ตอนที่ 190 สืบหาศัตรู

แม่นางจ้าวรู้ดีว่าพวกเถียนตวนสื่อเข้าไปทำอะไรในเมือง คาดว่านางคงพูดเรื่องนี้ภายในห้องชั้นบนแล้ว

ถึงกระนั้นเด็กนับสิบคนเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกทั้งวันทว่ากลับไม่ได้เงินจากการขายแม้แต่เหรียญเดียว… ไร้ประโยชน์สิ้นดี

หยุนลี่เซี่ยววางมาดจอมบงการสบถด่าทอจนริมฝีปากและลำคอแห้งผาก ในขณะที่เด็กทุกคนก้มหน้าไม่เอื้อนเอ่ยวาจาใด

สุดท้ายแล้วสองพี่น้องโฉ่วเหือและโฉ่วช่วนทำได้เพียงตกปากรับคำซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าพรุ่งนี้พวกเขาจะทำงานหนักและหาเงินมาให้ได้ คนที่เหลือจึงรีบพยักหน้าเห็นด้วยและยอมรับผิดแต่โดยดีเพื่อจบปัญหา

“เจ้าเด็กเหลือขอ ข้าไม่จ่ายค่าจ้างให้เจ้าแน่! หากพรุ่งนี้กล้าเล่นแง่อีก ข้าหักขาพวกเจ้าทิ้งเสีย!” หลังจากที่เด็กทุกคนแยกย้ายกลับบ้าน หยุนลี่เซี่ยวยังยืนด่าทออยู่กลางลานบ้าน

ตกดึก

ปีกตะวันตกของบ้าน

เสี่ยวอู่อ่านหนังสืออย่างตั้งใจภายใต้แสงไฟจากตะเกียงน้ำมัน ขณะที่หยุนเชวี่ยถือถุงเงินพร้อมนับเหรียญด้วยดวงตาเป็นประกายอยู่อีกด้านหนึ่งของห้อง

“พี่สาวลองทายดูสิว่าข้าเก็บเงินได้เท่าใด?” นางใช้ข้อศอกสะกิดหยุนเยี่ยนที่จดจ่ออยู่กับการปักผ้า

“อืม… ต้องเก็บได้ประมาณสี่หรือห้าร้อยเหรียญแน่!” หยุนเยี่ยนมองไปยังกองเหรียญที่วางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบอยู่บนโต๊ะ

“เก็บได้เกือบแปดร้อยเหรียญแล้ว…” หยุนเชวี่ยใช้มือป้องปากพลางกระซิบข้างหูของหยุนเยี่ยน

“เหตุใดถึงเยอะเพียงนี้?”

“ข้าเก็บออมไว้น่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า…” นางโน้มกายลงไปใกล้โต๊ะอย่างมีความสุขก่อนกวาดเหรียญเข้ามาไว้ในอ้อมแขนพลางเผยสีหน้าราวกับคนเมาสุรา “เฮ้ มีแต่คนบอกว่าเหรียญเหล่านี้มีกลิ่นเหม็น ทว่าเหตุใดข้าถึงได้กลิ่นหอมเล่า?”

เสี่ยวอู่พลิกหน้ากระดาษพลางเหลือบมองพี่สาวด้วยหางตาอย่างเงียบ ๆ พร้อมยกยิ้มมุมปาก

ท่าทางโลภมากของพี่รองช่าง… แปลกตา!

“พี่สาว ๆ ท่านลองดมดูสิ” หยุนเชวี่ยกระตุกแขนเสื้อของหยุนเยี่ยน

หยุนเยี่ยนไม่มีทางเลือก นอกจากโน้มตัวเข้าไปดมเหรียญเหล่านั้นอย่างระมัดระวัง ทว่านางสัมผัสไม่ได้ถึง ‘กลิ่นหอม’ ที่หยุนเชวี่ยกล่าวอ้าง

“เงินก็คือเงิน มันจะมีกลิ่นได้อย่างไรอีกเล่า?”

“แน่นอนว่ามันเป็นกลิ่นของความสบายใจ กลิ่นของบ้านหลังใหญ่ กลิ่นของความร่ำรวยและความมั่งคั่ง ฮ่าฮ่าฮ่า…”

หยุนเยี่ยนนิ่งอึ้ง

“สาวน้อย แม่กับพ่อของเจ้าล้วนมีนิสัยพอเพียง ไม่รู้ว่าเจ้าได้นิสัยตระหนี่มาจากผู้ใด?” แม้แม่นางเหลียนจะพูดเช่นนี้ ทว่านางก็อดไม่ได้ที่จะเผยแววตารักใคร่เอ็นดู

หยุนเชวี่ยใช้นิ้วม้วนปลายผมพลางครุ่นคิดก่อนกล่าวคำเบา “มันอาจถูกส่งมาจากท่านย่าผ่านรุ่นสู่รุ่นน่ะเจ้าค่ะ!”

หลังจากพูดจบ หยุนเชวี่ยก็แลบลิ้นออกมาพร้อมเหลือบมองหยุนลี่เต๋อที่กำลังตรวจสอบส่วนชำรุดของหน้าไม้ด้วยสายตาซุกซน

“พูดจาเหลวไหลอีกแล้ว…” แม่นางเหลียนกลอกตาพลางจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่ง

“ท่านแม่ ได้โปรดเย็บถุงเงินอันใหม่ให้ข้าด้วย ดูสิ… มันใกล้ขาดเต็มทนแล้วเจ้าค่ะ” หยุนเชวี่ยชี้ไปยังถุงเงินซอมซ่อพร้อมพึมพำ “ถุงเงินขาดไม่เป็นมงคล เงินจะรั่วไหล!”

แม่นางเหลียนหัวเราะ “อายุยังน้อย ไปเรียนพูดเช่นนี้มาจากที่ใดกัน?”

“ถุงเงินใบใหม่ไม่ต้องใหญ่มากนะเจ้าคะ รอให้ข้าเก็บเงินได้มากกว่านี้แล้วจะไปแลกเป็นตำลึงเงิน จากนั้นแลกเป็นตั๋วแลกเงิน ฮี่ฮี่ฮี่…”

แสงไฟในห้องวูบไหว เสียงหัวเราะของสามคนแม่ลูกดังขึ้นเป็นระยะ

หยุนลี่เต๋อนั่งอยู่ด้านนอกบ้าน มือหยาบกระด้างของเขาลูบหน้าไม้เบา ๆ เมื่อหันมองเข้าไปในห้อง หยุนลี่เต๋อก็เห็นเงาของภรรยาและลูกน้อยสะท้อนอยู่บนหน้าต่าง ความรู้สึกอบอุ่นและอ่อนโยนพลันแล่นเข้ากอบกุมจิตใจของเขาทันที

วันรุ่งขึ้น

หยุนเชวี่ยออกเดินทางแต่เช้าตรู่ เช่นเดียวกับเสี่ยวอู่ที่ตื่นมาเพื่ออ่านหนังสือ ในขณะที่หยุนลี่เต๋อออกไปทำงานในไร่ ทุกคนในครอบครัวต่างเต็มไปด้วยความหวังในชีวิต

เมื่อวานนี้เจ้าอ้วนเฉียนบอกกับหยุนเชวี่ยว่าเขาอยากพบนางที่ตลาดและจะไปรออยู่ที่นั่นก่อนเวลานัดหมาย

หลังจากยืนรออยู่ครู่ใหญ่ เจ้าอ้วนก็พบว่าภายในเมืองแห่งนี้มีพ่อค้าแม่ค้าขายบ๊วยดองน้ำตาลจำนวนมาก เขาจึงเดินไปสำรวจร้านที่ขายอยู่ด้านหน้าก่อนสำรวจร้านที่ตั้งอยู่ถัดไป พ่อค้าและแม่ค้าเหล่านั้นบ้างเดินเร่ขายผู้เดียว บ้างเกาะกลุ่มกันสองหรือสามคน

“บ๊วยดองน้ำตาลขอรับ บ๊วยดองน้ำตาลมาขายแล้ว… บ๊วยรสเปรี้ยวอมหวานอร่อยที่สุดในเมือง…”

เจ้าอ้วนเฉียนพลันนึกถึงเรื่องที่เสี่ยวส้วยเอ๋อและชีจินกล่าวเมื่อวานนี้ว่ามีกลุ่มคนในหมู่บ้านจงใจแย่งธุรกิจบ๊วยดองน้ำตาล เขาตัดสินใจจะสืบหาตัวศัตรูให้หยุนเชวี่ยจึงกวักมือเรียกพ่อค้าที่อยู่ใกล้ ๆ “เฮ้ พ่อค้าขายบ๊วย…”

เมื่อต้าจ้วงและสัวจื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นคุณชายน้อยที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าราคาแพงจึงรีบปรี่เข้าไปหาทันที

“บ๊วยดองน้ำตาลหนึ่งห่อราคาเท่าใด?” เจ้าอ้วนเฉียนชี้ไปที่ตะกร้าของพวกเขา

ต้าจ้วงดวงตาเป็นประกายพลางหยิบห่อบ๊วยดองน้ำตาลออกมาอย่างรวดเร็ว “หกเหรียญขอรับ บ๊วยดองน้ำตาลของเรามีราคาเพียงหกเหรียญ!”

ต้าจี๋เห็นว่าคุณชายน้อยต้องการซื้อบ๊วยดองน้ำตาลจึงล้วงมือเข้าไปหยิบถุงเงินในสาบเสื้อ ทว่าเมื่อได้ยินราคาก็หยุดชะงักพร้อมเอ่ยถาม “คนอื่นขายเพียงห้าเหรียญ เหตุใดเจ้าถึงขายแพงนัก?”

ต้าจ้วงหยิบห่อบ๊วยออกมาก่อนยื่นไปตรงหน้าเจ้าอ้วนเฉียนด้วยสีหน้าเรียบเฉยพร้อมคุยโวโอ้อวด “บ๊วยดองน้ำตาลของข้าเป็นบ๊วยที่อร่อยที่สุดในเมือง หามีผู้ใดเทียบได้ไม่ หากไม่เชื่อก็ซื้อไปลิ้มลองสักห่อหนึ่งสิ!”

เจ้าอ้วนส่งสายตาเป็นสัญญาณให้ต้าจี๋ ขณะที่ต้าจี๋กำลังจะควักเงินออกมา สัวจื่อที่ยืนอยู่ด้านข้างก็แสดงสีหน้าไม่พอใจก่อนเดินเข้าไปยืนขวางหน้าต้าจ้วง “เจ้าเรียกข้าไม่ใช่หรือ คุณชายต้องซื้อของข้าสิ บ๊วยดองน้ำตาลของข้าก็เหมือนกับของเขานั่นแหละขอรับ!”

“เขาเรียกข้าต่างหาก เจ้าพูดจาเหลวไหลอย่างนี้ได้เช่นไร!” ต้าจ้วงอาศัยความได้เปรียบเรื่องความสูงผลักสัวจื่ออย่างเต็มแรง

สัวจื่อไม่ยอมอ่อนข้อ “ขายบ๊วยดองน้ำตาลเหมือนกัน ทว่าข้าลดให้เหลือห้าเหรียญ! ซื้อของข้าสิ!”

“ข้าลดให้เหลือห้าเหรียญเช่นกัน!”

ทั้งสองคนมีปากเสียงกันเพื่อแย่งชิงเงินจากเจ้าอ้วนเฉียนอย่างไม่มีใครยอมใคร ต้าจี๋จึงกำเหรียญในมือแน่นเพราะไม่รู้จะมอบให้ผู้ใด

“หยุดทะเลาะกันได้แล้ว” เจ้าอ้วนโบกมือด้วยความใจกว้าง “ข้าจะซื้อบ๊วยของพวกเจ้าคนละหนึ่งถุง… ต้าจี๋ จ่ายเงิน!”

หลังจากนั้นต้าจี๋จึงรับห่อบ๊วยดองน้ำตาลมา เขาจ่ายเงินให้ต้าจ้วงและสัวจื่อคนละห้าเหรียญก่อนเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

“เจ้าเด็กสองคนนี้อวดอ้างสรรพคุณเกินจริง” ต้าจี๋มอบห่อบ๊วยให้เจ้าอ้วนเฉียน

เจ้าอ้วนเฉียนเปิดห่อบ๊วยออกดู ทว่ายังไม่ทันหยิบเข้าปาก ไหล่ของเขาก็ถูกสะกิดจากด้านหลัง เจ้าอ้วนเฉียนจึงหันไปมองก่อนสะดุ้งตัวโยน

“เชวี่ยเอ๋อ” เจ้าอ้วนเฉียนฉีกยิ้มจนดวงตากลายเป็นเส้นตรง

“เจ้ารอนานแค่ไหนแล้ว!” หยุนเชวี่ยเดินไปหยุดอยู่ด้านข้างเขา เมื่อเทียบกับร่างอ้วนกลมของเจ้าอ้วนเฉียนแล้ว นางเปรียบเสมือนกระต่ายตัวน้อยที่วิ่งไปรอบ ๆ ภูเขาลูกเล็ก

“แค่ครู่เดียวน่ะ” เจ้าอ้วนเฉียนชี้ไปยังภัตตาคารหลงชิงที่ตั้งอยู่กลางตลาด “เชวี่ยเอ๋อ วันนี้ข้าจะเลี้ยงไก่ย่างเจ้าเอง”

เมื่อเหอยาโถวที่เดินอยู่ด้านหลังได้ยินดังนั้นจึงเบิกตากว้างพร้อมโบกมือปฏิเสธ “ไม่กินไก่ย่าง… กินอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ไก่ย่าง!”

“เขาเป็นอะไรไป?” เจ้าอ้วนเฉียนเอ่ยถามด้วยความสับสน

“อ๋อ ดูเหมือนว่าเมื่อวานเขากินไก่ย่างมากเกินไป สงสัยจะเบื่อแล้ว…”

“พวกเจ้าสองคนอยากกินอะไร เลือกร้านอาหารได้ตามใจชอบเลย วันนี้ข้าเลี้ยงเอง!” เจ้าอ้วนตบหน้าอกอย่างภาคภูมิ

“ไม่ได้ วันนี้พวกข้าสองคนต้องเลี้ยงเจ้าสิ พวกเรามีเรื่องจะขอความช่วยเหลือจะให้เจ้าจ่ายเงินได้อย่างไร” หยุนเชวี่ยส่ายศีรษะ

“เราตกลงกันแล้วไม่ใช่หรือว่าข้าจะพาพวกเจ้าไปกินและเที่ยวเล่นในเมือง…” เจ้าอ้วนผิดหวังเล็กน้อย เขาพลันรู้สึกว่าเชวี่ยเอ๋อสุภาพกับตนเกินไปแล้ว