บทที่ 356 แสงจันทร์

คู่ชะตาบันดาลรัก

ทั้งแปดเผ่าเดินทางมาถึงแต่ก็ไม่ได้ทักทายอะไรกัน จนกระทั่งวันต่อมาหมิงเวยได้พบกับหัวหน้าเผ่าทั้งแปด

ทั้งแปดเผ่าให้ความสำคัญกับงานสำคัญอย่างพิธีกรรมเทียนเสินมาก พวกเขามารวมตัวกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสว่าง ทุ่งหญ้าโล่งตรงทางเข้าหุบเขาแสงจันทร์มีการตั้งกระโจมสำหรับหัวหน้าเผ่าทั้งแปดและมีการถวายเครื่องบูชาอันล้ำค่า นักบวชทั้งแปดเผ่าทั้งร้องทั้งเต้น สวดคาถาโบราณ และสุดท้ายก็นำทางหูเหรินทั้งแปดเผ่าไปกราบไหว้เทพเจ้า

หมิงเวยเองก็เดินตามไปในบางครั้งความต้องการของสตรีที่มีต่อชาวโลกนั้นต่ำมาก แม้ใบหน้าของนางจะเป็นชาวจงหยวน แต่ก็สวมชุดของชาวหู เหล่าหูเหรินจึงมองนางเป็นทาสหญิงจากจงหยวนที่มาจากการปล้นสะดม

สตรี หากแย่งชิงมาก็ถือว่าเป็นของตนเองแม้จะไม่มีสายเลือดของหูเหรินแต่ก็เป็นสมบัติของเผ่า การคุกเข่ากราบไหว้จึงไม่ใช่ปัญหา!

คนเดียวในที่นี้ที่ไม่คำนับคือโหวเหลียง ก่อนเริ่มพิธีเขาเลี่ยงไปทางด้านหลัง

น่าซูอยากให้เขาอยู่ต่อ แต่เขากลับโบกมือ “นักปราชญ์จงหยวนแสดงความเคารพต่อสวรรค์ พื้นดิน ผู้นำ บรรพชนและอาจารย์เท่านั้น หวังว่าองค์ชายจะไม่บังคับข้า”

ซูถูเคยลักพาตัวบัณฑิตจงหยวนจำนวนไม่น้อย แต่คนพวกนั้นบางคนหยิ่งในศักดิ์ศรีมาก ยินดีที่จะอดตายไม่ยอมพูดกับเขา บางคนยอมก้มหัวให้อย่างรวดเร็วมีคุณธรรมน้อยกว่าชาวหูอีก

โหวเหลียงเป็นคนพิเศษ ตอนนี้เขาแสดงท่าทีหยิ่งในศักดิ์ศรี แต่เขาไม่ได้เลือกปฏิบัติต่อเขาที่เป็นองค์ชาย แต่ยังมีท่าทีชื่นชมในความขยันหมั่นเพียรของเขา

เขารู้ว่านักปราชญ์จงหยวนดั้งเดิมคืออย่างไร ดังนั้นเขาจึงใจกว้างต่อโหวเหลียงเป็นพิเศษ “อาเก๋อ พาท่านโหวไปอยู่ด้านหลังพิธีจบแล้วค่อยกลับมา” อาเก๋อตอบรับแล้วนำเขาออกไป

พิธีกรรมลากยาวจนพระอาทิตย์ตกดินถึงได้สิ้นสุดลง แต่พิธีกรรมเทียนเสินยังไม่จบ พูดได้ว่าเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น

จากนั้นทั้งแปดเผ่าราวกับเข้ากันได้ดี พวกเขาเริ่มย่างเนื้อเต้นรำกันอย่างมีชีวิตชีวา หมิงเวยถูกพาไปที่กระโจมด้านหลัง และได้พบกับนักบวชจากเผ่าหมาป่าหิมะ

“นี่คือน่าเจีย” ซูถูพูด “นางเป็นนักบวชที่เก่งที่สุดในเผ่าของเรา”

น่าเจียดูอายุประมาณยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปด ผิวคล้ำเล็กน้อย งดงามและแข็งแรง อาจเป็นเพราะนักบวชชาวหูไม่ต้องโกนผม แม้จะห่มจีวรแต่ก็ดูไม่เหมือนภิกษุณีเลย

เมื่อนางเห็นหมิงเวยสีหน้าของนางดูเรียบเฉย ไม่ได้ไม่มีความสุข แต่ก็ไม่ได้ดีใจ

ซูถูพูดต่อไปว่า “บอกก่อนว่าเมื่อเข้าไปในหุบเขาแสงจันทร์ถึงจะยอมเชื่อฟัง แต่น่าเจียจะคอยจับตาดูพฤติกรรมของท่าน หากท่านมีพฤติกรรมที่น่าสงสัยจะโจมตีทันที บริเวณใกล้ๆ เขาเทียนเสินข้าได้จัดเตรียมทหารเอาไว้แล้ว แม้ท่านจะทรยศข้าก็จะทำทุกอย่างให้ถูกต้องแค่อาจยุ่งยากตอนเก็บกวาดนิดหน่อย”

หมิงเวยฝืนยิ้ม “องค์ชายเจ็ดแม้จะทำตัวเป็นคนไม่ดี แต่ใจกว้างเกินไปหรือไม่เจ้าคะ”

ซูถูตอบ “ข้าไม่ชอบพูดจาอ้อมค้อม และไม่อยากเดาไปเดามากับท่านพูดออกมาให้ชัดเจนเถอะมันน่าจะดีต่อทุกคน”

หมิงเวยทำได้เพียงยอมรับ “ได้เจ้าค่ะ องค์ชายพูดตรงไปตรงมาเช่นนี้ข้าก็ไม่เกรงใจเมื่อพระประสงค์ของทวยเทพออกมาที่หุบเขาแสงจันทร์หวังว่าจะได้เห็นค่าตอบแทนของข้า”

“วางใจเถอะเราไม่เอาเปรียบท่านแน่นอน”

……………

แสงจันทร์ส่องลงมาจากท้องฟ้า และในที่สุดงานหลักก็เริ่มขึ้นนักบวชทั้งแปดเผ่าเดินทางออกจากทางเข้าหุบเขามุ่งหน้าสู่หุบเขาแสงจันทร์

พวกเขาต้องไปถึงที่พำนักของเหล่าทวยเทพก่อนรุ่งสาง และขอความประสงค์จากเหล่าทวยเทพ

หากไปไม่ถึงก็เป็นอันจบไปไม่สามารถผ่านการทดสอบนี้ได้ทวยเทพก็จะไม่ให้ความสนใจ ส่วนเรื่องที่มีนักชวชหายไประหว่างทางก็เป็นเรื่องที่ทุกคนต่างคุ้นชินกับมัน

การตายในหุบเขาแสงจันทร์ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งสำหรับพวกเขา

หมิงเวยและตัวฝูติดตามน่าเจียและคนอื่นๆ เข้าไปในหุบเขาแสงจันทร์ หุบเขาทวยเทพแห่งนี้ยามอยู่ภายใต้แสงจันทร์ช่างงดงามราวกับหยกงามอันล้ำค่าที่เปล่งแสงเป็นประกาย แต่ในคืนนี้สถานที่แห่งนี้ถูกกำหนดให้เป็นสถานที่แห่งการสังหาร

ทันทีที่หมิงเวยเข้าไปในหุบเขาก็พบว่าดอกไม้พืชพรรณ และทิวทัศน์โดยรอบมีหน้าที่ทำให้หลงทางนี่อาจเป็นการทดสอบด่านแรก

น่าเจียที่รู้เส้นทางที่ถูกต้องแล้วนำพวกนางเข้าไปเดินต่อไปอีกไม่กี่ลี้ก็เดินทางมาถึงช่องแคบพวกเขาพบพระอาจารย์ช่างจื้อยืนเฝ้าอยู่ตรงนั้น

เขาพาลูกศิษย์มานั่งนิ่งๆ ขวางทางไว้ซึ่งบอกเจตนาได้อย่างชัดเจน น่าเจียไม่คิดว่าพวกเขาจะเผยเขี้ยวเล็บออกมาเร็วเพียงนี้ “พระอาจารย์ช่างจื้อเหตุใดท่านไม่รีบไปที่ที่พำนักของเหล่าทวยเทพเล่ามาขวางตรงนี้ทำไมกัน”

พระอาจารย์ช่างจื้อมองนางด้วยสีหน้าเย็นชา “แน่นอนว่าข้าต้องไม่ปล่อยให้พวกเจ้าผ่านเข้าไปได้”

น่าเจียโกรธมาก “ท่านจะลงมือตอนนี้หรือ”

“ช้าหรือเร็วอย่างไรก็ต้องลงมือ เข้ามา!”

ทันทีที่เขาพูดจบเหล่าลูกศิษย์ก็ลุกขึ้นยืนมาถึงจุดนี้แล้วนอกจากสู้กลับแล้วจะทำอะไรได้อีกโชคดีที่เผ่าหมาป่าหิมะเตรียมตัวเอาไว้ก่อนแล้วคนที่พามามีจำนวนไม่น้อยดังนั้นไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสชนะเลย

หลังจากนั้นก็เกิดความวุ่นวายขึ้นไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นว่าสตรีชาวหูสองนางออกจากกลุ่มอย่างเงียบๆ และเดินไปอีกฟากหนึ่งของเนินเขา

“แม่นางหมิง” หมิงเวยได้ยินเสียงนั้นก็เห็นว่าเป็นเชิ่งชีที่แต่งกายด้วยชุดทาส

“พี่ชีจะให้ข้าถอนตัวหรือ”

เชิ่งชีพยักหน้า “นักบวชเผ่าหมาป่าหิมะไม่มีอะไรต้องกังวล แต่ตอนนี้ไม่เปิดเผยข่าวดีกว่า”

หมิงเวยพูด “แล้วพี่ชีต้องการให้พวกเราทำอะไร ถึงแม้ที่นี่จะงดงาม แต่ก็เป็นที่ที่รกร้างไร้ผู้คน ยุงก็เยอะ เรามาทำให้มันจบๆ ไปดีกว่าเจ้าค่ะ”

เชิ่งชีหัวเราะแล้วทำท่าทางสื่อความหมาย “ได้”

พวกเขาทั้งสามออกจากเส้นทางที่ซ่อนอยู่เชิ่งชีเดินไปถามนางไปว่า “เผ่าหมาป่าหิมะเชิญชวนแม่นางพวกเขาให้เงื่อนไขอะไรหรือ”

“ข้าต้องการไข่มุกเรืองแสงของเป่ยหู” ดวงตาของหมิงเวยเป็นประกาย “ข้าเคยเห็นไข่มุกเรืองแสงของเป่ยหูที่ดีที่สุด มันงดงามมาก สามารถคงความอ่อนเยาว์ ข้าต้องการจำนวนหนึ่งหู[1]กลับไปเพลิดเพลินกับมันเจ้าค่ะ”

เชิ่งชีหัวเราะ “ไม่ยากเลย เมื่อเรื่องนี้จบลงไข่มุกเรืองแสงจะเป็นของแม่นาง แล้วยังมีอย่างอื่นอีก แม่นางสามารถเสนอมาได้เลย”

“งั้นก็มอบกล่องอัญมณีมา” หมิงเวยพูดโดยไม่ลังเล “ข้าได้ยินมาว่าหูเหรินมีเหมืองอัญมณี ข้าเห็นพวกเขาสวมมันช่างทำลายสิ่งของให้สูญค่าเปล่าประโยชน์เสียจริง หากนำไปที่ร้านขายเครื่องทองที่เมืองหลวงข้าจะสั่งทำเครื่องประดับสวยๆ ไม่นึกเลยว่าจะเอามาร้อยเชือกห้อยลวกๆ บนตัวเช่นนั้น” เสียงบ่นของนางเรียกรอยยิ้มจากเชิ่งชี อย่างไรนางก็เป็นเด็กสาวคนหนึ่งนางสนใจเพียงแค่ว่าของพวกนั้นงดงามหรือไม่เท่านั้น

“ท่านรีบบอกมาเถอะว่าต้องการอะไรจะได้จัดการให้จบไปเร็วๆ” ท่าทางของนางดูเป็นกังวลเชิ่งชีมองไปที่พำนักของทวยเทพอันสูงตระหง่านซึ่งอยู่ไม่ไกลแล้วถามว่า “แม่นางก็รู้ดีว่าซูถูต้องการอะไร”

หมิงเวยไม่เข้าใจ “ไม่ใช่พระประสงค์ของเทพเจ้าหรอกหรือ”

เชิ่งชียิ้มแล้วส่ายหน้า “พระประสงค์ของเทพเจ้าเป็นแค่ส่วนหนึ่ง แต่สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดคือตราประทับของพระเจ้าซางหวาง”

หมิงเวยตกใจ “อะไรนะเจ้าคะ”

“แม่นางถูกหลอกแล้ว” เชิ่งชีมองนางด้วยความมั่นใจเขายิ้ม “ซางหวางผู้สร้างเมืองหยุนไฉเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชาวหูเหริน พระประสงค์ของเทพเจ้าสามารถได้รับอยู่แล้ว แต่ตราประทับของพระเจ้าซางหวางนั้นยากที่จะได้มา ถ้าเขาได้รับตราประทับรวมทั้งพระประสงค์ของเทพเจ้าถือว่าเป็นการได้รับชัยชนะไร้ซึ่งการนองเลือด เขาจะรวมเผ่าทั้งแปดเข้าด้วยกันเพื่อพิสูจน์ว่าเขาคือบุตรที่ได้รับเลือกจากสวรรค์”

“….” หมิงเวยสับสน “ยุ่งยากเพียงนั้นเลยหรือ”

“หูเหรินเป็นคนตรงไปตรงมา พวกเขาคิดได้แค่นี้แม่นางไม่ต้องคิดมากพวกเราแค่ไปปล้นมันมาก็พอ”

……………

[1] หู : มาตราการชั่ง ตวงสมัยโบราณ ประมาณ 50 ลิตร