บทที่ 339: การดีดตัวครั้งสุดท้าย (1)

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

บทที่ 339: การดีดตัวครั้งสุดท้าย (1)

มีสิ่งหนึ่งที่ฉินเย่รู้สึกขอบคุณ

และนั่นก็คือข้อเท็จจริงที่ว่าชาวจีนทุกคนล้วนปฏิเสธที่จะเผยแพร่ความสกปรกของตนสู่สาธารณะ ดังนั้นข่าวเกี่ยวกับความปั่นป่วนในหมู่ราชทูตทั้ง 12 ที่มีต่อการประชุมราชสำนักที่จะถูกจัดขึ้นในปลายปีจึงยังถูกเก็บรักษาอยู่ในอาณาเขตของรัฐบริวารทั้งหมดของยมโลกเท่านั้น

เพราะอย่างไรแล้ว เรื่องภายในก็ควรถูกแก้ไขโดยกลุ่มคนภายใน

ภายในเดือนต่อมา รัฐบริวารที่อยู่รอบแผ่นดินจีนก็เริ่มระดมกำลังอยู่รอบพรมแดนจีนราวกับกระแสน้ำที่พร้อมจะถาโถมเข้าสู่ใจกลางของดินแดน ความตึงเครียดก่อตัวขึ้น ไม่เพียงแต่ในยมโลกแห่งใหม่เท่านั้น แต่แม้แต่เหล่าราชาผีทั้งสามเองก็เช่นกัน

เมืองเป่าอันนั้นตั้งอยู่ห่างจากพรมแดนจีนระยะหนึ่ง และฉินเย่ก็ไม่ได้สนใจสถานการณ์ที่ชายแดนเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้เป็นวันที่ 10 ของเดือนพฤศจิกายน เหลือเวลาอีกแค่ 20 วันเท่านั้นก่อนจะถึงวันประชุมราชสำนัก !

ยมโลกยังคงคึกคักอย่างที่เคย มีเพียงเหล่าข้าราชการระดับสูงเท่านั้นที่รู้ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นในปลายปีนี้

บรรยากาศของความจริงจังปกคลุมไปทั่วโถงเสริมทางฝั่งซ้ายของประตูนรกขณะที่คำสั่งการมากมายยังคงหลั่งไหลเข้าออกราวกับสายข้อมูลที่ไม่มีวันหยุดนิ่ง ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง โถงเสริมทางขวากลับกำลังเร่าร้อนด้วยบรรยากาศแห่งความมุ่งมั่น

โนบูนางะ อาร์ทิส และฉินเย่ต่างนั่งอยู่ที่นี่ หากพูดอย่างเจาะจงก็คือพวกเขากำลังนั่งอยู่ที่มุม ๆ หนึ่งของโถงเสริมทางด้านขวา ตรวจดูทุกส่วนของชุดเกราะสีดำที่เพิ่งถูกผลิตขึ้นโดยยมโลก

ชุดเกราะดังกล่าวถูกทำขึ้นมาจากกระดองของแมลงแห่งหายนะ และมันก็ดูเหมือนกับเกราะพยัคฆาเกือบทั้งหมด ความแตกต่างเดียวก็คือการเปลี่ยนแปลงที่ถูกเสนอโดยโนบูนางะ บวกกับการผสมผสานของเทคโนโลยีการขึ้นรูปแบบสมัยใหม่ในกระบวนการผลิต

ยกตัวอย่างเช่น พวกเขาได้เพิ่มเกล็ดให้กับพื้นผิวเกราะที่เรียบเนียนในตอนแรกเพื่อเสริมกำลังป้องกันจากธนูและการโจมตีจากคมมีด ความไม่สม่ำเสมอของชุดเกราะจะช่วยลดแรงกระแทกจากการโจมตี ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ส่งผลมากมายนัก แต่การได้เปรียบเพียงเล็กน้อยก็สามารถหมายถึงความแตกต่างทางความเป็นและความตายในสนามรบ

ฉินเย่เองก็ได้ทดสอบความทนทานของวัสดุด้วยตัวเอง กระดองของแมลงแห่งหายนะนั้นแข็งแรงจนแม้แต่การโจมตีของขั้นยมทูตขาวดำก็ทำให้เกิดได้เพียงรอยร้าวเล็กน้อยเท่านั้น อีกนัยหนึ่งก็คือ การซื้อชุดเกราะแต่ละชุดหมายความถึงการเสริมความแข็งแกร่งกึ่งยมทูตขาวดำให้กับกองทัพ ! มันจะต้องเป็นเสาหลักของกองกำลังของข้าราชการศักดินาทั้งหมดในภายภาคหน้าเป็นแน่ ! หากไม่ใช่เพราะสถานการณ์จำเป็น ฉินเย่ไม่มีทางยอมขายสิ่งเหล่านี้ให้กับกองกำลังภายนอกเด็ดขาด !

กริ๊ก… เส้นผมของอาร์ทิสพันรอบใบมีดสั้นตรงหน้าแน่น ใส่พลังหยินของตนเองลงไปขณะที่นางแกะสลักผิวของชุดเกราะให้เป็นไปอย่างที่ฉินเย่ต้องการ หลังจากนั้นนางก็ลุกขึ้นและถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “เรียบร้อยแล้ว แม้แต่ข้าที่เป็นขั้นตุลาการนรก กระบวนการทั้งหมดก็ยังใช้เวลาถึงหนึ่งเดือน อย่างไรก็ตาม มันยังถือว่ามีประสิทธิภาพต่ำมากเกินไปเมื่อปราศจากหอแห่งการสั่นสะเทือน”

“หอแห่งการสั่นสะเทือนคือสิ่งที่เราจะสร้างขึ้นในช่วงที่มีการประชุมราชสำนัก เพื่อให้พวกราชทูตทั้ง 12 ตระหนักได้ว่าเรามีอำนาจมากพอที่พัฒนาอาวุธที่ดีและจำนวนมากกว่านี้ขึ้นได้ในอนาคต ขอบคุณที่ทำงานอย่างหนักเพื่อสิ่งนี้” โดยไม่สนใจเศษส่วนของกระดองของแมลงแห่งหายนะที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น ฉินเย่ก้าวออกมาข้างหน้าและสัมผัสกับชุดเกราะสีดำสนิทอย่างตื่นเต้น

มันดูคล้ายคลึงกับเกราะพยัคฆาเป็นอย่างมาก แต่แน่นอนว่าคือรูปแบบที่ได้รับการปรับปรุงแล้ว

หัวเสือบนไหล่และอกถูกแทนที่ด้วยแผ่นป้องกันที่บริสุทธิ์และปราศจากสิ่งเจือปน มันถูกทำขึ้นมาจากหินวิญญาณที่ถูกตีจนเป็นแผ่นบาง นอกจากนี้ อาร์ทิสยังเป็นผู้สลักโครงสร้างของยันต์ลงบนแผ่นป้องกันด้วยตัวเองเพื่อเสริมความแข็งแกร่งในการป้องกันโดยรวมอีกด้วย ภายในใจกลางของแผ่นบริเวณอกมีร่องขนาดเล็กซ่อนอยู่ ซึ่งผู้สวมสามารถใส่หินวิญญาณที่มีขนาดไม่ใหญ่เกินกำปั้นของเด็กทารกเข้าไปได้ ในทำนองเดียวกัน เมื่อผู้สวมเปิดแผ่นป้องกันรอบ ๆ หน้าอกของตนออก พวกเขาก็จะเห็นช่องว่างที่ยื่นออกไปทางส่วนไหล่ของตนเอง

ชิ้นส่วนที่ไหล่คือแผ่นหุ้มไหล่สีดำสนิทที่ซ่อนช่องว่างสองช่องที่สามารถเสริมกำลังได้โดยการใส่หินวิญญาณเข้าไปเช่นกัน ผลที่ส่งเสริมกันนี้ทำให้ชุดเกราะทั้งชุดมีประสิทธิภาพในการลดจำนวนวิญญาณที่จำเป็นในการสร้างค่ายกลสู้รบลง พูดอีกนัยหนึ่งก็คือมันคือหัวใจสำคัญของผลการทำงานทั้งหมด

นอกเหนือจากนั้น ชุดเกราะพยัคฆารูปแบบใหม่หรือเกราะพยัคฆานี้ถูกสร้างขึ้นโดยเกล็ดจำนวนมากปกคลุมพื้นผิวหน้า นอกจากนี้มันยังมีรูปแบบที่เพียวบางซึ่งมีจุดมุ่งหมายที่จะลดแรงต้านทานลมเมื่อทหารวิญญาณเร่งความเร็วขึ้น อันที่จริง มันยังรวมถึงการลดแรงต้านทานน้ำสำหรับการต่อสู้ใต้น้ำอีกด้วย สุดท้าย น้ำตาลไอซิ่งบนหน้าเค้กก็หมายความว่าต่อให้ผู้สวมใส่จะขี่อสูรวิญญาณ การมีอยู่ของพวกเขาก็จะไม่ทำให้ความเร็วของอสูรเหล่านั้นลดลงมากอย่างที่มักจะเป็น

“สมบูรณ์แบบ” ฉินเย่ถอนหายใจออกมา เขาระงับความรู้สึกมากมายของตนเองขณะที่ยกมันขึ้นมาด้วยมือเพียงข้างเดียวก่อนจะวางมันลงบนเครื่องชั่งอิเล็กทรอนิกส์เพื่อดูน้ำหนักโดยรวมของมัน

สิบจิน !

มันหนักแค่สิบจินเท่านั้น !

น้ำหนักที่เบาของมันเป็นหนึ่งในข้อดีที่เกิดจากการใช้กระดองของแมลงแห่งหายนะในการผลิตเกราะชุดนี้ !

ตั้งแต่สมัยโบราณกาล มักเป็นที่เข้าใจกันว่ายิ่งชุดเกราะมีน้ำหนักมากเท่าไหร่ การป้องกันก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น แต่มันก็ถูกทำลายลงด้วยการปรากฏตัวขึ้นของแมลงแห่งหายนะ อสูรวิเศษที่ปรากฏตัวขึ้นจากการล่มสลายของยมโลกแห่งเก่า ไม่เช่นนั้น พวกเขาก็คงไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ที่น่าเหลือเชื่อนี้ได้ แม้กระทั่งกับสัตว์อสูรธรรมดาในยมโลกเองก็ตาม เพราะอย่างไรแล้ว การป้องกันที่สูงก็ย่อมต้องการวัสดุป้องกันที่หนาแน่น

ฉินเย่กดลงที่ส่วนข้อมือเบา ๆ และใบมีดคมสองเล่มพุ่งออกมาจากร่องลึกทั้งสอง เช่นเดียวกับที่มนุษย์มีเลือดออกตอนถูกแทง วิญญาณก็ปล่อยเปลวไฟนรกออกมาเมื่อพวกเขาถูกแทงด้วยวัสดุที่ถูกต้องเช่นกัน

นี่คืออาวุธสังหารวิญญาณ… ฉินเย่ละมือออกจากชุดเกราะตรงหน้าในที่สุด เด็กหนุ่มสูดหายใจเข้าช้า ๆ “จ้าวฉี”

ชายร่างกำยำที่มีความสูง 1.85 เมตรก้าวเท้าเข้ามาในห้องทันทีที่ถูกเรียก เขารีบคุกเข่าลงกับพื้นอย่างรวดเร็ว “ข้ารับใช้ผู้ต่ำต้อยอยู่ที่นี่แล้ว”

“เดี๋ยวไปพบกับเราที่ด้านหลังของประตูนรก จัดการตัวเองให้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด”

“รับทราบ !”

ภายในไม่กี่นาที คนทั้งหมดก็ไปรวมตัวกันที่ด้านหลังของประตูนรก จ้าวฉียืนอยู่ด้านหลังสุดราวกับหอกขนาดใหญ่ ทันทีที่เขาเห็นเกราะพยัคฆาใหม่ ดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นทันที

อย่างไรก็ตาม ฉินเย่ไม่ได้ส่งชุดเกราะให้อีกฝ่ายทันที เขาเพียงวางมันอยู่ที่โต๊ะด้านหลัง “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าคือผู้บัญชาการของทัพเกราะทมิฬนับพันนายและเชี่ยวชาญในเรื่องการต่อสู้ น่าเสียดายที่ทัพเกราะทมิฬไม่อนุญาตให้ใช้ชื่อเต็ม เจ้าถึงถูกเรียกด้วยสกุลและหมายเลขประจำตัวเท่านั้น…”

“ข้าไม่ควรค่าแก่คำชมเชยนั้นเลยแม้แต่น้อย” จ้าวฉีตอบอย่างถ่อมตัว แต่ดวงตาของเขานั้นยังคงจับจ้องไปที่ชุดเกราะตรงหน้าอย่างไม่ละสายตา

มันเป็นธรรมชาติของทหารกล้าทุกนายที่จะอยากได้ชุดเกราะและอาวุธที่แข็งแกร่งที่สุด ดังนั้นหัวใจของเขาจึงเริ่มเต้นแรงขึ้นทันทีที่เห็นชุดเกราะตรงหน้า

ชุดเกราะนี้… แข็งแกร่งกว่าเกราะทมิฬของทัพเกราะทมิฬเสียอีก… หากเขามีสิ่งนี้ในตอนนี้ เขา… ก็คงจะมีชัยในสนามรบได้อย่างง่ายดาย !

“อีกไม่นานเราจะได้รู้กันว่าเจ้าเหมาะสมกับคำชมเหล่านั้นหรือไม่” ฉินเย่แย้มยิ้ม “ลองสวมมันดู ข้าได้เตรียมคู่ต่อสู้ให้เจ้าแล้ว โอดะซัง พาคนของท่านมาได้เลย”

โนบูนางะพยักหน้าและปรบมือ ทันใดนั้น นักรบในชุดเกราะจีนโบราณที่ถือดาบคาตานะยาวก็เดินออกมาราวกับเสาหินขนาดใหญ่

“นี่คือหนึ่งในผู้คุ้มกันส่วนตัวของข้า โอวาริ… ท่านฉิน เราเริ่มกันเลยดีหรือไม่ ?”

ฉินเย่พยักหน้า และจ้าวฉีก็รีบเปลี่ยนไปใส่ชุดเกราะชุดใหม่ ทันทีที่เขาหยิบเกราะพยัคฆาใหม่ขึ้นมา ดวงตาของเขาก็เปล่งประกายขึ้นขณะที่ปากอ้าค้างด้วยความตกตะลึง

เบามาก…

เบาอย่างไม่น่าเชื่อ !

พึงรู้ไว้ว่าจ้าวฉีนั้นแข็งแกร่งมาก แต่แม้ว่าเขาจะกดชุดเกราะลงด้วยแรงทั้งหมดของตัวเอง แต่มันกลับไม่เสียรูปเลยแม้แต่น้อย

นี่มันบ้าอะไรกัน ?!

สิ่งนี้… เกิดมาเพื่อใช้ในสนามพบโดยเฉพาะ หากราชวงศ์ถังมีชุดเกราะที่แข็งแกร่งเช่นนั้น… พวกเขาก็คงจะไม่ได้รับความเสียหายจากกองกำลังของศัตรูมากนัก

เขาสวมชุดเกราะด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย จากนั้น พร้อมกับเสียงของมีคมที่ตัดผ่านอากาศ มีดสองเล่มพุ่งออกมาจากข้อมือของเขา ดวงตาเขาเปิดกว้างขณะที่ให้ความสนใจกับทุกส่วนของชุดเกราะที่อยู่บนร่างกายเพื่อทำความคุ้นชินกับมัน จากนั้น สามนาทีต่อมา เขาก็เหวี่ยงหมัดของตัวเองออกไปจนเกิดเสียงดัง

ฟึ่บ ! อากาศโดยรอบสั่นสะเทือนเล็กน้อย และดวงตาของเขาก็เปล่งประกายเจิดจ้าเป็นครั้งที่สาม

ในที่สุดเขาก็สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างตามใจ หนึ่งในข้อเสียของทัพเกราะทมิฬก็คือข้อเท็จจริงที่ว่าเกราะของพวกเขานั้นหนักและหนาอย่างไม่น่าเชื่อ เพื่อที่จะสร้างการป้องกันที่ไม่สามารถเจาะทะลวงได้ พวกเขาทั้งหมดต้องสวมชุดเกราะที่มีความหนาเกือบครึ่งนิ้ว พวกเขาทำตัวเหมือนกับเครื่องบดเนื้อเคลื่อนที่ได้เมื่ออยู่ในสนามรบ ฟันและแทงไปที่ศัตรูอย่างสะเปะสะปะ น่าเสียดาย เพราะน้ำหนักที่มากเกินไป พวกเขาจึงไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ดั่งใจนึก ในอีกด้านหนึ่ง เกราะพยัคฆาใหม่ชุดนี้… ทำให้เขาสามารถปลดปล่อยพลังของตัวเองได้เป็นครั้งแรก

ความเร็วคือข้อได้เปรียบเพียงอย่างเดียวในการแสดงศิลปะการต่อสู้ทั้งหมด และตอนนี้ เท้าของเขาก็รู้สึกเบา และการเคลื่อนไหวของเขาก็รวดเร็วเป็นอย่างมาก

เขาสูดหายใจเข้าช้า ๆ จากนั้นก็หันไปพยักหน้าให้กับโนบูนางะ นักรบที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามเดินเข้ามา กำรอบด้ามคาตานะของตัวเองแน่น พลังหยินที่รุนแรงหลั่งไหลออกมาไม่หยุดหย่อน

“โอวารินั้นมีความเชี่ยวชาญในศิลปะของยางิวชินคาเงะริว และเขาก็มีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษในอิไอจุทสึ ข้าไม่ต้องการให้เกิดการบาดเจ็บใด ๆ เกิดขึ้น จ้าวฉี ระวังตัวด้วย” โนบูนางะเอ่ยก่อนจะก้าวถอยหลังออกมา จากนั้นจึงวาดมือลงอย่างแรง “เริ่มได้ !”

ทันทีที่การดวลเริ่มขึ้น เปลวไฟนรกในดวงตาของโอวาริก็วูบไหวอย่างรุนแรง เขากระชับมือที่กำรอบด้ามดาบของตัวเองอีกครั้ง น้ำพุพลังหยินระเบิดออกมาจากร่าง ห่อหุ้มดาบทั้งเล่มเอาไว้ขณะที่เขาพุ่งโจมตีเข้าที่เอวของจ้าวฉีอย่างรวดเร็ว

ด้วยต้องการที่จะรู้ถึงขอบเขตความสามารถในการป้องกันของชุดเกราะที่ตนสวมอยู่ รวมถึงรู้ด้วยว่าโอวาริยังคงยั้งแรงของตนเองอยู่ในการโจมตีแรก ดังนั้นจ้าวฉีจึงไม่ขยับตัวหนีเลยแม้แต่น้อย

อิไอจุทสึคือการใช้ประโยชน์จากแรงเมื่อดาบถูกชักออกมาจากฝัก ทำให้ดาบนั้นมีความเร็วและพลังมากขึ้น อย่างไรก็ตาม มันเห็นได้ชัดเลยว่าโอวาริตั้งใจลดความเร็วลงในขณะที่ดาบถูกชักออกมา

เคร้ง !

เสียงปะทะดังขึ้น ฉินเย่และโนบูนางะต่างจ้องไปที่ภาพตรงหน้าด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง ประกายไฟลุกโชนขึ้นในวินาทีที่ดาบคาตานะและชุดเกราะปะทะกัน แต่ถึงกระนั้น… มันกลับไม่ทิ้งร่องรอยใด ๆ ไว้บนชุดเกราะเลยแม้แต่นิดเดียว นับประสาอะไรกับทำลายการป้องกันของมัน!

ทนทานมาก… โอวาริผิวปากออกมาด้วยความตกตะลึงขณะที่เขาเก็บดาบกลับเข้าไปในฝักตามเดิม ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าตนเองกำลังเผชิญหน้ากับสิ่งใดอยู่ ดังนั้น ในเสี้ยววินาทีต่อมา ดาบของเขาก็พุ่งออกมาจากฝักราวกับมังกรคำราม ทิ้งไว้เพียงภาพติดตาที่เกิดขึ้น ครั้งนี้เขาโจมตีไปที่ชุดเกราะตรงหน้าด้วยแรงทั้งหมดของตัวเอง

พึงรู้ไว้ว่าเขานั้นควรค่าแก่การเป็นผู้คุ้มกันส่วนตัวของโนบูนางะอย่างแท้จริง การโจมตีของเขาครั้งนี้ทรงพลังจนสามารถสร้างอาณาเขตใบมีดขึ้นรอบตัว ตัดผ่านต้นลบความทรงจำที่อยู่บนพื้นและทำให้มันกลายเป็นเพียงผุยผง

เร็ว… เร็วมาก… มันเร็วจนโจมตีของเขาแทบจะไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ทว่าน่าเสียดาย จ้าวฉีนั้นเร็วกว่า

ทันทีที่ใบมีดปรากฏขึ้น ร่างของจ้าวฉีก็หายไปจากพื้น อาณาเขตใบมีดปรากฏขึ้นให้เห็นเป็นเวลากว่าสามวินาทีเต็มก่อนที่ะมันจะหายไปอย่างกะทันหัน

เมื่อฝุ่นทั้งหมดสงบลง ใบมีดของจ้าวฉีก็จ่ออยู่กับลำคอของโอวาริเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นักรบญี่ปุ่นหัวเราะออกมาเบา ๆ “ท่านฉิน ข้าแพ้แล้ว”

แปะ แปะ แปะ ฉินเย่ปรบมือ “ดี เยี่ยมมาก !”

“โอวาริ เจ้าคิดว่าเจ้าแพ้เพราะเหตุใด ?”

โอวาริหันไปมองจ้าวฉีด้วยสายตาอิจฉาและตอบกลับไปอย่างไม่ลังเล “อาวุธ”

“อาวุธของข้าไม่สามารถสร้างรอยไว้บนชุดเกราะของเขาได้ นับประสาอะไรกับการเจาะการป้องกันของเขา นอกจากนี้…” เขาแย้มยิ้มออกมาอย่างขมขื่นขณะที่ยกมือขึ้นและสะบัดมัน “ชุดเกราะของข้ามีน้ำหนักประมาณ 50 จิน มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ข้าจะสามารถเคลื่อนไหวได้เร็วกว่าเขาด้วยขอจำกัดในตอนนี้ การเปลี่ยนท่วงท่าและตอบสนองต่อความรวดเร็วนี้เองก็เป็นเรื่องยากเช่นกัน… แต่ข้าคิดไม่ออกเลยว่าวัสดุชนิดใดที่สามารถให้การป้องกันที่แข็งแกร่ง แต่กลับน้ำหนักเบาดุจขนนกเช่นนี้”

ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกมากมาย จากนั้นจึงหันไปหาจ้าวฉี “แล้วเจ้าล่ะ…รู้สึกอย่างไรบ้าง ?”

“นายท่าน ! มันคือเกราะศักดิ์สิทธิ์ !” เสียงของจ้าวฉีสั่นเทาด้วยความตื่นเต้น “มันเบาอย่างไม่น่าเชื่อ… เกราะทมิฬที่พวกเราสวมนั้นมีน้ำหนักถึง 47 กิโลกรัม ทุกส่วนของมันนั้นทั้งหนาและแข็ง อย่างมากที่สุด ทำให้พวกเราสามารถสวมมันได้เพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น แต่ชุดเกราะชุดนี้กลับมอบอิสระในการเคลื่อนไหวให้เรา ! นอกจากนี้การป้องกันของมันก็น่าเหลือเชื่อมาก !”

โนบูนางะพยักหน้า “นักล่าวิญญาณปะทะนักล่าวิญญาณ โอวาริคือหนึ่งในผู้ใต้บังคับบัญชาที่แข็งแกร่งที่สุดของข้า และมันก็น่าประหลาดใจมากที่เขาไม่สามารถสร้างร่องรอยไว้บนชุดเกราะได้เลยแม้แต่นิดเดียว นอกจากนี้ น้ำหนักของชุดเกราะก็ทำให้ได้เปรียบอย่างมาก จากบันทึกทางประวัติศาสตร์ ชุดเกราะในสมัยราชวงศ์ซ่งนั้นมีน้ำหนักที่ประมาณ 29 กิโลกรัม ในขณะที่ทหารทั่วไปจะสวมเกราะที่มีน้ำหนัก 15 กิโลกรัม ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง เกราะพยัคฆาใหม่กลับมีน้ำหนักเพียงห้ากิโลกรัม ประสิทธิภาพของมันอยู่ในระดับที่สูงมาก ผู้ใดก็ตามที่ซื้อเกราะพวกนี้ไปจะต้องมีข้อได้เปรียบเหนือข้าราชการศักดินาคนอื่น ๆ ที่ไม่ซื้อไปอย่างแน่นอน !”

เขาถอนหายใจออกมาอย่างเสียดาย “น่าเสียดาย หากไม่ใช่เพราะสถานการณ์ในตอนนี้ ข้าก็ไม่อยากเห็นเกราะศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ถูกขายให้ไปอยู่ในหมู่ผู้ที่มีความสามารถที่จะต่อต้านเราเลยแม้แต่นิดเดียว”

ฉินเย่พยักหน้า หลังจากคิดไปสักพัก เขาก็หันไปหาคนทั้งหมดและถามด้วยความอยากรู้ “ถ้าเช่นนั้น ทุกคน หากสิ่งนี้ถูกขายให้กับกองกำลังต่างชาติในฐานะอาวุธ พวกเจ้าคิดว่าพวกเขาจะเต็มใจที่จะซื้อมันหรือไม่ ?”

ผู้ที่ตอบออกมาเป็นคนแรกนั้นไม่ใช่โนบูนางะ แต่เป็นจ้าวฉี ผู้ที่รีบประสานมือคาราวะฉินเย่และเอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกมากมาย “พวกเขาจะต้องซื้อมันอย่างแน่นอน !! หากสิ่งนี้ปรากฏขึ้นในสมัยราชวงศ์ถัง แม้แต่องค์จักรพรรดิเองก็คงไม่ลังเลที่จะสละสมบัติในท้องพระคลังของพระองค์ครึ่งหนึ่งเพื่อซื้อชุดเกราะที่ทรงพลังเช่นนี้ ! ด้วยทหารจำนวน 5,000-10,000 นายที่สวมชุดเกราะนี้ หน่วยพยัคฆาก็จะสามารถต่อสู้กับกองกำลังของศัตรูได้ แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะมีจำนวนมากกว่าถึงห้าเท่าและขี่อสูรวิญญาณก็ตาม !”

“คำว่า ‘เต็มใจ’ อาจจะเป็นการสบประมาทชุดเกราะนี้เกินไป พวกเขาจะต้องแข่งกันเพื่อแย่งชิงมันอย่างแน่นอน” โนบูนางะเอ่ยเสริม “โดยเฉพาะอย่างยิ่ง… ด้วยความเบาของมันที่สามารถดึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของกองกำลังทหารม้าออกมาได้ ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการกระแทกหรือการป้องกัน แม้แต่ค่ายกลหอกของราชวงศ์ซ่งที่โด่งดังก็ไม่สามารถต่อสู้กับความเป็นไปได้ที่ชุดเกราะนี้สร้างขึ้นมาได้ !”