ตอนที่ 100 ไกลหอมใกล้เหม็น

เย่ฉูฉู่ก็พอจะเข้าใจความหมายของหล่อน เธอมองอีกฝ่ายพลางกล่าว “นี่เธอกำลังคิด…”

เฮ่อซงจือก็ไม่ได้ปฏิเสธ “เธอเองก็เห็นแล้วไม่ใช่เหรอว่าแม่ม่ายหม่าใช้ช่วงเวลาเหล่านั้นยังไง ฉันรู้สึกว่า…ใช้ชีวิตด้วยตัวเองยังดีเสียกว่า”

ก่อนหน้านี้หล่อนไม่ได้มีความคิดนี้ ทั้งยังกังวลใจแทนเย่ฉูฉู่ที่ต้องแยกบ้าน ถึงอย่างไรถ้าแยกบ้านออกไปหล่อนก็ต้องจัดการเรื่องต่างๆ เอง มีเรื่องให้จัดการไม่น้อยเลยจริง ๆ

ภายหลังหล่อนกลับพบว่าเย่ฉูฉู่ใช้ชีวิตได้ไม่เลวเลย มีชีวิตที่ดีและเป็นอิสระกว่าตอนที่ยังไม่แยกบ้านเสียอีก

เมื่อได้มองแม่ม่ายหม่าอีกครั้ง ก็พบว่าของที่คนในหมู่บ้านนำมาให้ ไม่ว่าจะรับประทานอะไร ดื่มอะไรหรือเก็บอะไรก็ต้องฟังที่แม่ม่ายหม่าบอก แม้แต่แม่สามีของแม่ม่ายหม่าก็ยังต้องได้รับความยินยอมจากแม่ม่ายหม่าก่อนถึงจะนำไปได้

หล่อนจึงนึกถึงชีวิตของตัวเองในตอนนี้ มันไม่ได้ดีเหมือนกับที่ตนเคยคิดไว้แบบนั้นเลย

“เธออยากแยกบ้านเหรอ?” เย่ฉูฉู่ถามออกไปตรง ๆ

“อยากสิ!” เฮ่อซงจือพยักหน้า

หล่อนสามารถจัดการเรื่องในบ้านได้ เหวินจื้อของหล่อนก็มีเงินเดือน ถ้าแยกบ้านแล้วชีวิตของหล่อนต้องไม่เลวร้ายแน่นอน

“ฉันเองก็อยากใช้ชีวิตอย่างอิสระเหมือนกับเธอ แถมไม่ต้องไปเบียดเสียดกับทุกคนด้วย อยากจะทำอะไรก็ไม่สะดวก” เฮ่อซงจืออดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงความอยุติธรรม “ตอนที่ฉันอยู่บ้าน ตอนเช้าไม่ได้นั่งอยู่บนเตียงแค่แป๊บเดียว ขาทั้งสองข้างก็โดนความเย็นจนเป็นหนองแล้ว ขาเย็นเจี๊ยบไปหมด”

เย่ฉูฉู่ขมวดคิ้ว “อะไรกัน? นี่แม่สามีของเธอตั้งกฎกับเธอด้วยเหรอ?”

อย่ามองว่านี่เป็นสังคมใหม่ แต่ก็ยังมีแม่สามีหัวรั้นบางส่วนที่ยังตั้งกฎเกณฑ์กับลูกสะใภ้อยู่

“ก็ไม่ได้ตั้งกฎเกณฑ์อะไรหรอก” เฮ่อซงจือส่ายหน้า “แต่ห้องที่พวกเขาอยู่มันอยู่ตรงข้ามห้องที่พวกเราอยู่ มีแค่ม่านแขวนกั้นไว้ แม่สามีก็เดินเข้า ๆ ออก ๆ ฉันจะกล้านั่งอยู่บนเตียงตั้งแต่เช้ายันบ่ายได้ยังไงกันล่ะ?”

เย่ฉูฉู่กล่าวกับเธอว่า “เธอเองก็อยู่ในกรอบเกินไป ถ้าเปลี่ยนเป็นฉัน หากได้นั่งจริง ๆ ก็คงนั่งทั้งเช้าและบ่ายนั่นแหละ ขอแค่ฉันไม่ทุกข์ใจฉันจะนั่งนานแค่ไหนก็ไม่กลัว”

“เธออาศัยอยู่ในห้องด้านหลังบ้านนี่ ถ้าแม่สามีของเธอไม่มีธุระอะไรก็คงไม่เดินมาดูหรอกว่าเธอจะนั่งอยู่บนเตียงหรือยืนอยู่บนพื้น” เฮ่อซงจือส่ายหน้า

เย่ฉูฉู่เองก็เข้าใจเฮ่อซงจือ

ลองคิดดูว่าถ้าแม่สามีทำงานวุ่น แต่ตัวเองที่เป็นลูกสะใภ้กลับนั่งอย่างมั่นคงอยู่บนเตียง จะมากหรือน้อยก็ยังรู้สึกอึดอัดอยู่ดี

แต่ถ้าแยกบ้านแล้วความรู้สึกก็แตกต่างกัน เพราะแต่ละบ้านก็จะยุ่งอยู่กับเรื่องของตัวเอง

“ฉันแต่งงานมานานขนาดนี้แล้ว นับรวมตอนนี้ที่ท้องอยู่ ยังไม่เคยได้นอนขี้เกียจเลยสักครั้ง ต้องไปหอบฟืนทำอาหารกับพวกเขาตลอด เธอดูมือของฉันสิ? ฉันยังต้องสวมถุงมือเลย” เฮ่อซงจือพูดพลางยื่นมือหยาบกระด้างออกมา “มือหยาบแล้วก็หยาบไปเถอะ แต่ถึงอย่างนั้นในใจฉันก็ยังรู้สึกแย่อยู่ดี”

เย่ฉูฉู่มองแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

การเป็นลูกสะใภ้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ไม่เช่นนั้นจะมีคนพูดว่าเป็นลูกสะใภ้อดหลับอดนอนหลายปีจนกลายเป็นแม่สามีได้อย่างไรล่ะ ในคำว่าอดหลับอดนอนนี้มีความเสียใจอยู่ในนั้นมากขนาดไหนกันนะ?

แต่นี่หล่อนเป็นลูกสะใภ้ของบ้านนั้น ในขณะที่เย่ฉูฉู่นับว่าผ่อนคลายมาก ไม่มีแรงกดดันอะไรเลยจริง ๆ

เทียบกับมือของหล่อนแล้ว มือของอีกฝ่ายยังคงขาวนุ่มอยู่ เทียบกับตอนที่ยังเป็นสาวโสดเผลอ ๆ อาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ

ทุกเช้าก่อนที่จ้าวเหวินเทาออกไป เขาก็จะเผาเตาไว้ให้เรียบร้อย ทั้งยังเติมฟืนไว้ในเตาด้วย เพื่อให้มั่นใจว่าเตาจะร้อนอยู่เสมอ ทำให้ภรรยาของเขาได้นอนจนถึงเช้า

ดังนั้นเย่ฉูฉู่จึงไม่เคยได้ตื่นเช้า ยิ่งไม่ต้องพูดเลยว่าต้องลุกขึ้นมากลางดึก ตอนที่แต่งงานเข้ามาเป็นช่วงฤดูร้อน ตื่นขึ้นมาคราวใดท้องฟ้าก็สว่างแล้ว

เมื่อถึงฤดูหนาวที่มีกลางวันสั้นลง ประกอบกับแยกบ้านกันแล้ว เธอก็ตื่นนอนตอนเจ็ดโมงกว่า ๆ ทุกวัน

“เธอดูมือของเธอสิ แค่ดูก็รู้แล้วว่าพวกเราสองคนแตกต่างกัน ชีวิตของเธอต่างหากล่ะที่เรียกว่าชีวิตแสนสบายไร้กังวล” เฮ่อซงจือจ้องมองมือของเย่ฉูฉู่ก่อนจะถอนหายใจอีกครั้ง

“ก่อนหน้านี้ทำไมฉันไม่เคยได้ยินเธอพูดเรื่องพวกนี้เลยล่ะ?” เย่ฉูฉู่ยิ้ม

“โง่มั้ง” เฮ่อซงจือกล่าว “ก่อนหน้านี้ฉันคิดว่าเป็นลูกสะใภ้ของบ้าน การทำงานคือสิ่งที่ควรทำ ทุกคนก็ใช้ชีวิตแบบนี้กันหมดไม่ใช่เหรอ?”

แต่เมื่อเห็นเย่ฉูฉู่และแม่ม่ายหม่า จู่ ๆ หล่อนก็ตระหนักขึ้นได้ ว่าชีวิตของหล่อนก็งั้น ๆ แหละ

เย่ฉูฉู่กล่าว “ฉันว่าเธอปล่อยวางความคิดของเธอก่อน เรื่องแยกบ้านไม่ใช่สิ่งที่เธอจะทำได้ทันทีที่คิด เรื่องในบ้านยังไม่ถึงเวลาที่เธอจะเป็นใหญ่ ที่สำคัญก็คือต้องดูทัศนคติของพวกพี่ชายครูเสี่ยวจ้าวด้วย รวมถึงพี่สะใภ้ทั้งสองคนของเธอ เธอคิดว่าพวกเธอเหล่านั้นมีทัศนคติยังไงล่ะ?”

อันที่จริงเย่ฉูฉู่ก็ทราบดีว่าเฮ่อซงจือที่อยู่ตรงหน้ามีความคิดอย่างไร

เทียบกับก่อนหน้านี้ที่ทำงานร่วมกันก็ทำงานแบบไม่ได้มีความสุขเลย ได้รับประทานน้อยแต่ยังต้องทำงานอย่างหนัก มีสิทธิ์อะไรกัน?

แต่ตอนนี้ต้องทำกันเองแล้วไม่ใช่เหรอ? ทุกคนต่างก็ทำงานกันด้วยความกระตือรือร้น เพราะต้องทำงานของตัวเองแล้ว ย่อมเกิดความรู้สึกที่แตกต่างกัน

อันที่จริงการที่เฮ่อซงจือใช้ชีวิตอยู่ในบ้านแม่สามีก็นับว่าดีเยี่ยมแล้ว แต่เมื่อเห็นคนที่ใช้ชีวิตดีกว่าจึงเกิดความคิดแบบนี้ขึ้นมา แต่ก็พอจะเข้าใจได้ ใครบ้างจะไม่อยากมีชีวิตที่ดีขึ้น?

“พวกเธอเองก็ต้องคิดอยากจะแยกบ้านอยู่แล้ว เป็นลูกสะใภ้ใครบ้างไม่อยากแยกบ้านออกมาเป็นใหญ่ในบ้านของตัวเอง? ติดที่ว่าไม่เคยมีใครพูดถึงเรื่องนี้” เฮ่อซงจือกล่าว

“แน่นอนว่าต้องไม่กล้าพูดถึงอยู่แล้ว ใครพูดถึงคนนั้นคงต้องโดนพ่อแม่สามีด่าเปิงแน่ แถมยังต้องเสียชื่อเสียงในหมู่บ้านอีก” เย่ฉูฉู่กล่าวเสียงเรียบ เป็นลูกสะใภ้แต่กล้ายุยงให้สามีแยกบ้าน? ก็อย่าหวังว่าจะมีหน้าอยู่ในหมู่บ้านเลย

เรื่องนี้ต่อให้มีความกล้าหาญ แต่ก็ทำได้เพียงแค่พูดในพื้นที่ส่วนตัว ไม่สามารถพูดต่อหน้าโดยเด็ดขาด

“ที่สำคัญก็คือพวกพี่ชายและครูเสี่ยวจ้าวคิดเห็นยังไงต่างหากล่ะ เรื่องนี้เธอเคยคุยกับครูเสี่ยวจ้าวรึยัง?” เย่ฉูฉู่กล่าว

“ยังเลย ตอนนี้จะพูดได้ยังไงล่ะ?” เฮ่อซงจือส่ายหน้า “ต่อให้แยกบ้านกันแล้วก็ยังต้องอยู่ที่นั่นอยู่ดี จะไปมีประโยชน์อะไร อยากแยกบ้านก็ต้องย้ายออกไปเหมือนกับแม่ม่ายหม่าที่มีบ้านเป็นของตัวเอง ทางที่ดีที่สุดคืออยู่ให้ห่างจากแม่สามีสักหน่อย หากอยู่ในรั้วบ้านเดียวกัน ถ้าทางฝั่งนั้นมีการเคลื่อนไหวเมื่อไหร่ก็ยังต้องลุกขึ้นมา ยังไงฉันก็ใช้ชีวิตได้ไม่อิสระอยู่ดี”

เย่ฉูฉู่ยิ้ม “เธอก็ตัดสินใจได้แล้วนี่ แต่ที่เธอพูดมาก็ไม่ผิดนะ อยู่ให้ห่างจากกันสักหน่อย มีของดีอะไรก็ค่อยเอาไปให้ แบบนั้นยิ่งทำให้สนิทกันมากขึ้น”

เฮ่อซงจือเองก็ยิ้มออกมา “อื้อ ไกลหอมใกล้เหม็น[1]สินะ!”

เรื่องในครอบครัวแบบนี้มีแค่ตัวเองที่สามารถแก้ไขได้ เฮ่อซงจือมาหาก็เพื่อพูดคุย ไม่ได้คิดจะให้เย่ฉูฉู่ออกความคิดเห็นอะไร หลังจากพูดคุยเสร็จก็เปลี่ยนไปคุยหัวข้ออื่น

เฮ่อซงจือกระซิบ “เธอรู้หรือเปล่า หลังจากนี้เขาบอกว่ามีลูกได้แค่คนเดียวแล้วนะ ไม่สามารถมีมากกว่านี้ได้แล้ว ถ้ามีลูกชายก็ยังดีหน่อย แต่ถ้าไม่มีลูกชายขึ้นมาจะทำยังไง?”

“ไม่ให้มีแล้วเหรอ?” เย่ฉูฉู่ขมวดคิ้ว

“เหวินจื้อไปประชุมที่สำนักงานใหญ่ของโรงเรียนมา เขาได้ยินครูพวกนั้นพูดถึงเรื่องนี้ แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่าน่ะ” เฮ่อซงจือกล่าว

เย่ฉูฉู่กล่าวว่า “เขาจะมาสนใจว่ามีลูกกี่คนที่ไหนกันล่ะ?”

“ฉันเองก็พูดแบบนี้เหมือนกัน แต่เหวินจื้อบอกว่า จำนวนประชากรมีความสำคัญมาก ต้องควบคุม ถ้ามีมากเกินไปจะไม่สามารถเลี้ยงชีพได้” เฮ่อซงจือส่ายหน้าพลางกล่าว

เย่ฉูฉู่ไม่เข้าใจ มีถ้อยคำแบบนี้ด้วยเหรอ?

เมื่อเห็นท่าทางของเฮ่อซงจือที่เข้าใจเพียงครึ่งเดียว เธอจึงคิดว่ารอให้ได้กลับบ้านแม่เมื่อไรค่อยกลับไปถามพี่สะใภ้สามของเธอดูสักหน่อย

หัวข้อนี้จบลงแล้ว จากนั้นก็พูดคุยถึงเรื่องอื่นต่อ เป็นต้นว่าการแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับประสบการณ์การตั้งครรภ์นิดหน่อย

นอกจากนี้ในทีมก็กำลังจะเชือดหมูแล้ว หลังตั้งตารอคอยมานานขนาดนี้ในที่สุดก็ได้เห็นเนื้อหมูหนึ่งปีสักที

ทีมของพวกเขาเป็นแบบนี้มาตลอด การเชือดหมูในทุกทุกปียืดเวลาออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า ทีมอื่นจัดการจนเสร็จหมดแล้ว พวกเขาก็ยังลากเวลาออกไป จนกระทั่งลากออกไปไม่ได้แล้ว จึงยอมเชือดหมู

แบบนี้ก็แอบมีข้อดีอยู่เหมือนกัน นั่นก็คือหากฆ่าหมูเร็วก็จะได้แบ่งเนื้อเร็วขึ้น ครอบครัวที่หิวโหยก็รับประทานจนหมดเกลี้ยงไปตั้งนานแล้ว เมื่อถึงช่วงปีใหม่ก็ไม่มีอะไรให้รับประทาน ส่วนพวกเขาไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ เพราะตอนที่เชือดหมูก็เป็นช่วงที่กำลังจะขึ้นปีใหม่พอดี

……………………………………………………………………………

[1] ไกลหอมใกล้เหม็น (远香近臭) หมายถึงอยู่ใกล้กันมีแต่ความขัดแย้งบาดหมาง อยู่ไกลกันจึงจะรักกันมากขึ้น

สารจากผู้แปล

เห็นใจเพื่อนของฉูฉู่เลยค่ะที่ต้องอยู่รวมกับบ้านสามีแบบนั้น ขอให้มีโอกาสได้แยกออกมาตั้งตัวด้วยตัวเองนะคะ

มีลูกแฝดก็ดีเหมือนกันนะคะ ได้ทีเดียวสองคนโดยที่ไม่ต้องเสียค่าปรับ

ไหหม่า(海馬)