ตอนที่ 192 อย่างน้อยก็ป้องกันตัวได้

ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน

ตอนที่ 192 อย่างน้อยก็ป้องกันตัวได้

บางคนดิ้นรนทุ่มเทแรงกายและแรงใจทำงานทุกอย่างเพื่อให้มีชีวิตดีขึ้น ในขณะที่คนบางกลุ่มเอาแต่คิดหาวิธีเหยียบศีรษะผู้อื่นโดยไม่ต้องลงแรง

ข้อเสนอของหยุนลี่เซี่ยวนั้นไร้สาระ แม้แต่ผู้เฒ่าหยุนยังไม่ให้ความสนใจแก่เขา

วันรุ่งขึ้น

เถียนตวนสื่อและพรรคพวกขายบ๊วยดองน้ำตาลได้เงินมากมายและได้ลิ้มรสความหอมหวานในการค้าขาย ทำให้พวกเขากล้าแย่งกิจการของหยุนเชวี่ยโดยอาศัยจำนวนคนที่มากกว่า

ทุกครั้งที่มีลูกค้าซื้อบ๊วยดองน้ำตาลของหยุนเชวี่ย ชายหนุ่มสองถึงสามคนจะเข้ามาไล่ตะเพิดคนเหล่านั้น ก่อนตะโกนขายบ๊วยดองน้ำตาลต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

การกระทำเช่นนี้ช่างเลวร้ายยิ่ง ในเมื่อตนเองขายไม่ได้จึงพาลไม่ยอมให้พรรคพวกของหยุนเชวี่ยทำการค้าขาย

ชีจินโกรธเคืองไม่น้อยจนอยากต่อยตีกับเถียนตวนสื่อให้รู้แล้วรู้รอด ทว่าไม่อาจต่อกรกับผู้ที่แข็งแรงกว่า เนื่องจากอีกฝ่ายเป็นเด็กชายวัยกำลังเติบโตจำนวนสิบกว่าคน ซึ่งตรงกันข้ามกับฝั่งของชีจินที่มีเด็กผู้หญิงสองคนและเหอยาโถวที่ตัวบางร่างน้อยไม่ต่างกับเด็กสาว

ชีจินถูกชายหนุ่มกลุ่มใหญ่รังแกจนล้มลงไปกองกับพื้น มุมปากของเขาเขียวช้ำ ในขณะที่เลือดไหลออกมาจากจมูกไม่ขาดสาย

เหอยาโถวยกนิ้วเรียวราวกล้วยไม้ขึ้นชี้คนกลุ่มนั้นพลางตะโกนด่าทอเสียงดัง “พวกเจ้ารังแกคนที่อ่อนแอกว่า แล้วยังกล้าเรียกตนเองว่าลูกผู้ชายอีกรึ!”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ไอ้ชายกึ่งหญิงบอกว่าพวกเราไม่ใช่ลูกผู้ชาย ฮ่าฮ่าฮ่า!” อีกฝ่ายกอดอกพลางหัวเราะอย่างโอหัง

“พวกเราไม่ใช่ลูกผู้ชาย ทว่าเราก็ไม่ได้ใส่กระโปรงของผู้หญิง!”

“ใช่แล้ว ผู้ชายมักใช้กำปั้นพูดแทน หากเจ้าไม่ได้ดีแต่ปากก็มาประลองกันสักหน่อยสิ!”

“เข้ามาสิ เป็นอะไรไป… ถ้าอย่างนั้นข้าจะสู้กับเจ้าโดยใช้มือข้างเดียว ฮ่าฮ่าฮ่า!”

ชายหนุ่มนับสิบคนยืนเรียงหน้ากระดาน ใบหน้าของแต่ละคนระบายรอยยิ้มเย้ยหยันที่มีต่อเหอยาโถว

ตราบใดที่อีกฝ่ายไม่ลงมือ เหอยาโถวก็ไม่หยุดปากดี ใบหน้าของเขาแดงก่ำขึ้นเรื่อย ๆ “กำปั้นแข็งแกร่งมีประโยชน์อันใด? มันสามารถกินแทนอาหารหรือสวมใส่แทนเสื้อผ้าได้รึ?”

“หากพวกเจ้ามีร่างกายแข็งแรง เหตุใดไม่กลับบ้านไปปลูกผักให้เต็มสวนพื้นที่สองไร่เล่า เอาเวลามาทำเรื่องหยาบช้าเช่นนี้ไม่กลัวชาวบ้านหัวเราะเยาะหรือ”

“รู้อยู่แก่ใจว่าข้าต่อยตีสู้พวกเจ้าไม่ได้ เหตุใดถึงชอบท้าทายให้ข้าใช้กำลังอยู่ร่ำไป? พวกเจ้าทำตัวต่างอะไรกับลาโง่ล่ะ?”

“มันเป็นการกระทำของคนโง่ชัด ๆ โง่แต่อวดฉลาด หึหึ…”

เหอยาโถวตัวคนเดียวกำลังยืนประจันหน้าชายหนุ่มสิบคน และจบประโยคด่าทอด้วยเสียง “หึหึ” สองครั้งอย่างดูแคลนด้วยท่าทีผ่อนคลาย จึงทำให้หยุนเชวี่ยอดไม่ได้ที่จะปรบมือชื่นชม

เสี่ยวส้วยเอ๋อยืนกอดอกพลางจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาดูถูกพร้อมพยักหน้าเห็นด้วยกับสิ่งที่เหอยาโถวกล่าว

“ไอ้ชายกึ่งหญิง! แกกล้าด่าพวกข้างั้นรึ?!” เถียนตวนสื่อเผยสีหน้าโกรธเคืองพร้อมชี้นิ้วด้วยความโมโห

ชาวบ้านในหมู่บ้านไป๋ซีทุกคนต่างรู้ว่าเหอยาโถวเป็นลูกชายสุดที่รักของตระกูลเหอ เหอเหล่าซานและภรรยาดูแลเขาราวกับไข่ในหิน อีกทั้งลูกสาวของตระกูลเหอต่างแต่งงานกับผู้มีอิทธิพล ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าทะเลาะกับลูกชายคนเดียวของตระกูลเหอ อย่างมากก็แค่มีฝีปากเล็กน้อย ทว่าไม่มีผู้ใดกล้าลงมือจริงสักคน

เหอยาโถวเชิดคางขึ้นพร้อมกล่าวต่อโดยไม่แสดงท่าทีเกรงกลัวแม้แต่น้อย “มีปัญหาอันใด โง่แล้วยังหูตึงอีกหรือ? หากได้ยินไม่ชัด ข้าจะพูดให้ฟังอีกครั้ง…”

“พวกเจ้า” เหอยาโถวยกนิ้วขึ้นชี้เถียนตวนสื่อก่อนหันไปชี้คนที่เหลือพร้อมกล่าวทีละคำอย่างเสียงดังฟังชัด “พวกเจ้าทุกคนโง่งมและไร้ยางอาย!”

ดวงอาทิตย์ตั้งฉากเหนือศีรษะ ลมร้อนพัดใบไม้แห้งปลิวไปตามถนนจนเกิดเสียงกรอบแกรบ

บรรยากาศรอบข้างเงียบงันจนสามารถได้ยินเสียงกำหมัดของเถียนตวนสื่อ

มนุษย์เป็นสัตว์สังคม หากรวมกลุ่มกันแล้วมักมีคนผู้หนึ่งตั้งตนเป็นผู้นำ และตอนนี้เถียนตวนสื่อคือผู้นำของชายหนุ่มทั้งสิบคนนี้ ซึ่งทุกคนเอ่ยเรียกเขาว่าลูกพี่

เหอยาโถวทำให้ภาพลักษณ์ของเขาป่นปี้ต่อหน้าคนเหล่านี้ ดังนั้นเถียนตวนสื่อจึงทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน? ในภายภาคหน้ายังจะมีลูกน้องคนไหนเชื่อฟังคำสั่งของเขาอีกหรือ?

เถียนตวนสื่อขบกรามแน่น รังสีความโกรธแค้นแผ่กระจายไปทั่วบริเวณ เขากำหมัดพลางเตรียมตัวกระโจนเข้าไปทำร้ายเหอยาโถว

เมื่อหยุนเชวี่ยเห็นเช่นนั้นจึงตกใจอย่างมาก นางรีบเอื้อมมือไปคว้าแขนของเหอยาโถวหมายจะวิ่งหนี คนดีย่อมไม่ต้องเกรงกลัวเภทภัย ทว่าหากสู้ไม่ได้ก็วิ่งหนีเสียสิ!

หยุนเชวี่ยและเหอยาโถวยังไม่ทันจะก้าวขา สองพี่น้องโฉ่วเหือและโฉ่วช่วนก็กระโดดเข้ากอดเถียนตวนสื่อจากด้านหลังไว้ก่อน

เหอยาโถวและหยุนเชวี่ยต่างลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“อย่าห้ามข้า วันนี้ข้าจะเอาเลือดหัวมันออก!” ยิ่งถูกห้ามปราม เถียนตวนสื่อก็ยิ่งเหิมเกริม “ไอ้ชายกึ่งหญิง หากเจ้าแน่จริงก็อย่าหนี!”

หัวใจของเหอยาโถวเต้นโครมคราม ทว่ายังคงเผยสีหน้าเรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลง เขาเชิดหน้าขึ้นพร้อมกล่าวออก “หากเจ้าเก่งนักก็เข้ามาสิ!”

ผู้คนรอบข้างพยายามกล่าวเกลี้ยกล่อมทั้งสองคน

หยุนเชวี่ยไม่อยากเห็นเหอยาโถวถูกทุบตีจนน่วมราวกับหมูโดนเชือด ในขณะที่โฉ่วเหือและโฉ่วช่วนไม่ต้องการให้เถียนตวนสื่อสร้างความเดือดร้อนจนตนและคนที่เหลือโดนร่างแหไปด้วย

ดังนั้นพวกเขาจึงเกลี้ยกล่อมให้ทั้งสองคนอารมณ์เย็นลง ทว่าสุดท้ายการห้ามปรามก็ไม่เป็นผล เหอยาโถวและเถียนตวนสื่อต่างสบถด่าทอฝ่ายตรงข้ามมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

ทว่ากลับมาถึงหมู่บ้านไป๋ซี คนทั้งสองกลุ่มก็ได้พบหน้ากับอีกครั้ง ในตอนนี้พวกเขาเปรียบเสมือนศัตรูคู่อาฆาตกันไปเสียแล้ว

“ชีจิน ข้าไม่อาจปล่อยให้เจ้าถูกรังแกอย่างไร้ความยุติธรรม” ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห ดังนั้นเหอยาโถวจึงบ่นอุบตลอดทาง

“ข้าไม่เป็นอะไร!” ชีจินแตะริมฝีปากที่เขียวคล้ำของตนเองพลางกล่าวเกลี้ยกล่อม “เจ้าอย่าหาเรื่องพวกเขาเลย เรามีกันแค่ไม่กี่คนจะเสียเปรียบเอา”

“ข้าปล่อยผ่านเรื่องนี้ไม่ได้ พวกมันมาหาเรื่องเราโดยไม่มีเหตุผลก่อน แล้วเหตุใดเราจะเรียกร้องความยุติธรรมให้ตนเองไม่ได้ล่ะ?” ตั้งแต่เล็กจนโต เหอยาโถวไม่เคยโมโหเช่นนี้มาก่อน “หากพวกเราปล่อยผ่าน มันอาจคิดว่าเรากลัวและในภายภาคหน้ามันอาจกลับมาทำร้ายเราอีกก็เป็นได้! ใช่หรือไม่… เชวี่ยเอ๋อ?”

หยุนเชวี่ยพยักหน้า

หากเป็นเพียงการแย่งชิงในทางธุรกิจนั้นย่อมเข้าใจได้ ทว่าการทำร้ายผู้บริสุทธิ์เพื่อธุรกิจของตนนั้นต้องสั่งสอนให้เข็ด

เหอยาโถวมีนิสัยเรื่องมาก หยุนเชวี่ยคิดว่าวิธีแก้ปัญหาที่ง่ายและมีประสิทธิภาพที่สุดคือการควบคุมความรุนแรงด้วยความรุนแรง

เด็กทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนเพ่งความสนใจไปที่สืออี

ยามสายัณห์ หยุนเชวี่ยถือห่อน่องไก่ที่แอบซ่อนไว้ตั้งแต่ตอนกลางวัน ในขณะที่เหอยาโถวถือห่อขนมเดินไปทางภูเขาด้านหลังหมู่บ้าน

เหอยาโถว “เจ้าคิดว่าเขาจะสู้ได้หรือไม่? พรรคพวกของเถียนตวนสื่อมีสิบคนรึ?”

หยุนเชวี่ย “พวกมันไม่ได้รวมตัวกันทั้งวัน ดังนั้นต้องมีบางเวลาที่แยกกันอยู่ตามลำพัง”

เหอยาโถว “จริงด้วย ทว่าหากสืออีแพ้เถียนตวนสื่อเล่า?”

หยุนเชวี่ย “ไม่มีทาง เขาสูงกว่าตวนสื่อตั้งครึ่งศีรษะ!”

เหอยาโถว “ทว่าตวนสื่อแข็งแรงมา แขนของมันเกือบเท่าต้นขาของข้า ไม่รู้ว่าเขมือบอะไรเข้าไปถึงตัวโตเพียงนั้น”

หยุนเชวี่ย “สืออีบอกว่าสามารถทุบหินที่อยู่บนหน้าอกของเขาให้แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ได้ไม่ใช่หรือ?”

เหอยาโถว “ไอ้เด็กหน้าอ่อนอาจพูดโอ้อวดเกินจริง!”

หยุนเชวี่ยไม่รู้จะเอื้อนเอ่ยคำใด

หยุนเชวี่ยไม่รู้ว่าสืออีอวดอ้างเกินจริงหรือไม่ ทว่าในตอนที่บาดแผลบริเวณไหล่ของเขาติดเชื้อรุนแรง สืออีสามารถทายาและบีบฝีหนองโดยไม่ส่งเสียงร้องโอดครวญสักคำ หยุนเชวี่ยจึงรู้สึกว่าแม้จะสู้เถียนตวนสื่อไม่ได้ ทว่าอย่างน้อยก็สามารถป้องกันตัวได้

ด้านนอกถ้ำ

สืออีนั่งพิงผนังถ้ำอย่างเบื่อหน่ายพลางหลับตาลงภายใต้ร่มเงาของเถาวัลย์ที่ห้อยระย้าลงมา

ตั้งแต่หยุนเชวี่ยรู้ว่าสืออีสามารถจับไก่ฟ้าและปลาด้วยมือเปล่าได้ นางก็ไม่มาเยี่ยมเขาบ่อยครั้งเช่นเดิม อีกทั้งยังสั่งห้ามไม่ให้สืออีลงจากเขาและเดินเตร่ไปทั่ว หากไม่เชื่อฟัง เขาจะต้องกลายเป็นคนเร่ร่อนแน่…