บทที่ 340: การดีดตัวครั้งสุดท้าย (2)
ฉินเย่อ้าปากค้าง ถึงแม้ว่าเขาจะรู้อยู่แล้วว่าชุดเกราะที่ผลิตขึ้นจากกระดองของแมลงแห่งหายนะจะไม่ใช่สิ่งที่มีคุณภาพต่ำ แต่เขาก็ไม่คิดว่ามันจะได้รับคำชื่นชมจากเหล่าผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้มากมายขนาดนี้ !
โนบูนางะคือเทพแห่งสงคราม และความเข้าใจในชุดเกราะของเขาเองก็ไม่ธรรมดา ส่วนจ้าวฉีคือหัวหน้าที่มักจะถูกส่งไปยังแนวหน้าของสนามรบ คำยืนยันอย่างเป็นเสียงเดียวกันของทั้งคู่หมายความว่าการเตรียมการขั้นสุดท้ายที่นำไปสู่การประชุมราชสำนักที่จะมาถึงนั้นเสร็จสมบูรณ์แล้ว !
ฉินเย่ชื่นชมข้อเท็จจริงที่ว่าอันตรายมักมาพร้อมกับโอกาส การประชุมราชสำนักที่จะถูกจัดขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนซึ่งยมโลกจะต้องคว้าโอกาสนี้และสำแดงอำนาจของตนเอง เพื่อทำให้ชื่อเสียงของยมโลกเป็นที่ยอมรับไปทั่วทั้งทวีปตะวันออก และเพื่อควบคุมให้ราชทูตทั้ง 12 อยู่ในที่ทางของตน แต่แม้ว่าสถานการณ์จะดูอันตรายเพียงใด ฉินเย่ก็ยังสามารถมองเห็นโอกาสที่อยู่ในช่วงเวลาวิกฤตนี้และสร้างเส้นทางการค้า กำไรและภาพรวมที่ยิ่งใหญ่
แต่เขาก็รู้ดีว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะโน้มน้าวให้ราชทูตทั้ง 12 ยอมทำการค้ากับตัวเอง ดังนั้น เขาจึงต้องการอำนาจ… อำนาจที่มาพร้อมกับผลประโยชน์ หรือที่เรียกว่าอาวุธยุทธภัณฑ์ !
อาวุธชั้นยอด !
อาวุธที่มีเพียงยมโลกเท่านั้นที่สามารถผลิตได้ !
เขากำจัดความคิดมากมายภายในหัวและไล่นิ้วไปตามผิวของเกราะพยัคฆาใหม่ด้วยความรู้สึกมากมาย ตอนนี้ชิ้นส่วนสำคัญของการเตรียมการเรียบร้อยแล้ว ในที่สุดเขาก็สามารถวางใจได้เสียที ทีนี้ มันก็เหลือจิ๊กซอว์อีกเพียงแค่ชิ้นเดียวเท่านั้น !
“ข้านั้นตั้งตารอจริง ๆ…” เขาถอนหายใจออกมาและผละมืออก “ข้ากำลังตั้งตารอการมาถึงของพวกท่านอย่างใจจดใจจ่อ…”
ทันใดนั้นเอง ซูตงเซวี่ยก็เดินเข้ามาพร้อมกับกองเอกสารที่อยู่ในอ้อมแขน “นายท่าน เจ้าหน้าที่หลี่จีสี่ได้กลับมาพร้อมกับแบบสำรวจจากโลกใต้พิภพอื่น ๆ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว”
พูดถึงก็มาเลย !
ดวงตาของฉินเย่เปล่งประกายขึ้น จิ๊กซอว์ชิ้นชุดท้ายของเขาไม่ใช่สิ่งใดอื่นแต่คือแบบสอบถามที่ถูกส่งกลับมา !
เขารีบรับมันมาด้วยความตื่นเต้นเป็นอย่างมาก และแบบสอบถามที่อยู่บนสุดของกองก็ไม่ใช่ของผู้ใดอื่นนอกจากชากัน กษัตริย์ของดินแดนแห่งป่าไผ่
“วิธีการสื่อสารที่ท่านมักจะใช้คือวิธีใด ? B: นกกางเขน” หัวใจของเด็กหนุ่มเต้นเร็วขึ้น เขาเลียริมฝีปากของตัวเองและอ่านต่อ
“ท่านต้องการสื่อความบันเทิงแบบใดในดินแดนของตนเอง ? เขาไม่ได้ตอบข้อนี้ ซึ่งตัวเลือกที่มีก็คือ A: LOL. B: ไพ่นกกระจอก C: นารูโตะ D: Patty อีกความหมายหนึ่งก็คือ คำตอบของเขาคงไม่มีอยู่ในตัวเลือกเหล่านี้สินะ…” ดวงตาเจ้าเล่ห์ของฉินเย่หรี่เล็กลงและรอยยิ้มชั่วร้ายก็ผุดพรายขึ้นมาบนใบหน้าเยาว์วัย “ข้อที่ 3: แบรนด์เสื้อผ้าและรูปแบบที่ท่านชื่อชอบ: A: สมัยราขวงศ์ถัง B: สมัยราชวงศ์หมิง C: Armani. D: Paul Smith ก็ยังไม่มีคำตอบอย่างนั้นหรือ ? อ๋อ ! ใช่แล้ว ! มันไม่มีตัวเลือกของสมัยราชวงศ์หยวน”
“… ข้อที่ 5: หากยมโลกจัดเกมโอลิมปิก ท่านจะเลือกเข้าร่วมกิจกรรมใด ? ไม่ตอบ”
“… ข้อที่ 12: ท่านเข้าใจเกี่ยวกับไฟฟ้าดีมากเพียงใด ? หากยมโลกสามารถเข้าถึงไฟฟ้าได้ ท่านคิดว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดใดมีความสำคัญมากที่สุด ? A: คอมพิวเตอร์ B: โทรศัพท์มือถือ C: โทรทัศน์ D: ภาพยนตร์ … ไม่ตอบ !”
“… ข้อที่ 20: หากยมโลกกำลังจะพัฒนาอุตสาหกรรมบันเทิง ละครโทรทัศน์แนวใดที่ท่านต้องการให้ยมโลกให้ความสนใจ ? A: บันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์ B: แนวบำเพ็ญเซียน C: แนวกำลังภายใน D: แนวครอบครัว … ไม่ตอบ !”
เขาอ่านมันอย่างรวดเร็ว และไม่นานก็มาถึงคำถามที่ 25 ซึ่งเป็นข้อสุดท้ายก่อนจะพบว่ามันก็ยังคงไร้คำตอบเช่นเดิม นอกจากนี้ มันยังมีตัวอักษรที่ถูกเขียนด้วยหมึกสีแดงเข้มเขียนเอาไว้ที่ด้านล่างสุดอีกด้วย
“ไร้สาระ !!”
ดีมาก… ฉินเย่สามารถได้ยินเสียงหัวใจของตัวเอง ชากัน… ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านจะไม่รู้สึกเสียใจกับคำพูดหยาบคายพวกนี้ของตัวเองเมื่อการประชุมราชสำนักเริ่มขึ้นก็แล้วกัน
ถามว่าฉินเย่โมโหหรือไม่ ?
ไม่เลยสักนิด !
เขาขยำกระดาษในมือจนเป็นก้อนกลมและหัวเราะด้วยเสียงเย็นยะเยือก “ตอบคำถามมาเพียงห้าข้อแต่กลับกล้าที่จะยั่วเย้าจ้าวนรกองค์ใหม่ของยมโลกอย่างนั้นหรือ ? ช่างโง่เง่าและขลาดเขลาเสียจริง”
โดยปราศจากความลังเล เขาหยิบกระดาษชุดที่สองขึ้นมาทันที
มันคือคำตอบของกษัตริย์แห่งเจียวจื่อ เกาฉางกง
เขาตอบมาเกินสิบคำถาม มากกว่าแบบสอบถามก่อนหน้านี้ที่ฉินเย่ได้อ่านมาก แต่ถึงกระนั้น… มันก็ยังไม่พอ !
อย่างน้อยก็ไม่พอสำหรับฉินเย่ !
พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ… ทีละชุด ฉินเย่อ่านแบบสอบถามทุกชุดที่ถูกส่งกลับมา จากนั้น เมื่อเขามาถึงคำตอบของกษัตริย์แห่งลิชชาวี เด็กหนุ่มก็ต้องชะงักไป
“ท่านคือผู้ที่ได้รับเลือกจากสวรรค์ และแบกรับน้ำหนักของโลกไว้บนบ่า เหตุใดจึงต้องให้ความสนใจกับเรื่องไร้สาระพวกนี้ด้วย ?!”
เขาไม่ยอมตอบคำถามเลยแม้แต่ข้อเดียว
ฟึ่บ… หลังจากอ่านแบบสอบถามทั้งหมดที่ได้รับมา ท้ายที่สุดฉินเย่ก็ยกมือขึ้น กองกระดาษพลันลุกเป็นไฟและกลายเป็นเพียงเถ้าถ่านภายในชั่วพริบตา จากนั้นเด็กหนุ่มจึงหลับตาลงและจมอยู่กับความคิดของตัวเองครู่หนึ่ง ความตื่นเต้นภายในใจทำให้เปลือกตาของเขาสั่นระริก
ผลลัพธ์ที่ได้มานั้นดีกว่าที่เขาคาดเสียอีก !
“มีเพียงผู้เดียวที่ตอบคำถามทุกข้อในแบบสอบถามนี้ และนั่นก็ไม่ใช่ผู้ใดอื่นแต่คือกษัตริย์แห่งถังหมิง โจวกงจิน ราชทูตอีกสี่คนกรอกแบบสอบถามเพียงแค่ครึ่งหนึ่งจากทั้งหมด ในขณะที่อีกหกคนที่เหลือตอบไม่ถึงห้าคำถาม ส่วนกษัตริย์แห่งลิชชาวี อวี๋เชียนนั้นไม่ได้ตอบอะไรเลย…” หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง ข่มความตื่นเต้นภายในใจและเอ่ยออกมาว่า “พวกท่านทั้งสองเคยได้ยินเกี่ยวกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 3 มาบ้างหรือไม่ ?”[1]
อาร์ทิสและโนบูนางะส่ายศีรษะไปมาพร้อมกัน
พวกเขาคิดไม่ออกเลยว่ากระดาษที่ดูไม่มีความจำเป็นเหล่านี้สามารถดึงความสนใจของฉินเย่ไปจากชุดเกราะพยัคฆารูปแบบใหม่ได้อย่างไร เหตุใดท่านจ้าวนรกจึงมองดูเศษกระดาษเหล่านี้ราวกับมันสำคัญขนาดนั้น ? ทำไมเขาถึงให้ความสำคัญกับคำตอบที่ได้รับมากขนาดนี้ ?
ฉินเย่หันกลับไปหาทั้งคู่ ดวงตาของเขาเป็นประกายมั่นใจขณะที่แย้มยิ้มบางออกมา “มันเริ่มขึ้นในปีค.ศ. 1970 และมันก็คือช่วงเวลาที่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ และโทรศัพท์มือถือ… มันนำเราออกจากสังคมพลังงานไปสู่สังคมข้อมูล อีกความหมายหนึ่งก็คือ เราเปลี่ยนจากโทรทัศน์ไปเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตภายในระยะเวลาเพียงแค่ 20 ปี ท่านคิดว่ามันเป็นเพียงการเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการเพิ่มทรัพยากรประเภทหนึ่งเป็นหลายประเภทอย่างนั้นหรือ ? ผิดแล้ว ! มันคือยุคสมัยของการระเบิดข้อมูล ! ท่านไม่รู้หรอกว่าความก้าวหน้าของมนุษย์นั้นน่ากลัวเพียงใดในตลอด 20 ปีนี้หากท่านไม่ได้ประสบกับมันในแดนมนุษย์ด้วยตัวเอง”
“การแลกเปลี่ยนทางข้อมูลในทุกด้านส่งผลให้เกิดการเจริญเติบโตในทุกอุตสาหกรรม เทคโนโลยี ศิลปะและวัฒนธรรม หรือแม้แต่ประสบการณ์ส่วนตัว และมันก็คือปรากฏการณ์ที่แผ่ขยายไปทั่วทุกส่วนของสังคม ไม่มีจะในระดับมหภาคหรือระดับจุลภาค แล้วราชทูตทั้ง 12 พวกนี้มัวแต่ทำสิ่งใดกันอยู่ในช่วงเวลาเช่นนี้ ?”
สายตาของเขามองไกลออกไปและเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงดูถูก “พวกเขามัวแต่ยุ่งอยู่กับการต่อสู้กับราชาผีทั้งสามอย่างยากลำบากเพื่อแย่งชิงดินแดน ! พวกเขาพยายามอย่างหนักด้วยหวังที่จะกลับไปยังยมโลกแห่งเขาเพื่อแย่งชิงมรดกที่หลงเหลืออยู่ ! และสิ่งเดียวที่พวกเขาให้ความสนใจก็คือการฝึกฝนกองกำลังของตัวเอง !”
ทั้งอาร์ทิสและโนบูนางะต่างจ้องมองฉินเย่ด้วยดวงตาที่วาวโรจน์ ข้อมูลมากมายที่อยู่ภายในหัวเริ่มปะติดปะต่อกันอย่างช้า ๆ คำพูดของฉินเย่ทำให้ความคิดภายในหัวของพวกเขารวมกันเป็นสิ่ง ๆ เดียว
และนั่นก็คือความเหลื่อมล้ำทางข้อมูล
แต่มันหมายความว่าอย่างไร ?
พวกเขาไม่รู้ ไม่ใช่ว่านี่จะเป็นการประชุมธรรมดา ๆ หรอกหรือ ? สิ่งที่สำคัญที่สุดก็ยังเป็นสินค้าที่คือชุดเกราะไม่ใช่หรืออย่างไร ? มันจะสามารถทำสิ่งใดได้อีก ?
และราวกับสามารถอ่านความคิดของทั้งสองได้ ฉินเย่หันกลับไปมาและเริ่มเดินออกไปจากห้อง “ตามมาสิ พวกท่านทั้งสองมัวแต่ทำงานอยู่ในสำนักงานมาเป็นเวลากว่าหกเดือน แต่สำหรับบางสิ่งบางอย่าง เราก็ต้องก้าวถอยหลังออกมาถึงจะสามารถมองมันได้อย่างชัดเจน”
อาร์ทิสและโนบูนางะมองหน้ากันก่อนจะรีบเดินตามหลังฉินเย่ไปทันที
หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็เดินออกมาจากประตูนรกและก็พบว่า ณ เวลานี้มีสิ่งก่อสร้างที่งดงามขึ้นถัดจากประตูนรกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
มันแตกต่างจากอาคารโบราณอื่น ๆ ที่อยู่บริเวณใกล้เคียง นี่คือสิ่งที่ดูไม่ต่างอะไรกับหอประชุมที่อยู่ในแดนมนุษย์เลยแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตาม อาคารตรงหน้านั้นเล็กกว่ามาก โครงสร้างทั้งหมดของมันถูกสร้างขึ้นด้วยเสาสีขาว ฉินเย่เดินตรงไปยังประตูที่ทำจากไม้มะฮอกกานีและผลักเข้าไปด้านใน ดวงตาของโนบูนางะเป็นประกายขึ้นทันที “นี่มัน…”
ประตูเปิดออก
ที่นั่งมากมายถูกจัดเรียงกันเป็นชั้นๆอยู่ด้านในอย่างเป็นระเบียบ วิญญาณจำนวนมากจากบริษัทก่อสร้างหยินกำลังทำการตกแต่งภายในส่วนสุดท้ายอยู่อย่างขันแข็ง
ด้านในของหอประชุมเป็นรูปครึ่งวงกลมที่มีเวทีที่กว้างประมาณสิบเมตรตั้งอยู่ตรงกลาง ราวกับอ่างเก็บน้ำที่กว้างใหญ่ เวทีของมันอยู่ในส่วนที่ต่ำที่สุดของอาคาร บนเส้นรอบวงของกำแพงโค้ง
มันใหม่มาก
และมันก็ไม่ใช่สิ่งที่ทั้งสองเคยเห็นมาก่อน !
หากหวังเฉิงห่าวอยู่ที่นี่ รูปแบบของอาคารก็คงจะถูกดูหมิ่นอย่างแน่นอน เพราะท้ายที่สุดแล้ว โครงสร้างของมันก็แทบจะไม่ต่างอะไรกับห้องบรรยายในสำนักฝึกตนแห่งแรกเลยแม้แต่น้อย… ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวที่ก็คือมันดูน่าประทับใจและหรูหรามากขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยเท่านั้น
โชคดีที่ผู้ที่อยู่ที่นี่ในตอนนี้คือโนบูนางะ สำหรับเขา อาคารหลังนี้ถูกต่อสร้างในรูปแบบที่แปลกใหม่ มันทำให้เขาตกตะลึง ทั้งในแง่ของวัฒนธรรมและประสบการณ์ ! มันคือความรู้สึกที่เหมือนกับตอนที่ชาวจีนเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศเป็นครั้งแรก หรือเมื่อชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาในจีนเป็นครั้งแรก
ยิ่งเขามองไปรอบ ๆ ความประหลาดใจและความอยากรู้ก็ยิ่งก่อตัวขึ้นเรื่อย ๆ หอประชุมแห่งนี้เล็กมาก แต่มันกลับงดงามอย่างไม่น่าเชื่อ !
ทั้งทวีปตะวันออก ยกเว้นฮินดูสถาน ทั้งหมดต่างได้รับอิทธิพลมาจากจีนทั้งสิ้น ญี่ปุ่นเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นสำหรับเรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงเข้าใจถึงความยิ่งใหญ่ของสถาปัตยกรรมจีนเป็นอย่างดี แต่ถึงกระนั้น ความหรูหราที่หอประชุมแห่งนี้แสดงออกมานั้นแตกต่างจากสถาปัตยกรรมจีนที่เขารู้จักอย่างสิ้นเชิง
ผนังทั้งสองข้างถูกตกแต่งด้วยประติมากรรมนูน นี่คือรูปแบบที่ไม่เคยมีให้เห็นมาก่อนในอดีต เพราะส่วนใหญ่แล้ว สถาปัตยกรรมจีนในสมัยโบราณส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การใช้ไม้เป็นหลัก และการออกแบบของพวกมันก็มักจะสร้างบรรยากาศและให้ความสง่างาม แต่การตกแต่งภายในหอประชุมหลังนี้กลับมีความงดงามที่แตกต่างไปจากที่เขาเคยสัมผัสอย่างสิ้นเชิง และกุญแจสำคัญของมันก็อยู่ที่ประติมากรรมนูนที่ถูกใช้ไปทั่วโถงทางเดินของอาคาร มันแทบจะเหมือนกับว่าพวกเขากำลังเดินอยู่บนเส้นทางของเทพนิยายและตำนานไม่มีผิด
ความหรูหราแผ่ซ่านไปทั่วทุกมุม… โนบูนางะจมอยู่กับความตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกลับมาได้สติในที่สุด
เขารู้สึกเหมือนว่าตนเองกำลังจะจับจุดบางอย่างได้ แต่ก็ไม่สามารถทำมันได้สำเร็จ
“ในขณะที่พวกท่านกำลังทำงานกัน ข้าได้จัดหานักดนตรีจำนวนหนึ่งเพื่อฝึกซ้อมการแสดงและแม้แต่เจ้าหน้าที่จัดงาน อันที่จริงข้าได้เตรียมพวกบทพูดสำหรับพิธีกรและฝึกฝนว่าพวกเขาควรจะรักษาท่าทางเช่นไรแล้วด้วย… บางทีพวกท่านอาจจะคิดว่ามันไม่มีอะไรมากนัก” ฉินเย่ยิ้ม “แต่ความตกตะลึงที่ท่านกำลังประสบนี้คือการมาบรรจบกันระหว่างโลกทัศน์ ความงดงาม และวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นภาษา สถาปัตยกรรม และการแสดง… สิ่งเหล่านี้ล้วนมีความแตกต่างและรายละเอียดปลีกย่อยที่รวมเป็นสิ่งหนึ่งที่เราเรียกว่า… อารยธรรม”
“อีกความหมายหนึ่งก็คือ เราจะทำให้ราชทูตทั้ง 12 ได้เห็นถึงวัฒนธรรมที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงแม้ว่าจะมีจุดกำเนิดเดียวกัน ลองคิดดู จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อคนที่หมกตัวอยู่กับวัฒนธรรมจีนโบราณมาเป็นเวลากว่าหลายพันปีได้เห็นพีระมิดขนาดใหญ่เป็นครั้งแรก ? ความตกตะลึงและความอัศจรรย์ใจพวกนี้ส่งผลกระทบมากกว่าที่ท่านจะสามารถจินตนาการได้”
เขาเว้นช่วงเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยต่อ “และมันยังไม่หมดเพียงเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ การแสดง กิจกรรม และแม้กระทั่งดนตรี ทั้งหมดนี้ล้วนถูกฝึกซ้อมครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดสามเดือนที่ผ่านมา จนตอนนี้ทุกอย่างอยู่ในจุดที่สมบูรณ์แบบที่สุด ข้าต้องการเปิดตัวยุทธภัณฑ์ของเราด้วยมาตรฐานที่แปลกใหม่ ทุกอย่างจะต้องเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ทั้งหมด ! ข้าต้องการให้พวกเขารู้สึกว่าตนเองกำลังถูกปรนนิบัติเมื่ออยู่ที่นี่ ข้าต้องการให้พวกเขาได้ประสบกับความพึงพอใจและความเพลิดเพลินที่ก้าวขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง ข้าอยากให้พวกเขารู้สึกถึงความตื่นเต้นที่พลุ่งพล่านและความสำราญใจที่แผ่ซ่านไปทั่วร่าง ข้าต้องการให้พวกเขารู้สึกว่าการเปิดตัวสินค้าใหม่ของยมโลกทุกชิ้นนั้นเป็นเหมือนกับเหตุการณ์ที่สร้างความสั่นสะเทือนเป็นวงกว้าง และผู้ที่ทำข้อตกลงทางธุรกรรมในสินค้าเหล่านี้ก็จะถูกสลักชื่ออยู่ในพงศาวดารของเราตลอดไป ! ด้วยวิธีนี้ พวกเขาจะไม่รู้สึกว่าค่าใช้จ่ายที่พวกตนเสียไปนั้นเปล่าประโยชน์”
อาร์ทิสที่ได้ยินเช่นนั้นตกตะลึง ภายในหัวของนางหมุนติ้วและนางก็เชื่อมโยงทั้งหมดได้ในทันที “นี่เจ้ากำลังหมายถึง… ร้านค้าที่หรูหราในแดนมนุษย์เช่นนั้นหรือ ? พวกร้านอาหารหรู ๆ ในสมัยโบราณ ?”
“ถูกต้อง !” ฉินเย่ดีดนิ้ว “พวกเราจะไม่เพียงแต่ขายสินค้าให้พวกเขาเท่านั้น พวกเราจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการประมูล ค่าสถานที่ ค่าบริการ และค่าอื่น ๆ อีกมากมาย แต่พวกเราก็ต้องทำให้พวกเขารู้สึกว่าเงินทั้งหมดที่เสียไปนั้นคุ้มค่า ! นี่คือต้นทุนที่แท้จริงของสินค้าราคาแพงเหล่านั้น และการเปิดตัวเกราะพยัคฆาใหม่นี้ก็จะเป็นสินค้าระดับไฮเอนด์ชิ้นแรกที่จะถูกปล่อยจำหน่ายในพงศาวดารของโลกใต้พิภพทั้งหมด !”
ตู้ม !
โนบูนางะอ้าปากค้าง มันแทบจะเหมือนกับว่าลำแสงแห่งการรู้แจ้งส่องลงมาที่เขาอย่างกะทันหัน
เขาเข้าใจแล้ว ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้ว ! แต่มันก็ยังคงทำให้เขารู้สึกตกตะลึงอยู่ดีที่การเปิดตัวสินค้าธรรมดา ๆ นี้สามารถสร้างผลสำเร็จที่น่าเหลือเชื่อแบบนี้ได้ !
นอกจากนี้ มันยังสอดคล้องไปกับภาพลักษณ์ของสินค้าระดับไฮเอนด์ที่พวกเขาพยายามจะสร้างให้ยมโลกอีกด้วย ไม่สิ… อันที่จริง มันสามารถพูดได้เลยว่าสิ่งที่ฉินเย่กำลังทำนั้นคือการกำหนดหมวดหมู่ของสินค้าระดับไฮเอนด์ใหม่ทั้งหมด ! มันเป็นเหมือนการเน้นย้ำถึงความหรูหราของสินค้าเหล่านี้ !
ทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบจะอยู่ภายใต้การบริการระดับสูงสุด… เขากวาดสายตามองหอประชุมทั้งหลัง มองดูวัฒนธรรมที่แปลกใหม่ตรงหน้าอย่างละเอียด… จากนั้นเขาก็ส่ายศีรษะไปมา
แม้แต่เลือดภายในร่างกายของเขาเองก็สูบฉีดเช่นกัน
หลังจากระงับความชื่นชมในหัวใจ เขาก็หันไปประสานกำปั้นและโค้งคำนับฉินเย่อย่างเคารพ “ท่านฉิน ไม่ทราบว่าท่านเรียกสิ่งนี้ว่าอะไร ?”
“มันเรียกว่าความการตลาดชั้นสูง หรือท่านจะเรียกมันว่า… การจู่โจมจากหลายมิติก็ได้” ดวงตาของฉินเย่ลุกโชนด้วยประกายไฟแห่งความมุ่งมั่น เด็กหนุ่มเลียริมฝีปากของตนอย่างละโมบ “ข้ากำลังจะทำลายข้าราชการศักดินาสองมิติพวกนี้ด้วยมิติใหม่ ด้วยสิ่งนี้… ข้ามั่นใจว่าเราจะสามารถจัดการและควบคุมพวกเขาได้โดยสมบูรณ์ !”
[1] จุดเปลี่ยนสำคัญของการปฏิวัติทางอุตสาหกรรมครั้งที่ 3 ก็คือการถือกำเนิดของคอมพิวเตอร์