ท้ายที่สุดแล้วก็มีเพียงสามคนที่ได้เดินทางไปเขาเทียนเสินกับเผ่าหมาป่าหิมะ
หมิงเวย ตัวฝู แล้วก็โหวเหลียง
โหวเหลียงต้องการพาคนไปเพิ่มอีกสองสามคน แต่หมิงเวยบอกว่า “เราประหยัดแรงก่อนดีกว่า พวกเราไปเสี่ยงตายคงไม่มีผู้ใดยินดีที่จะไปด้วยหรอก”
ความตั้งใจดั้งเดิมของโหวเหลียงคือต้องการลูกมือเมื่อหมิงเวยพูดราวกับว่าเขาไม่รู้ความนั่นทำให้เขาโกรธจนตัวสั่น แต่ไม่ว่าเขาจะโกรธเพียงใดก็ไม่กล้าเถียงกับหมิงเวยจึงทำได้เพียงอดทน “ขอรับ”
ซูถูเห็นพวกเขาก็แปลกใจ “ไม่พาคนไปมากกว่านี้หรือ”
หมิงเวยยิ้ม “จะพาคนไปมากมายทำไมกัน องค์ชายส่งคนมาเองดีกว่าพวกเขารู้กฎเกณฑ์ดีคงตักเตือนพวกข้าได้”
ถือว่าสะดวกต่อการจับตามอง แม้นางจะพาคนมาด้วยเขาก็สามารถจับตามองพวกนางได้อยู่แล้ว แต่ถ้านางเสนอมาเช่นนี้ก็มีเหตุมีผลมาก
ซูถูสงบลง “แม่นางวางใจเถอะ พวกเราชาวหูเหรินไม่พิถิพิถันอะไรมากนัก ต่อหน้าเทพเจ้าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือความจริงใจ”
หมิงเวยพยักหน้าแล้วยิ้ม “เช่นนั้นก็ดี”
ทั้งสองตกลงกันเสร็จก็มีสตรีชาวหูมาพร้อมกับเสื้อผ้า หมิงเวยและตัวฝูเปลี่ยนชุดเป็นชุดของชาวหูเหริน แต่โหวเหลียงปฏิเสธ
เขาพูดกับหมิงเวยเงียบๆ “ท่านต้องเข้าไปแทรกแซงพิธีกรรมแน่นอนว่าการสวมชุดของชาวหูย่อมดีกว่า ส่วนข้าเพียงแค่ชุดนักปราชญ์มีเอกลักษณ์ก็พอแล้ว”
หมิงเวยยิ้มอย่างเห็นด้วยแล้วอธิบายให้ซูถูฟัง
ซูถูประหลาดใจเล็กน้อย
หมิงเวยพูด “ท่านโหวผู้นี้เดิมทีเป็นบัณฑิตน่าเสียดายที่โชคไม่ดีมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีความหนึ่งจึงไม่สามารถมีชื่อเสียงได้ถึงได้ผันตัวมาเป็นพ่อค้า”
ซูถูมองอย่างละเอียดจริงจังเมื่อเห็นว่าโหวเหลียงเคารพตนอย่างนอบน้อมจึงพยักหน้า “ช่างเถอะ ท่านโหวไปกับข้าแล้วกัน”
โหวเหลียงคำนับด้วยความเคารพ “ขอบพระทัยองค์ชาย”
ธงยกสะบัดขบวนของเผ่าหมาป่าหิมะออกเดินทางมุ่งหน้าสู่เขาเทียนเสิน
พวกเขาใช้เวลาครึ่งวันกว่าจะไปถึงหุบเขาแสงจันทร์
ซูถูชี้ให้นางมองลงไปที่หุบเขาแคบๆ แล้วพูดว่า “ในตำนานของหูเหริน หุบเขาแสงจันทร์นี้นำไปสู่ที่พำนักของเหล่าทวยเทพ หากผ่านการทดสอบของเส้นทางสายนี้ไปได้ก็จะถึงที่พำนักของเทพและขอพรต่อเทพได้”
หมิงเวยเข้าใจทันที “หมายความว่าตราบใดที่กำจัดทุกคนบนเส้นทางสายนี้ได้ก็จะได้ทุกอย่างในสิ่งที่ต้องการใช่หรือไม่”
เป็นคำพูดที่ค่อนข้างหยาบคาย แต่ซูถูก็พอใจมาก “ใช่ ด้วยทักษะของท่านที่สามารถเอาชนะพระอาจารย์ช่างจื้อได้สบายๆ แต่ยังมีนักบวชจากอีกหกเผ่า เคล็ดวิชาของพวกเขาไม่ได้อ่อนแอเลย”
หมิงเวยยิ้ม “องค์ชายวางใจเถอะ เคล็ดวิชาของพวกท่านข้าพอรู้มาเล็กน้อยเจ้าค่ะ”
ทั้งแปดเผ่าเดินทางมาถึงเขาเทียนเสิน และตั้งที่พักอยู่ใกล้ๆ หุบเขาแสงจันทร์ เมื่อดูระยะห่างระหว่างค่ายแล้วจะสามารถเดาความสัมพันธ์ระหว่างกันได้ง่าย
หากมีความสนิทสนมกันก็จะตั้งค่ายอยู่ใกล้กันหากตั้งค่ายให้อยู่ห่างไกลออกไป และวางแนวป้องกันก็คือศัตรู
หมิงเวยพบว่ามีเพียงสองเผ่าเท่านั้นที่แสดงความเกลียดชังต่อเผ่าหมาป่าหิมะ ส่วนเผ่าที่เหลือคือมีท่าทีไม่สนใจ
นางพูดด้วยรอยยิ้ม “ซ่อนเร้นความสามารถ องค์ชายเจ็ดเข้าใจวัฒนธรรมของจงหยวนอย่างถ่องแท้”
สีหน้าของซูถูดูเรียบเฉยไม่รู้สึกยินดีอะไร
เรื่องพวกนี้ก็ไม่มีอะไรมากเขาเคยอ่านประวัติศาสตร์ของจงหยวน และได้ยินเรื่องราวมากมายจากเหล่าบัณฑิตจากจงหยวนว่ามีดินแดนที่รุ่งเรืองเช่นนั้นบนโลกใบนี้ จากความคิดเห็นของเขาความรุ่งเรืองของหูเหรินนั้นดูดั้งเดิมเกินไป แม้ว่าเขาจะโค่นล้มหัวหน้าเผ่าหมาป่าหิมะ และได้สิทธิ์ในการควบคุมเผ่า แต่มันก็ไม่มีอะไรดีมากนัก
รอให้เขาได้รวมชาวหูเหรินเข้าด้วยกันและขึ้นเป็นจ้าวแห่งทุ่งหญ้า นั่นแหละถึงจะเป็นจุดเริ่มต้น
หมิงเวยพูดคุยอีกไม่กี่คำจิตใจของนางก็จดจ่อไปที่พืชพรรณหายากบนเขาเทียนเสิน นางเรียกตัวฝูและพาสตรีชาวหูที่ซูถูส่งมารับใช้นางไปเดินเล่นเก็บดอกไม้
โหวเหลียงเข้ามาแทนที่นางในเวลาที่เหมาะสมและพูดคุยกับซูถูว่า “สถานที่อย่างเขาเทียนเสินใช้เพื่อสักการะเทพเจ้าเท่านั้นหรือน่าเสียดาย…”
…………
หมิงเวยแยกแยะพืชพรรณแปลกๆ เหล่านี้ไปพลางพูดคุยกับตัวฝูไปว่า “นี่คือดอกเฟิ่งอวี่รากของมันสามารถใช้เป็นยาได้…”
ตัวฝูฟังอย่างตั้งใจแล้วขุดออกอย่างระมัดระวังตามคำแนะนำของนาง เสียงของน่าซูดังขึ้นจากด้านหลัง “พวกเจ้าต้องการเก็บดอกไม้ก็ให้พวกนางเก็บให้สิ! จะเก็บเองทำไมกัน”
เขาหมายถึงสตรีชาวหูที่เดินตามหลังพวกนางสองคน
ตัวฝูเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วก้มหน้าขุดรากต่อไม่สนใจเขาอีกเลย
น่าซูไม่พอใจ “ตัวฝู ทำไมเจ้าไม่สนใจข้า”
ตัวฝูพูดเสียงเบา “คนโกหก!”
“ข้าโกหกอะไรเจ้า” ตัวฝูหันหน้าไปทางอื่นไม่สนใจเขาอีก ท่าทางของนางดูโกรธเคือง คุณหนูบอกว่าน่าซูตั้งใจนำกองคาราวานไปที่เมืองหยุนไฉ และต้องการใช้พวกนางเพื่อจัดการกับพระอาจารย์ช่างจื้อ
น่าซูเกาหัวแล้วพูดคุยกับสตรีชาวหูทั้งสองคน “พวกเจ้าถอยห่างออกไปก่อน”
รอให้สตรีชาวหูถอยออกไปเขาก็คุกเข่าข้างกายตัวฝูแล้วช่วยนางขุด “พวกเจ้าต้องการมาที่หูตี้ข้าก็พาพวกเจ้ามาซึ่งดีกับพวกเจ้ามันไม่ดีหรอกหรือ” ตัวฝูยังคงไม่พูด
“ข้าไม่ได้ตั้งใจจะโกหกพวกเจ้าจริงๆ แค่คิดว่าพวกเจ้าสามารถคุ้มกันกองคาราวานก็คงสามารถช่วยพวกเราได้พวกข้าให้ค่าตอบแทนพวกเจ้าได้!”
“ฮึ!” ตัวฝูรู้ดีว่าตัวเองไม่มีคารมคมคายจึงเงียบไปแล้วไม่โต้เถียงกับเขา
หมิงเวยได้ยินก็หัวเราะ “องค์ชายน่าซูท่านตอบคำถามของข้าสักข้อหนึ่งดีหรือไม่ ขอเพียงท่านตอบเรื่องคนโกหกนี้ถือเป็นอันจบไป”
น่าซูมองนางอย่างระแวดระวัง “เจ้าอยากถามว่าอะไร”
หมิงเวยยิ้มแล้วถามว่า “ท่านไปที่เส้นทางเก่าบนเขาเหยียนซานเพื่อไปเอาของสิ่งใดหรือ”
“….” น่าซูมีสีหน้าลำบากใจ
หมิงเวยพูดอีกว่า “มันไม่สมเหตุสมผลเลยที่ท่านจะปิดบังตอนนี้พวกเราลงเรือลำเดียวกันแล้ว หรือก็คือหากท่านไม่พูดตอนนี้ข้าสามารถกลับไปตรวจสอบที่หมู่บ้านนั้นอีกครั้งได้”
น่าซูครุ่นคิด “ได้ สิ่งที่ข้าต้องการนำกลับมาคือสิ่งที่สามารถทำให้เคล็ดวิชาไร้ผล หากข้าได้มันมาก็จะสามารถเอาชนะพระอาจารย์ช่างจื้อได้”
“ทำให้เคล็ดวิชาไร้ผลงั้นหรือ” หมิงเวยนึกย้อนความทรงจำ
“ใช่ ข้าตอบแล้วสนใจข้าได้หรือยัง”
ตัวฝูไม่สนใจเขา “คุณหนูมีของเช่นนั้นจริงๆ หรือเจ้าคะ มนต์คาถาและเคล็ดวิชาเป็นเรื่องเดียวกันสามารถทำให้เคล็ดวิชาไร้ผลได้ด้วยหรือเจ้าคะ”
หมิงเวยพยักหน้า “อันที่จริงมีของลึกลับอยู่สองอย่าง…”
ทันใดนั้นนางก็นึกถึงอะไรบางอย่างดวงตาของนางดูแปลกไปเมื่อมองไปที่น่าซู
มีบางสิ่งที่สามารถยับยั้งเคล็ดวิชาได้ และของพวกนั้นยังเป็นสมบัติล้ำค่าอีกด้วย นางจำได้ว่ามีสิ่งหนึ่งบังเอิญอยู่ในพระราชวังในราชวงศ์ก่อน และองค์หญิงที่ถูกส่งมาอภิเษกเพื่อสานสัมพันธ์นั้นดูเหมือนจะเป็นย่าของพวกเขา…
คำถามก่อนหน้านี้ดูเหมือนจะมีคำตอบแล้ว
คนที่อยู่ในหมู่บ้านเล็กนั้นล้วนเป็นชาวจงหยวนพวกเขามีชีวิตอยู่เพราะได้ทานยาแปลกๆ และอยู่เฝ้าที่แห่งนั้นราวกับเฝ้าศพ…
หรือพวกเขาจะเป็นคนเก่าแก่ที่เคยอยู่ข้างกายองค์หญิงที่ถูกส่งมาอภิเษกผู้นั้น ราชวงศ์ก่อนล่มสลายไปแล้ว พวกเขาไม่มีที่ไปองค์หญิงผู้นั้นก็สิ้นพระชนม์ไปแล้ว เมื่อไร้เจ้านายจึงใช้ชีวิตที่เหลือที่นั่น
น่าซูไม่รู้ว่านางคิดมากมายเพียงนั้นจึงพูดว่า “พวกเจ้าไม่ต้องคิดมากหรอก คนพวกนั้นล้วนไม่ใช่คนที่ไปยั่วได้ง่ายๆ หากไม่จำเป็นข้าก็ไม่ไปที่นั่นหรอก เดี๋ยวดอกนี้ใช้ทำอะไรได้หรือ”
หมิงเวยหัวเราะนางวางเรื่องนี้ลงแล้วอธิบายให้เขาฟังว่า “นั่นคือดอกเฟิ่งอวี่ ไม่รู้ว่าชาวหูเหรินเรียกว่าอะไร…”
…………