ภายในโลกเดิม

ณ เทือกเขารกร้าง

สถานที่แห่งนี้อยู่ใกล้เคียงกับทะเลทราย ภูมิอากาศแห้งแล้ง สภาพแวดล้อมเลวร้ายเกือบทั้งปี ทุกหนแห่งฟุ้งไปด้วยเศษหินและเม็ดทราย

บนภูเขาเปลือยเปล่า นอกเหนือไปจากหินที่สามารถถูกความร้อนจากแสงแดดแผดเผามาหลายปีแล้ว ก็ยังมีพืชทนความร้อนบางชนิดขึ้นอยู่ประปราย

ทว่ากลับไร้ซึ่งสิ่งสัตว์ใดๆ ภายใต้แสงอาทิตย์อันร้อนแรงนี้

ในอากาศเบื้องบน

แบรี่ เสี่ยวเหมียว และกู่ฉิงซานปรากฏตัวขึ้น

“สุสานแห่งโลกถูกซ่อนอยู่ในภูเขาลูกนี้งั้นเหรอ?” แบรี่เอ่ยถาม

ขณะรับฟัง กู่ฉิงซานก็สั่งการในความคิดของเขา

เจ้าตัวเปิดใช้งานสกิลการค้นหาแห่งปาฏิหาริย์ อย่างเงียบๆ

บนหน้าต่างเทพสงคราม แต้มพลังวิญญาณลดลงไปหลายร้อยแต้มทันที

…แต่มันก็แค่ไม่กี่ร้อยแต้ม เพียงเหลือบตามอง กู่ฉิงซานก็ไม่สนใจมันอีกต่อไป

เพราะเวลานี้ ตัวเขาเริ่มบังเกิดถึงความรู้สึกอันยอดเยี่ยม

เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนบางอย่างจากในความว่างเปล่า

ความผันผวนนี้ได้เชื่อมโยงเข้าด้วยกันกับจิตวิญญาณของกู่ฉิงซาน ส่งผลให้ในจิตใจของเขาตระหนักถึงมันได้อย่างชัดเจน

ใช่แล้วล่ะ สถานที่แห่งนี้มีการรังสรรค์ของทวยเทพอยู่อย่างแน่นอน แม้ว่าเขาจะยังไม่ทราบว่ามันคือสิ่งใด แต่มันอยู่ที่นี่แน่ๆ

ส่วนตำแหน่งก็คือ…

สายตาของกู่ฉิงซานเลื่อนตกลง

‘สมควรที่จะถูกฝังอยู่ใต้ภูเขาลูกนี้’

ในวินาทีต่อมา เสี่ยวเหมียวก็ชี้ไปทางภูเขาและกล่าว “ตำแหน่งโดยประมาณ น่าจะอยู่ด้านล่างของภูเขา”

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะแอบสรรเสริญสกิลลึกลับ

การค้นหาแห่งปาฏิหาริย์ไม่ใช่สกิลประเภทต่อสู้

แต่ด้วยเทคนิคของมัน กลับสามารถอำนวยความสะดวกสบายในการระบุตำแหน่งสิ่งที่เหล่าทวยเทพทิ้งไว้เบื้องหลังในโลกเก้าร้อยล้านชั้น ส่งผลให้การค้นหาเป็นไปอย่างง่ายดาย

“ดูเหมือนว่าจะจะถูกซ่อนอยู่ลึกนิดหน่อย”

เสี่ยวเหมียวพิจารณาตำแหน่ง และยังคงพูดต่อ

“ปล่อยให้เป็นหน้าที่พี่เอง” แบรี่เอ่ยแทรก

เขาง้างฝ่ามือขึ้น และสับเบาๆ ลงผ่านอากาศ

ตูม…!

ผืนดินสั่นสะเทือน

ตะกอนทรายปลิวว่อน

ใจกลางของภูเขาทั้งลูก ถูกแยกจากกันเป็นสองส่วนทันที

แต่ยังไม่จบแค่นั้น ภูเขาไม่สามารถทานทนต่อแรงสับขนาดใหญ่นี้ได้ มันไม่เพียงแยกเป็นสอง แต่ยังถล่ม หงายลงตามทิศทางตรงกันข้าม

และแล้ว ฉากอันดูลึกลับก็ปรากฏขึ้นต่อสายตาของทั้งสาม

มันเป็นใบหน้าที่ใหญ่โตมากๆ

ทันทีที่ต้องกับแสงแดดบนท้องฟ้า ใบหน้าใหญ่ก็ราวกับกลายเป็นสดใส คล้ายมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง

ทั้งสามคนตกตะลึง แต่ขณะเดียวกันก็เริ่มสำรวจมันอย่างระมัดระวัง

เสี่ยวเหมียว “ที่แท้ก็เป็นรูปปั้นทองแดงของเทพวิญญาณนี่เอง ทำเอาฉันกลัวเสียแทบแย่”

แบรี่ขมวดคิ้ว “ในสุสานแห่งโลก เทพมักจะทิ้งรูปลักษณ์ในยามปรากฏตัวของพวกเขาเอาไว้ แต่พี่ไม่เคยเห็นเทพที่เลือกจะทิ้งรูปปั้นของตัวเองเอาไว้เลย มันเป็นเรื่องยากที่จะพบเจอจริงๆ”

“ผมเคยได้ยินมาว่าเหล่าทวยเทพได้สร้างมนุษย์ขึ้นโดยอ้างอิงตามลักษณะของตัวเอง อย่างไรก็ตาม ใบหน้าของพวกเขาไม่เคยได้รับการเปิดเผยต่อสาธารณะ แล้วพวกคุณรู้ได้อย่างไรว่ารูปปั้นทองแดงนี้คือรูปสลักของทวยเทพ?” กู่ฉิงซานถาม

“เพราะสีหน้าของเขา”

“สีหน้างั้นเหรอ?”

“ใช่ ตามเอกสารโบราณจากทางสมาคมผู้พิทักษ์หอคอยสูง วัตถุโบราณทั้งหมดที่ถูกเหลือทิ้งไว้ ตราบใดที่มันเป็นสิ่งที่แสดงถึงการปรากฏตัวของเทพวิญญาณ ลักษณะของพวกมันจะต้องเต็มไปด้วยความเมตตา”

“ความเมตตา…”

กู่ฉิงซานสำรวจลงบนใบหน้าทองแดง

เห็นแค่เพียงใบหน้าของมนุษย์ ที่กำลังแสดงออกถึงความเมตตาอย่างลึกล้ำ จ้องมองมายังคนทั้งสามบนท้องฟ้าอย่างเงียบๆ

เมื่อถูกจ้องมองโดยใบหน้าเทพ ในหัวใจของกู่ฉิงซานก็สัมผัสถึงห้วงอารมณ์ที่มิอาจต้านทานได้

“ในทุกวัตถุโบราณของทวยเทพ จะมีลักษณะการแสดงออกแบบนี้ทั้งหมด” แบรี่กล่าวต่อ

“บางคนบอกว่ามันคือการแสดงออกถึงความเห็นอกเห็นใจ ซึ่งนี่คือข้อพิสูจน์ถึงความเมตตาของทวยเทพผู้สร้างชีวิต แต่ฉันมักจะคิดว่าตรงส่วนนี้มันไม่สมเหตุสมผลเลย” เสี่ยวเหมียวกล่าว

“ทำไมล่ะ?” แบรี่ถามด้วยความประหลาดใจ เขาไม่เคยได้ยินน้องตัวเองพูดเรื่องนี้มาก่อนเลย

เสี่ยวเหมียว “บอกไม่ถูกเหมือนกัน อาจเพราะน้องคิดว่าความเมตตาสมควรที่จะเปี่ยมไปด้วยพลังและส่งผลให้คนอื่นเกิดความรู้สึกเช่นเดียวกัน แต่น้องเคยได้เห็นพวกมันในม้วนภาพโบราณมาก่อน และสีหน้าของพวกรูปปั้น กลับไม่ได้ทำให้น้องรู้สึกแบบนั้นเลย”

กู่ฉิงซานกล่าวขึ้นทันใด “มันแปลกจริงๆ ด้วย เพราะพอมองรูปปั้นนี้ดูดีๆ แล้ว ผมก็เกิดความรู้สึกว่าไม่อยากจะมองมันอีกต่อไป”

“ใช่ไหมล่ะ” เสี่ยวเหมียวคิดเกี่ยวกับมันและกล่าว

กู่ฉิงซาน “ผมว่าอันที่จริงแล้ว มันน่าจะเป็นส่วนผสมของ อารมณ์ด้านลบหลายอย่าง เช่น ความสิ้นหวัง ความเศร้าโศก และความกลัว ดังนั้นจิตใต้สำนึกของพวกเราเลยไม่อยากจะให้พวกเราจ้องมองมันอีก”

“อันที่จริงแล้ว ประเด็นนี้ก็เคยถูกหยิบยกขึ้นมาเหมือนกัน แต่ก็ถูกล้มล้างลงไปอย่างรวดเร็ว” เสี่ยวเหมียวกล่าว

“ทำไมมันถึงได้ถูกล้มล้างไป?”

“เพราะเทพวิญญาณเป็นผู้สร้างโลก และเป็นผู้สร้างสิ่งมีชีวิตตลอดทั้งหมื่นโลกา เทพวิญญาณมีพลังอำนาจอย่างหาที่ใดเปรียบ ยามเมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตทั้งมวล พวกเขาสามารถใช้กฎเกณฑ์แห่งทวยเทพ ในการเปลี่ยนแปลง หรือจัดการสิ่งมีชีวิตทั้งหมดลงได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นเทพวิญญาณจึงเปรียบดั่งผู้ที่มีความรอบรู้และอำนาจทุกอย่างในกำมือ และในเมื่อพวกเขามีอำนาจถึงเพียงนั้น ก็ไม่ควรที่จะมีความรู้สึกเชิงลบใดๆ” เสี่ยวเหมียวอธิบาย

กู่ฉิงซานพยักหน้า

ที่ฟังดูมันก็เข้าท่าอยู่เหมือนกัน

เขาหยุดคิดเกี่ยวกับคำถามนี้ และเริ่มก้มลงดูเบื้องล่างต่อ

เขาสำรวจรูปปั้นเทพอีกครั้ง

รูปปั้นเทพขนาดใหญ่ชิ้นนี้ ทั้งหมดถูกสร้างขึ้นมาจากทองแดงทั้งหมด

ทองแดง…?

เดี๋ยวก่อนสิ วัสดุนี้ดูเหมือนว่าเขาจะเคยเห็นมันที่ไหนมาก่อนรึเปล่า?

ทันใดนั้นเอง กู่ฉิงซานก็พลันนึกได้ถึงร่างใหญ่ที่อยู่มายาวนานกว่าหนึ่งแสน ปี

และไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน กู่ฉิงซานก็พลันย้อนนึกขึ้นได้ถึงอีกเรื่องหนึ่งอย่างกะทันหัน

มันคือในตอนที่เขาสามารถบรรลุภารกิจเทพสงครามได้สำเร็จ และได้ล่วงรู้ถึงความลับ

‘สุสานแห่งโลกเกือบทั้งหมดถูกซุกซ่อนเอาไว้ในโลกหกวิถี ภายในนั้นมีวิธีการช่วยเหลือตนเองที่เทพวิญญาณเหลือทิ้งเอาไว้ให้’

ช่วยเหลือตนเอง…

วิธีการช่วยเหลือตนเอง…

กู่ฉิงซานมักจะมีความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัวใจอยู่เสมอ แต่ระดมสมองคิดอย่างไร เขาก็ยังไม่อาจจับใจความของมันได้เสียที

“พวกเราค่อยๆ ลงไปกันเถอะ ระหว่างทางก็คอยใส่ใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวด้วยก็แล้วกัน” แบรี่เตือน

“ผมเข้าใจแล้ว” กู่ฉิงซานรับคำ

เนื่องจากแบรี่ได้เคยเปิดสุสานแห่งโลกมาแล้วถึงสามแห่ง ดังนั้นเขาจึงมีประสบการณ์มากมาย ในเวลานี้จึงย่อมสมควรฟังที่เขาพูด

ทั้งสามบินลงไปยังใบหน้าทองแดงขนาดใหญ่

เมื่อเทียบใบหน้าทองแดงแล้ว ทั้งสามคนที่กำลังตกลงมามีขนาดเล็กจริงๆ

พวกเขาราวกับใบไม้สามใบ ที่กำลังตกลงสู่ทะเลสาบอันกว้างใหญ่

เมื่อใกล้เข้าไป กู่ฉิงซานก็ได้ค้นพบถึงบางอย่างที่น่าตกใจ!

เพราะขณะที่ทั้งสามกำลังร่อนลง ดวงตาของใบหน้าทองแดงก็เริ่มเบนออกไป

ใบหน้าทองแดงทั้งหมด ได้ทำการปรับทิศทางเล็กน้อย เพื่อที่จะสามารถสังเกตเห็นได้ถึงทั้งสามที่กำลังร่อนลงมา

“มันกำลังเคลื่อนไหวอยู่” กู่ฉิงซานเริ่มตื่นตัว

“ใช่แล้ว ในเมื่อมันเป็นรูปปั้นของเทพวิญญาณ ถ้าอย่างนั้น ก็ย่อมแน่นอนว่ามันจะต้องมีภูมิปัญญาทางจิต มันจะเป็นตัวที่คอยพูดคุย และบอกเล่าเรื่องราวบางอย่างเกี่ยวกับสุสานแห่งโลกในที่นี้แก่พวกเราที่เป็นผู้ค้นพบ” แบรี่กล่าว

เสี่ยวเหมียวช่วยเสริม “วางใจเถอะ ทวยเทพไม่ได้อยู่ในโลกเก้าร้อยล้านชั้นอีกต่อไปแล้ว ตรงหน้านายน่ะเป็นแค่รูปปั้นเท่านั้น”

กู่ฉิงซานผ่อนคลายลง และเริ่มตรวจสอบรูปปั้นทองแดงอีกครั้ง

ทันใดนั้น เขาก็เห็นว่าภายในตาซ้ายของใบหน้าทองแดง กำลังสะท้อนให้เห็นถึงเงาของบุคคลคนหนึ่ง

“แบรี่ เสี่ยวเหมียว พวกคุณดูนั่นสิ!” กู่ฉิงซานกล่าวทันที

ทั้งสองมองไปตามทิศทางที่เขาชี้

“นายเห็นอะไรงั้นเหรอ?” แบรี่ถามด้วยความสงสัย

กู่ฉิงซาน “ลองมองไปที่ตาซ้ายดูเร็วเข้า”

ในสายตาของเขา เห็นแค่เพียงภายในตาซ้ายของใบหน้าทองแดง เงาของบุคคลที่ดูคลุมเครือ กำลังเฝ้ามองทั้งสามคนอย่างระแวดระวัง

แต่แล้วเงาของบุคคลก็เริ่มจ้วงชกตาซ้ายของรูปปั้นทองแดงอย่างบ้าคลั่ง

คล้ายกับว่าเงาของบุคคลกำลังต้องการที่จะออกมาจากตาซ้ายข้างนั้น!

เสี่ยวเหมียวเพ่งมองตาซ้ายของใบหน้าทองแดง และส่ายหัว “ฉันไม่เห็นอะไรเลย”

แบรี่ “แต่มันดูเป็นสายตาที่น่าประทับใจมากจริงๆ นี่นับว่าเป็นผลงานที่โดดเด่นที่สุดในบรรดารูปปั้นเทพที่ฉันเคยเห็นมาเลย”

กู่ฉิงซานมองดูทั้งสอง

เห็นแค่เพียงการแสดงออกของแบรี่กับเสี่ยวเหมียวที่ยังดูปกติดี ราวกับว่ามิได้โกหกใดๆ

ทั้งสองคนเป็นตัวตนทรงอำนาจระดับจ้าววงการ ดังนั้นพวกเขาคงไม่คิดเล่นตลกกับตัวกูฉิงซานด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้เป็นแน่

ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็วาบผ่านเข้ามาในหัวใจของกู่ฉิงซาน

ไม่นะ…

มีแค่ฉันคนเดียวที่สามารถมองเห็นเงาของบุคคลได้เหรอ?

เขาจ้องมองไปยังดวงตาข้างซ้ายของใบหน้าทองแดงอีกครั้ง

ในตาซ้าย เงาบุคคล ดูเหมือนจะสงบลงแล้ว

เงาดังกล่าวหยุดยืนอยู่ภายในนั้นอย่างเงียบๆ

อย่างไรก็ตาม ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน แต่กู่ฉิงซานรู้สึกได้ว่า แม้จะมากันสามคน ทว่าเงาบุคคลกลับจ้องมองมาที่เขาเพียงคนเดียว…

………………………………….