราต้องการเพียงสั่งสอนเขา เข้าใจหรือไม่?”
“และอีกอย่างห้ามหักขาหรือกระดูกซี่โครงของเขา ห้ามเด็ดขาด…”
หยุนเชวี่ยกำชับซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อเห็นว่าสืออีเข้าใจแล้วนางจึงวางใจลง
“มันจะไม่เป็นเรื่องใหญ่โตใช่หรือไม่?” ระหว่างทางกลับหมู่บ้าน เหอยาโถวพลันเกิดอาหารหวาดกลัวเล็กน้อย ตั้งแต่เด็กจนโต นอกจากการวิวาทกับคนในเมืองครั้งนั้น เขาก็ไม่เคยมีเรื่องต่อยตีกับผู้ใดอีก เนื่องจากเหอยาโถวมักใช้คำพูดที่เจ็บแสบเข้าสู้
ความจริงแล้วหยุนเชวี่ยไม่ค่อยวางใจนัก “เอาเป็นว่าเมื่อถึงเวลานั้น พวกเราจะไปซ่อนตัว… ว่าอย่างไร?”
“อืม เอาตามนั้นก็ได้…”