ตอนที่ 191 ขุนนางชั้นผู้น้อย
“เรื่องกินและเที่ยวเอาไว้คุยกันวันหลังเถิด วันนี้ข้ามีเรื่องสำคัญจริง ๆ” หยุนเชวี่ยกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ไปหาที่นั่งคุยกัน”
เจ้าอ้วนเฉียนเห็นว่านางมีเรื่องสำคัญจึงไม่โต้เถียง เมื่อตระหนักได้ว่าเส้นทางการทำงานหาเงินของนางนั้นไม่ง่ายเลย หลังจากเดินมาไกลกว่าครึ่งถนน พวกเขาจึงเลือกกินอาหารร้านบะหมี่หวังเอ้อ
พวกเขาสั่งบะหมี่ไก่หนึ่งชามและนั่งลงตรงมุมลับตาด้านในร้าน
หยุนเชวี่ยพูดอย่างตรงไปตรงมา “เจ้าอ้วน… พวกเราต้องการพบท่านเจ้าเมือง เจ้าช่วยหน่อยได้หรือไม่?”
ร้านบะหมี่หวังเอ้อไม่กว้างขวางนัก ภายในร้านจึงไม่มีอากาศถ่ายเท เจ้าอ้วนเฉียนใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อที่ไหลท่วมหน้าผาก เมื่อได้ยินว่าพวกนางต้องการพบเจ้าเมือง เขาจึงตกตะลึง “เกิดอะไรขึ้น? เจ้าถูกพวกอันธพาลรังแกอีกแล้วรึ? เจ้าอยากเรียกร้องความยุติธรรมกับท่านเจ้าเมืองหรือ?”
หยุนเชวี่ย…
เหอยาโถว…
“ใครกล้ารังแกพวกเจ้า ข้าจะขอให้ท่านพ่อของข้าตัดสินความยุติธรรมให้พวกเจ้า!” เจ้าอ้วนเฉียนตบโต๊ะ
เนื่องจากพื้นที่ภายในร้านบะหมี่มีไม่มากนัก ผู้คนจากโต๊ะอื่น ๆ จึงจ้องมองมาที่พวกเขาเป็นตาเดียวกัน
ต้าจี๋กระแอมพลางอธิบายด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ “ข้ายังไม่ได้บอกพวกเจ้ากระมังว่านายท่านของข้าคือผู้ช่วยนายอำเภออันผิง!”
“ผู้ช่วยนายอำเภอ?!” เหอยาโถววางแก้วน้ำที่เพิ่งยกขึ้นมาทั้งที่ยังไม่ได้ดื่มสักอึก
ภายในสมองของหยุนเชวี่ยกำลังครุ่นคิดอย่างหนักว่าปลัดอำเภอเป็นขุนนางขั้นใด เหตุใดนางถึงไม่เคยได้ยินชื่อตำแหน่งนี้มาก่อน?
“เฮ้อ… ไม่ใช่ว่าข้าจงใจปิดบังพวกเจ้าหรอกนะ ท่านพ่อของข้า… ไม่เป็นไรหรอกน่า!” เจ้าอ้วนเกาศีรษะด้วยความอับอายเล็กน้อย
เขาไม่เคยใช้ตำแหน่งขุนนางข่มเหงผู้ใด แล้วนับประสาอะไรกับสหาย นอกจากนี้ท่านปลัดอำเภอยังเป็นแค่ขุนนางขั้นที่แปด*จึงไม่มีอำนาจมากนัก ยิ่งไปกว่านั้นขุนนางน้อยผู้นี้ยังบริจาคเงินและเหรียญตำลึงเงินในนามของบิดาอีกด้วย
*ขุนนางขั้นที่ 8 คือปลัดอำเภอ หรือผู้ช่วยนายอำเภอ จะใช้สัญลักษณ์บนหน้าอกเสื้อเป็นลายนกขมิ้นเหลือง
ถึงกระนั้นก็ไม่มีอะไรควรค่าแก่ความภาคภูมิใจ
“เอ่อ… เชวี่ยเอ๋อ หากพวกเจ้าเจอเรื่องยากลำบากก็บอกข้าได้ แม้ท่านพ่อของข้าจะไม่ได้เป็นขุนนางระดับสูง ทว่าท่านพ่อต้องให้ความเป็นธรรมกับประชาชนแน่นอน” เจ้าอ้วนเฉียนกล่าวอย่างจริงจัง
แม้พ่อของเขาจะชอบบริจาคเงินมากมาย ทว่าอย่างน้อยก็มั่นใจได้ว่าเขาเป็นขุนนางผู้ตงฉิน
“ไม่มีผู้ใดรังแกเราหรอก พวกเราแค่มีเรื่องสำคัญต้องการรายงานต่อท่านเจ้าเมืองน่ะ” เหอยาโถวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนกล่าวต่อ “หรือรายงานต่อพ่อของเจ้าก็ได้!”
หยุนเชวี่ยพยักหน้าเสริม อันที่จริงนางอยากถามท่านปลัดอำเภอว่าเขาเป็นขุนนางขั้นใด มีอำนาจมากกว่าเจ้าเมืองหรือไม่?
หยุนเชวี่ยรู้สึกว่าหากเอ่ยออกไปจะดูเหมือนคนโง่งม ดังนั้นนางจึงปิดปากเงียบและพยักหน้าเห็นด้วยกับเหอยาโถว
“เรื่องอะไรหรือ?” เจ้าอ้วนเฉียนเอ่ยถาม
เหอยาโถวมองหยุนเชวี่ยสลับกับต้าจี๋อย่างเงียบ ๆ
“เจ้าอ้วน ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากบอกเจ้าหรอกนะ เพียงทว่าข้าบอกตอนนี้ไม่ได้ หากเจ้าตามไป เจ้าจะได้รู้เอง” ดวงตาสีเข้มของหยุนเชวี่ยฉายแววมุ่งมั่น
“มันเป็นเรื่องดีแน่นอน!” เหอยาโถวกล่าวเสริมอีกหนึ่งประโยค
“เอาเช่นนั้นก็ได้!” เจ้าอ้วนเฉียนพยักหน้าพร้อมตอบตกลงอย่างร่าเริง “ข้าจะกลับไปบอกท่านพ่อ และให้ท่านพ่อไปแจ้งท่านเจ้าเมือง เขาต้องรับแจ้งเรื่องของพวกเจ้าแน่!”
หลังจากพูดจบ ลูกจ้างของร้านก็ยกบะหมี่ไก่มาวางบนโต๊ะพอดี พลันใดนั้นหยุนเชวี่ยพลันสังเกตเห็นห่อบ๊วยดองน้ำตาลสองห่อที่เจ้าอ้วนเฉียนซื้อมา
“พ่อค้าขายบ๊วยดองน้ำตาลบอกว่าบ๊วยของพวกเขาอร่อยที่สุดในเมือง ข้าไม่เชื่อจึงตั้งใจซื้อมาสองห่อเพื่อลองชิม” เจ้าอ้วนเฉียนเกรงว่าหยุนเชวี่ยจะเข้าใจผิดจึงรีบอธิบาย
“หึ พวกเขากล้าโอ้อวดว่าบ๊วยของตนอร่อยที่สุดในเมืองด้วยหรือ?” เหอยาโถวกลอกตาอย่างดูแคลน “ลอกเลียนแบบสูตรการดองของหยุนเชวี่ยทั้งนั้น!”
หลังจากพูดจบ เหอยาโถวหยิบบ๊วยดองน้ำตาลหนึ่งลูกเข้าปากก่อนพ่นออกมา “แค่ก ๆ ๆ!”
“เป็นอะไรไป สำลักหรือ?” หยุนเชวี่ยตบหลังเหอยาโถวเบา ๆ ขณะที่เจ้าอ้วนเถียนยื่นแก้วน้ำมาให้
“แค่ก ๆ ๆ” เหอยาโถวรับแก้วน้ำพลางดื่มมันลงไปก่อนวิ่งไปที่หน้าประตูร้านและอ้วกออกมา เขาตะโกนเสียงดังพร้อมเผยสีหน้าไม่สู้ดี “เหตุใดในห่อบ๊วยดองน้ำตาลถึงมีเม็ดทรายอยู่ด้วย!”
“หา? มีเม็ดทรายอยู่ในห่อบ๊วย? มันจะไม่เป็นอันตรายต่อลูกค้าคนอื่นรึ?” ต้าจี๋กล่าวด้วยความโมโห “เหตุใดเด็กสองคนนั้นถึงวิ่งเร็วนัก! ข้าจะไปตามตัวพวกเขากลับมาเดี๋ยวนี้แหละ!”
หยุนเชวี่ยรีบแกะห่อบ๊วยเพื่อสำรวจ หลังจากเพ่งมองอย่างพินิจ นางจึงพบกับทรายเม็ดเล็กปะปนอยู่ในบ๊วยดองเกือบครึ่ง และเมื่อสำรวจอีกห่อหนึ่ง ไม่เพียงแต่มีทรายเท่านั้น ทว่ายังมีน้ำหนักน้อยกว่าหนึ่งในสามของห่อแรกอีกด้วย หลังจากครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน หยุนเชวี่ยจึงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ต้าจี๋วิ่งวนในตลาดไปมาอยู่สองสามรอบ ทว่าไม่เห็นแม้แต่เงาของต้าจ้วงและสัวจื่อ เขาจึงกลับมาสมทบด้วยความโกรธเคือง
“อย่าให้ข้าเจอไอ้เด็กเหลือขอสองคนนั้นอีกล่ะ ข้าไม่ปล่อยพวกมันไว้แน่!”
“ฟันของข้าเกือบหัก” เหอยาโถวสัมผัสใบหน้าขาวผ่องของตนด้วยความโมโห “นี่เป็นการทำลายชื่อเสียงของตนเองชัด ๆ พวกเขาทำกิจการนี้ได้ไม่นานแน่นอน!”
หลังเดินทางออกจากมณฑลอันผิง ระหว่างทางกลับหมู่บ้านไป๋ซี หยุนเชวี่ยก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามเหอยาโถว “เจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้ช่วยนายอำเภอเป็นขุนนางขั้นใด?”
เหอยาโถวมองนางด้วยสายตาประหลาดใจ “เจ้าไม่รู้จักตำแหน่งผู้ช่วยนายอำเภอหรือ?”
หยุนเชวี่ยงุนงง
“ข้าไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเป็นขุนนางขั้นใด ทว่าคงไม่ใหญ่กว่าตำแหน่งเจ้าเมืองกระมัง”
หยุนเชวี่ย “ตำแหน่งเจ้าเมืองเป็นขุนนางขั้นเจ็ดใช่หรือไม่?”
เหอยาโถว “ใช่”
หยุนเชวี่ย “แล้วผู้ช่วยนายอำเภออยู่ต่ำกว่าขั้นเจ็ดหรือ?”
เหอยาโถว “ถูกต้อง!”
หยุนเชวี่ย…
อย่างไรก็ตามขุนนางระดับกลางและระดับสูงล้วนฉลาดกว่าชาวบ้านหัวกะทิเช่นพวกนางแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นแม้แต่ท่านป้าที่ชื่นชมงานเทศกาลในมณฑลอันผิงยังต้องพึ่งพาบิดาของเจ้าอ้วนเฉียน!
เรื่องนี้นับว่าสำเร็จไปแล้วหนึ่งในสามส่วน หยุนเชวี่ยและเหอยาโถวต่างมีความสุขไม่น้อยจึงสาวเท้ากลับหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว
เรือนตระกูลหยุน
หลังจากบรรยากาศภายในเรือนอึมครึมมาหลายวัน ในที่สุดอารมณ์ของผู้เฒ่าหยุนก็ดีขึ้นเล็กน้อย
เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง พวกเขามอบหมายให้เถียนตวนสื่อ โฉ่วเหือและโฉ่วช่วนขายลูกบ๊วยดองน้ำตาลให้ได้มากกว่าสิบห่อ แม้จะเป็นจำนวนที่ไม่มากนัก ทว่าก็ยังดีกว่าเมื่อวาน
ผู้เฒ่าหยุนสัมผัสได้ถึงน้ำหนักของเหรียญเงินนับสิบเหรียญในมือ เขาพลันรู้สึกราวกับประกายความหวังในชีวิตเปล่งประกายขึ้นมาอีกครั้ง
หยุนลี่เซี่ยวเดินกระทืบเท้าเข้าไปใกล้บิดาพลางเผยสีหน้าไม่พอใจ “ท่านพ่อจะไม่แบ่งให้ข้าบ้างหรือ? ข้าเป็นคนคอยสั่งการเด็กพวกนั้นนะขอรับ!”
“วันนี้ขายได้หกสิบเหรียญเท่านั้น ไม่มีแม้แต่กำไร” ผู้เฒ่าหยุนมองหยุนลี่เซี่ยวด้วยสายตาเย็นชาขณะเก็บถุงเงินไว้ในสาบเสื้อ
“หนึ่งวันได้เงินหกสิบเหรียญ สิบวันได้เงินหกร้อยเหรียญ หนึ่งเดือน…” หยุนลี่เซี่ยวนับนิ้วก่อนตบต้นขา “หนึ่งเดือนก็จะได้สองตำลึงเงินครึ่ง! ท่านจะแบ่งให้ข้าเท่าใดกัน?”
สำหรับเงินจำนวนสองตำลึงเงินครึ่ง หากใช้จับจ่ายในหอส้วยเซียงแล้ว คงไม่พอใช้เป็นแน่ ทว่าหากใช้ชีวิตอยู่ในชนบท ต่อให้กินเนื้อสัตว์สักสิบมื้อและต่อให้ครอบครัวที่มีสมาชิกนับสิบคนก็ไม่มีทางที่จะใช้เงินจำนวนสองตำลึงเงินครึ่งหมดภายในสองเดือน แล้วนับประสาอะไรกับเงินสองตำลึงเงินครึ่งที่ได้มาโดยไม่ต้องทำอะไรเล่า
“รอจนกว่าจะได้เงินทุนคืนทั้งหมดแล้วกัน!” ผู้เฒ่าหยุนลุกยืนขึ้นและเดินจากไปโดยไม่สนใจหยุนลี่เซี่ยว
หยุนลี่เซี่ยวยังคงฝันเฟื่อง เขาจึงเดินตามหลังบิดาพร้อมเสนอความคิดเห็น “ท่านพ่อ ข้าคิดว่าพวกเราควรซื้อลูกบ๊วยเพิ่มและจ้างเด็กอีกยี่สิบคน หากทำเช่นนี้ เราจะหาเงินได้มากขึ้นวันละหนึ่งเท่าตัวโดยที่ไม่ต้องเสียแรง แค่รอนับเงินอยู่ที่บ้านก็พอ… ท่านพ่อคิดเห็นว่าอย่างไรขอรับ?”