บทที่ 357 เทพอินทรี

คู่ชะตาบันดาลรัก

หมิงเวยไม่พอใจมาก “ซูถูหลอกข้างั้นหรือข้าเห็นว่าเขารูปงามดูสง่างามไม่เหมือนชาวหูเหรินคิดว่าเขาน่าจะเป็นคนดีเสียอีกเจ้าค่ะ”

เชิ่งชีหัวเราะ “เขาเหมือนคนจงหยวน แต่เขาก็เป็นชาวหูเหรินที่เติบโตในทุ่งหญ้าจะเปรียบกันกับคุณชายหรือบุตรชนชั้นสูงได้อย่างไร แม่นางอย่าตัดสินคนที่รูปลักษณ์เพียงอย่างเดียวสิ”

หมิงเวยไม่พอใจ “ข้าแค่โกรธ! ทำไมเขาถึงเป็นเช่นนี้แสร้งทำตัวเช่นนั้นต่อหน้าข้า ข้าเลยคิดว่า…”

เชิ่งชีเข้าใจนางองค์ชายเจ็ดแห่งเผ่าหมาป่าหิมะรูปงามไม่เหมือนชาวหูเหริน อีกทั้งยังมีสถานะเป็นองค์ชาย ความปรารถนาของเด็กสาวจึงเป็นเรื่องที่ปกติมาก

เขาปลอบโยนนางด้วยรอยยิ้ม “เหตุใดแม่นางต้องสนใจด้วย องค์ชายแดนหูอย่างไรก็เป็นชาวหูเหริน หากแม่นางสามารถสร้างผลงานใหญ่ในที่นี้ได้ ด้วยความสามารถของท่านแล้วสามารถเป็นพระชายาในแดนจงหยวนได้เลย”

หมิงเวยอ้าปากค้างนางตอบไปว่า “พระชายาอะไรกันข้าไม่สนใจหรอก”

เชิ่งชีแอบยิ้ม “ก็จริง สิ่งที่เสวียนเหมินอย่างพวกเราต้องการไม่ใช่สิ่งนี้ แม่นางช่างให้ความสำคัญกับเรื่องนี้จริงๆ เป็นโชคดีของพวกเขาแล้ว”

ไร้คนขวางทางด้วยเคล็ดวิชาของทั้งสองทำให้ไร้สิ่งกีดขวางตลอดเส้นทาง ไม่นานพวกเขาก็มาถึงบริเวณที่พำนักของเหล่าทวยเทพ

ที่พำนักของเหล่าทวยเทพที่ชาวหูเหรินเรียกกันคือถ้ำ แต่แสงจันทร์กลางหุบเขาราวกับเส้นด้าย รอบๆ ถูกปกคลุมด้วยพืชพรรณแปลกประหลาดอีกทั้งยังมีหยกที่ส่องแสงเจิดจ้างดงามราวกับเซียนจริงๆ ทั้งสองมองเหล่าสงฆ์จากหูเหรินต่อสู้กันกลางหุบเขาจากด้านบน

หมิงเวยถามอย่างเป็นกันเอง “จะว่าไป พี่ชีท่านมาทำอะไรที่นี่หรือเจ้าคะ สถานที่กันดารเช่นนี้ไม่มีอะไรเลยวันๆ มีแต่กลิ่นสาบแกะไม่มีอะไรน่าสนใจสักนิด”

เชิ่งชีหัวเราะ “แม่นางรู้จักซูรื่อฉู่มานานเพียงนั้นเขาไม่เคยบอกอะไรเลยหรือ”

“เขาหรือ! คนลึกลับซับซ้อนเช่นนั้นเรื่องของตนเองไม่พูดออกมาสักนิดเดียว” หมิงเวยทำปากยื่น “แต่ข้าได้ยินเขาบอกว่ามีเรื่องสำคัญมากต้องทำข้าถามเขาว่าสำคัญเพียงใดหรือ เขาบอกว่าสำคัญกว่าฟ้าอีกช่างขี้โม้เสียจริง!”

เชิ่งชีถอนหายใจ “พูดว่าสำคัญกว่าฟ้าก็ไม่ผิด”

หมิงเวยแปลกใจ “ที่เขาพูดมาเป็นความจริงงั้นหรือเจ้าคะ ถ้าเช่นนั้นพี่ชีเองก็…อา ข้าขอเดา!” นางดูกระตือรือร้นมาก “ท่านซ่อนตัวอยู่ในทุ่งหญ้ามาหลายปีแล้วมีความสัมพันธ์อันดีกับพระอาจารย์ช่างจื้อแล้วยังเข้าไปแทรกแซงในพิธีกรรมเทียนเสินด้วยคงไม่ใช่เพราะเทพเจ้าของพวกเขาหรอกนะเจ้าคะ”

เชิ่งชียิ้มแต่ไม่พูดอะไร “ข้าเดาถูกหรือไม่”

เชิ่งชีมองเด็กสาวอารมณ์ร้อนตรงหน้าเขาแววตาของเขาดูอ่อนโยนมาก “เดาถูกแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น”

“หมายความว่ามีหลายส่วนหรือเจ้าคะ”

เชิ่งชีหัวเราะ “ท่านค่อยๆ เดาไปก็ได้ เช่นนั้นน่าสนใจกว่าใช่หรือไม่”

“อืม…”

กระต่ายบนดวงจันทร์เฉียงมาทางทิศตะวันตกเหล่าสงฆ์ก็ใกล้ชิดกับที่พำนักของทวยเทพมากขึ้น

…………

ภายในกระโจมของหัวหน้าเผ่า ซูถูและโหวเหลียงพูดคุยกันอย่างมีความสุข

ซูถูถามว่า “ท่านบอกว่าแคว้นฉู่เป็นพวกแหกคอกเรื่องนี้จะแก้ปัญหาอย่างไรหรือ เท่าที่ข้ารู้ฉู่ใต้กับเฉียนเอี้ยนมีที่มาจากที่เดียวกันพวกเขาไม่ควรแข็งแกร่งกว่าเป่ยฉีไม่ใช่หรือ”

ไม่รู้ว่าโหวเหลียงเตรียมพัดขนนกมาจากไหนเขายิ้มไปส่ายหน้าไป “ที่องค์ชายเจ็ดพูดมานั้นไม่ถูกต้องเพราะฉู่ใต้สืบทอดมาจากเฉียนเอี้ยนดังนั้นจึงไม่สมบูรณ์มาแต่กำเนิด”

ซูถูถามอย่างนอบน้อม “เพราะอะไรหรือ”

“ประการแรกการล่มสลายของราชวงศ์มีเหตุผลของมันเอง เวลานี้ได้ล้มล้างและก่อตั้งขึ้นมาใหม่จะต้องมีบรรยากาศใหม่ สิ่งที่เรียกว่าสืบทอดนั้นย่อมสืบทอดข้อบกพร่องของราชวงศ์ก่อนหน้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตัวอย่างเช่น ตระกูลขุนนางมากมายจากเฉียนเอี้ยนประกาศใช้ข้อบังคับนั้นไม่สอดคล้อง แคว้นฉู่ใต้ในตอนนี้ก็เป็นเช่นนั้น ตระกูลใหญ่หลายตระกูล หรือแม้แต่ราชวงศ์ล้วนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้แล้วจะรวมกันเป็นหนึ่งได้อย่างไร รถม้าขอเพียงมีทิศทางเดียวถ้าบังคับหลายทิศทางก็จะหักล้างด้วยกันเอง”

“ประการที่สอง ขุนนางยึดบัลลังก์เดิมทีเป็นข้อห้ามต้องมีวีรบุรุษหนึ่งหรือสองรุ่น ทั้งโลกหล้าถึงยอมสงบ และยอมรับว่าพวกเขาคือสายเลือดที่แท้จริง องค์ชายผู้ก่อตั้งแคว้นฉู่ใต้ถือเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ แต่ชีวิตของเขาสั้นเกินไปจึงจากไปก่อนวัยอันควรทำให้บารมีของราชวงศ์ไม่เพียงพอ ด้วยเหตุนี้แคว้นฉู่ใต้จึงสงบเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นเว้นเสียแต่จะมีวีรบุรุษอื่นในแคว้นรวมทุกฝ่ายรวมเป็นหนึ่งเดียวถึงจะมีการยกทัพไปทางเหนือ”

ซูถูครุ่นคิดแล้วถามว่า “จากที่ท่านกล่าวมาทุ่งหญ้าของพวกเรา…”

โหวเหลียงยิ้ม “จงหยวนระมัดระวังพละกำลังของหูเหริน แต่ไม่เคยคิดว่าหูเหรินจะสามารถรวมเป็นหนึ่งได้องค์ชายรู้หรือไม่เพราะอะไร”

เป็นประโยคที่ไม่น่าฟังแต่ซูถูก็ไม่แปลกใจเขาถามออกไปว่า “เพราะอะไรหรือ”

“เพราะพวกท่านไม่มีจิตวิญญาณ”

ซูถูตกใจ “จิตวิญญาณงั้นหรือ”

“ใช่” โหวเหลียงพูดจาฉะฉานมีหลักมีฐาน “ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันราชวงศ์ในจงหยวนมีทั้งโชคดีโชคร้าย มีขึ้นย่อมมีลง คนจงหยวนเป็นนายของแผ่นดินใหญ่นี้มาโดยตลอด แต่หูเหรินล่ะหนึ่งเผ่าล่มสลายก็ล่มสลายไปตลอดกาล ทั้งแปดเผ่าในเป่ยหูนั้นเกิดขึ้นพร้อมความเจริญเฟื่องฟูในสมัยของซางหวางซึ่งเป็นประวัติศาสตร์สั้นๆ หลายร้อยปี แต่ช่วงเวลาที่รวมเป็นหนึ่งมีเพียงไม่กี่สิบปีเท่านั้น ก่อนหน้านี้ทั้งแปดเผ่าเหล่านั้นที่เคยครอบครองทุ่งหญ้าได้หายไปในประวัติศาสตร์เป็นเพราะนักรบแห่งทุ่งหญ้าไม่กล้าหาญพอหรือ แน่นอนว่าไม่ใช่ อาจเป็นเพราะพวกท่านไม่มีจิตวิญญาณจึงไม่สามารถรวมเป็นหนึ่งเดียวได้เป็นเวลานาน…”

ซูถูยังไม่หายอยากรู้จึงขอคำแนะนำต่อ “จากที่ท่านกล่าวมาต่อให้พวกเรารวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้ก็ไร้ประโยชน์งั้นหรือ”

โหวเหลียงส่ายหน้า “ความล้าหลังโจมตีความก้าวหน้า ต่อให้นำหน้าไปช่วงเวลาหนึ่งชะตาบ้านเมืองก็ไม่ได้อยู่ได้ในระยะยาว เว้นแต่…”

“เว้นแต่อะไรหรือ”

โหวเหลียงยิ้ม “เว้นแต่องค์ชายจะเข้าใจว่าอะไรคือวัฒนธรรมของจงหยวนที่แท้จริงก็จะสามารถรวมเผ่าเข้าด้วยกันได้”

น่าซูที่อยู่ข้างกายขัดจังหวะ “ท่านจะบอกว่าเราจะเป็นเจ้าของจงหยวนได้ก็ต่อเมื่อพวกเราทำตัวเป็นคนจงหยวนหรือ”

สีหน้าของโหวเหลียงไม่เปลี่ยนแปลง “ใช่”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นเหล่านักรบในกระโจมก็แสดงความโกรธบางคนถึงกับพูดว่า “เจ้าจะให้พวกเรายอมแพ้คนจงหยวนจะไปสงบได้อย่างไร”

โหวเหลียงไม่ได้ตกใจหรือกลัวแต่อย่างใดเขามองแต่ซูถู “เรื่องนี้ต่างจากการยอมจำนนองค์ชายน่าจะรู้ว่าสิ่งที่ข้าพูดเป็นความจริง”

ซูถูถอนหายใจแล้วโบกมือส่งสัญญาณให้นักรบภายใต้คำสั่งของเขาให้เงียบลงและกล่าวว่า “หากข้าอยู่ที่นี่ท่านสามารถพูดออกไปได้อย่างอิสระแม้จะมีบางอย่างที่ไม่น่าฟังแต่ท่านจะไม่ถูกลงโทษ”

โหวเหลียงชื่นชม “องค์ชายเจ็ดช่างไม่ธรรมดา ข้าคุยถูกคนจริงๆ”

เขาแอบซับเหงื่อในใจ คิดว่างานนี้ไม่ง่ายจริงๆ ยากกว่าใช้เล่ห์เหลี่ยมกับพวกโจรเสียอีก แต่หากใช้วาทศิลป์ได้ดีพูดอย่างไหลลื่นก็ให้ความรู้สึกที่ไม่ธรรมดาดีเหมือนกัน!

อืม…ควรทำอย่างไรในขั้นตอนต่อไปแม่นางหมิงบอกว่า…

ในที่สุดพระอาจารย์ช่างจื้อก็จัดการอีกฝ่ายได้สำเร็จ และเดินทางมาถึงที่พำนักของเหล่าทวยเทพ ทันใดนั้นเขาก็เห็นเงาที่ลอยออกมาจากที่พำนักของเหล่าทวยเทพ เสียงกรีดร้องที่ดังและยาวจนสั่นสะเทือนไปทั่วถิ่นทุรกันดาร

“อินทรี นั่นอินทรี!”

“มีอินทรีออกมาจากที่พำนักของเหล่าทวยเทพเป็นเทพอินทรีหรือ”

“หมายความว่าอย่างไร” เหล่าภิกษุสงฆ์ตกใจมากต่างคนต่างพูดออกไป

ทันใดนั้นมีคนจำได้ “เป็นซางหวาง! ในตำนานเล่าว่าซางหวางเป็นเทพที่กลับชาติมาเกิดเป็นเทพอินทรี นี่จะต้องเป็นการถ่ายทอดคำพยากรณ์ของซางหวางแน่!”

เหล่าภิกษุสงฆ์ไม่กล้าละเลยทุกคนต่างกระจายคำพูดออกไป หากซางหวางมีคำพยากรณ์ก็ต้องให้ผู้นำเผ่าทั้งแปดเป็นผู้ฟังคำพยากรณ์นั้น

หมิงเวยและเชิ่งชีที่อยู่ในความมืดต่างก็ประหลาดใจ พวกเขาหยุดพระสงฆ์ทั้งหลายเพื่อแสร้งทำเป็นเทพเป็นผีแสร้งทำเป็นถ่ายทอดพระประสงค์ของทวยเทพ ไม่คิดว่าอินทรีตัวนี้จะนำหน้าพวกเขาไปก่อนหนึ่งก้าวมันเป็นเรื่องบังเอิญหรือมีผู้ใดนำหน้าพวกเขาอยู่กันแน่