บทที่ 36 ความอ่อนโยน

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

วันที่ 3 เดือน 3 เทศกาลดอกท้อ หญิงสาวกลุ่มนั้นได้เตรียมหลุมใหญ่เอาไว้แล้ว รอเวลาที่เฟิ่งชิงเฉินจะกระโดดลงไป
หากเฟิ่งชิงเฉินหลงกลพวกนาง นางจะต้องตกที่นั่งลำบากแน่
เดิมทีเรื่องนี้ตนก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยว แม้เมื่อวานเฟิ่งชิงเฉินจะเคยช่วยเขาไว้ แต่นางก็ทำให้เขาขุ่นเคือง ที่เขาไม่ฆ่านางก็นับว่าปรานีนางมากแล้ว
แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน ถึงอย่างไรเฟิ่งชิงเฉินก็ได้ช่วยเขาเอาไว้ เขาไม่สามารถทนมองเฟิ่งชิงเฉินตกลงไปในกองไฟได้
คนอย่างหลานจิ่วชิงต้องตอบแทนผู้ที่มีบุญคุณ
“เฟิ่งชิงเฉิน ข้า หลานจิ่วชิงไม่ชอบเป็นหนี้บุญคุณใคร โดยเฉพาะกับผู้หญิง บุญคุณที่เจ้าช่วยชีวิตข้าไว้ ถึงอย่างไรข้าก็ต้องทดแทน” หลานจิ่วชิงกล่าวในใจ เขาหลับตาลง ไม่อยากมองหน้าเฟิ่งชิงเฉิน แล้วมองดูสถานการณ์รอบๆ
เฟิ่งชิงเฉินกำลังใจจดใจจ่ออยู่กับบาดแผลของหลานจิ่วชิง หารู้ไม่ว่าในสมองของหลานจิ่วชิงตอนนี้ กำลังคิดเรื่องความโชคร้ายของนางที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันเทศกาลดอกท้อ
……
แม้ว่าบาดแผลของหลานจิ่วชิงจะไม่ได้ติดเชื้อ แต่ปากแผลก็เปิดออกกว้างมาก ด้ายเย็บแผลที่ใช้ไป นอกจากจะหลุดแล้วยังเปื้อนเข้าไปในเนื้ออีก
เฟิ่งชิงเฉินกัดฟันครุ่นคิด นางอยากจะฟาดผู้ชายคนนี้เสียให้สิ้นเรื่อง แต่เหมือนถูกหลานจิ่วชิงบังคับ นางจึงต้องก้มหน้าก้มตาเลาะด้ายออกอย่างว่าง่าย
เนื่องจากหลานจิ่วชิงขอไว้ เฟิ่งชิงเฉินจึงไม่ใช้ยาสลบ นางลงมือทำแผลกับเนื้อสดๆที่มีเลือดไหลเยิ้มเช่นนั้นโดยตรง
เมื่อคีมปลายแหลมจิ้มที่แผล บางครั้งจะมีเสียงโอดครวญออกมาบ้าง เฟิ่งชิงเฉินรู้ดีว่ามันเจ็บปวดเพียงใด แต่ชายชุดดำหน้ากากเงินกลับไม่แสดงสีหน้าเจ็บปวดแม้แต่น้อย
เมื่อจัดการกับเส้นด้ายที่หลุดลุ่ยเรียบร้อยแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็ล้างแผลให้หลานจิ่วชิง แล้วเตรียมเอาเนื้อเน่าออกจากแผล เนื้อเน่าพวกนี้ ดูก็รู้ว่าเกิดจากแรงกระแทกของวัตถุมีคม
หลานจิ่วชิงไม่ได้พูดอะไรเลย เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่คิดที่จะถาม จรรยาบรรณของคนเป็นแพทย์ จะไปเซ้าซี้ให้มากความก็ไม่ดี โดยเฉพาะกับเรื่องที่นางก็ไม่อยากจะใส่ใจ
“อาจจะเจ็บหน่อยนะ อดทนหน่อย เจ็บแค่ไหนก็ห้ามขยับเด็ดขาด” เฟิ่งชิงเฉินกล่าว
ในฐานะที่นางเป็นหมอ เมื่อยามีไม่พอ การไม่ใช้ยาสลบจึงเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ หมอในสมัยนั้นมักจะใช้วิธีเบี่ยงเบนความสนใจของผู้ป่วย เพื่อให้ผู้ป่วยสนใจเรื่องอื่นแทน
แต่ว่าชายสวมหน้ากากผู้นี้ล่ะ?
เขากลับเอาแต่จ้องมอง ทำราวกับว่ามีดคมๆของเฟิ่งชิงเฉินนั้นจะไม่ได้ทิ่มลงมาบนร่างกายเขา
สำหรับคนเช่นนี้
เฟิ่งชิงเฉินนับถือหัวใจเขายิ่งนัก ความสามารถในการอดทนต่อความเจ็บปวดของชายคนนี้ไม่ใช่ธรรมดา
แต่ก็แค่นับถือหัวใจเขาเท่านั้น
“ลงมือเลยสิ” หลานจิ่วชิงกล่าวหน้าตาเฉย ราวกับว่าไม่รู้สึกเจ็บปวด แต่ในความเป็นจริง เขาเจ็บจนหน้าขาวซีด และมีเหงื่อออกท่วมหน้าผาก
เขาทำตามที่เฟิ่งชิงเฉินบอก เขากัดฟันทนต่อความเจ็บปวด
เขายอมเจ็บ แต่จะไม่ยอมให้ตัวเองนั้นเป็นอะไรไป
ความรู้สึกที่ถูกผู้อื่นมาควบคุมชีวิตมันช่างแย่เหลือเกิน
“ก็กำลังจะลงมืออยู่นี่ไงล่ะ เร่งอยู่ได้!” เฟิ่งชิงเฉินแอบบ่นในใจ
คนเราไม่ว่าจะรักษาจรรยาบรรณของอาชีพได้ดีแค่ไหน เมื่อต้องมาเจอผู้ป่วยกวนประสาทเช่นนี้ ก็ต้องมีหลุดโมโหออกมาบ้าง
ผู้ป่วยไม่ให้ความร่วมมือในการรักษาเลย
ไม่กลัวเจ็บหรือไงนะ?
ดี งั้นข้าจะทำแรงๆ เอาให้เจ็บเจียนตายไปเลยก็แล้วกัน
เฟิ่งชิงเฉินยิ้มกริ่ม แล้วนำมีดผ่าตัดเบอร์ใหญ่สุดออกมา
แต่น่าเสียดายที่นางยิ้มเช่นนั้นได้ไม่นาน เมื่อเห็นมีดผ่าตัดในมือเฟิ่งชิงเฉินแล้ว หลานจิ่วชิงกลับไม่มีสีหน้าหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย
“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าอย่ามัวลีลาอยู่เลยนะ เจ้าก็รู้ว่าข้าเป็นคนอารมณ์ร้อน”
นี่คือคำขู่
ผู้ป่วยขู่หมอ
แต่ทว่า……เฟิ่งชิงเฉินก็ตกเป็นเหยื่อของคำขู่นั้นไปตามระเบียบ
เฟิ่งชิงเฉินกดไหล่ของเขาไว้ มืออีกข้างก็หันไปวางมีดเบอร์ใหญ่ลง แล้วเปลี่ยนเป็นมีดผ่าตัดขนาดเล็กที่ปลายแหลมมากกว่าเดิม
เมื่อเห็นเฟิ่งชิงเฉินหน้าเจื่อน แววตาของหลานจิ่วชิงก็แสดงอาการเยาะเย้ยออกมา
แต่เมื่อเฟิ่งชิงเฉินหันกลับมา แววตาเช่นนั้นก็หายไป
คราวนี้มีทั้งมีดและคีม เฟิ่งชิงเฉินคีบเนื้อเน่าออกจากแผลอย่างเบามือ ทีละเล็กทีละน้อยอย่างใจเย็น
เนื่องจากนางต้องทำงานเพียงคนเดียว เฟิ่งชิงเฉินจึงทำงานค่อนข้างช้า นางแหวกเนื้อแล้วค่อยๆคีบเนื้อเน่าออกมา แล้วก็แหวกเนื้อและคีบเนื้อเน่าออกมาอีก
ทำเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมา สำหรับหมอแล้ว นี่เป็นงานที่น่าเบื่อยิ่งนัก แต่สำหรับผู้ป่วย มันคือความเจ็บปวดอย่างสุดแสน
แต่ว่า……นี่ไม่ใช่สิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินตั้งใจ และนางเองก็ไม่มีทางเลือก
ไม่มีผู้ช่วยในการผ่า ซึ่งนางเป็นหมอเพียงคนเดียว จึงต้องรับหน้าที่เป็นผู้ช่วยให้ตัวเอง นางไม่มีทางเลือกมากนัก
หากไม่ถูกใจหลานจิ่วชิง ก็ให้เขามาทำแผลให้ตัวเองก็แล้วกัน
นางไม่ได้คิดเล็กคิดน้อย เฟิ่งชิงเฉินตรงไปตรงมา
ไม่มีผู้ช่วยในการผ่า ซึ่งนางเป็นหมอเพียงคนเดียว จึงต้องรับหน้าที่เป็นผู้ช่วยให้ตัวเอง นางไม่มีทางเลือกมากนัก
แม้หลานจิ่วชิงจะเจ็บมาก แต่เมื่อเห็นการทำงานของเฟิ่งชิงเฉินแล้ว เขาก็ไม่อยากจะข่มขู่นางอีก
การทำแผลครั้งนี้กินเวลาราวๆครึ่งชั่วยาม
ดวงตาของเฟิ่งชิงเฉินทั้งแดงและบวม แถมมือยังสั่นเพราะต้องถือมีดกับคีมอยู่ตลอด
“ขอโทษนะ ข้าต้องพักสักประเดี๋ยว มือของข้าทำต่อไปไม่ได้แล้ว” เฟิ่งชิงเฉินมองหน้าหลานจิ่วชิงด้วยความรู้สึกผิด นางวางมีดและคีมลง ถอดถุงมือทางการแพทย์ ล้างมือซ้ำๆอยู่ 5 ครั้ง ก่อนจะยกมือมาขยี้ตาของตัวเอง
เฟิ่งชิงเฉินไม่ใช่คนที่ถอดใจง่ายๆ หากไม่ใช่เพราะมือไม้อ่อนแรง จับมีดผ่าตัดไม่มั่นคง นางไม่มีทางทำเช่นนี้แน่นอน
“มานี่ซิ” หลานจิ่วชิงกวักนิ้วเรียกนาง
“หืม?” เฟิ่งชิงเฉินเงยหน้ามองด้วยความสงสัย ดวงตาที่แดงก่ำของนางดูเหมือนกระต่ายน้อย เมื่อมองลึกๆลงไปแล้ว ดูท่าทางเหมือนเป็นคนหัวอ่อน
“มานี่ อย่าให้ข้าต้องพูดเป็นครั้งที่สามนะ” ชายผู้มีอำนาจคับฟ้าก็เป็นเช่นนี้ ทนไม่ได้ที่จะถูกปฏิเสธ
ก็ไม่รู้เพราะเหตุใด เฟิ่งชิงเฉินก็ไปหาอย่างว่าง่าย
“เป็นอะไรหรือเปล่า? เจ็บแผลหรือ? ไม่น่าจะเจ็บนะ?” แม้หลานจิ่วชิงไม่ได้รับยาสลบ แต่นางก็ทายาระงับปวดไว้ที่มีดผ่าตัดแล้ว
แม้ว่านางจะไม่ชอบหน้าชายสวมหน้ากากผู้นี้เท่าไรนัก แต่นางก็ทำใจละเมิดจรรยาบรรณของตัวเองไม่ลง
คนเป็นหมอไม่สามารถนำความรู้สึกส่วนตัวมาปนกับการทำงานได้
ต่อให้ผู้ที่มานอนอยู่บนเตียงผ่าตัดจะเป็นฝ่ายศัตรูก็ตาม อย่างไรนางก็ต้องเข้าไปช่วย หรือจะเป็นคู่กัดคู่แค้น นางก็ต้องช่วยชีวิตเอาไว้ก่อน
นี่ก็คือหมอที่แท้จริง ในสายตาของคนที่เป็นหมอมีเพียงแค่โรคที่สามารถรักษาได้ และผู้ป่วยที่หมดหนทางเยียวยาแล้วเท่านั้น
ความถูกผิดหรือว่าดีไม่ดี เรื่องเหล่านี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกฎหมาย
“ยื่นมือมาสิ” หลานจิ่วชิงกล่าว
“จะทำอะไร?” เฟิ่งชิงเฉินงุนงง แต่ก็ยอมทำตามที่หลานจิ่วชิงบอก
เย็นเฉียบ อ่อนโยน และเนียนนุ่ม
ลักษณะเช่นนี้ หากนำมาบรรยายมือของเฟิ่งชิงเฉินก็คงจะไม่ผิด
หลานจิ่วชิงกำมือนางไว้แน่น พลางแอบเสียดายถ้าหากต้องปล่อยมือของนางไป
เฟิ่งชิงเฉินขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ “ปล่อย”
มือของนางล้ำค่ายิ่งกว่าใบหน้าของนางมาก หากบาดเจ็บขึ้นมา เส้นทางชีวิตแพทย์ก็คงจะไปต่อไม่ได้ ศัลยแพทย์อย่างนางต้องใช้มือในการทำมาหากิน ตอนนี้มือของนางอยู่ในกำมือของหลานจิ่วชิง หากเขาบีบมือนางแรงๆขึ้นมา นางต้องแย่แน่ๆ
หลานจิ่วชิงไม่สนใจคำพูดเฟิ่งชิงเฉิน เขายังคงกำมือของเฟิ่งชิงเฉินไว้ แล้วค่อยๆนวดกดจุดให้นาง
หลานจิ่วชิงรู้จุดการนวดเป็นอย่างดี แถมยังรู้จักควบคุมแรงอีกด้วย
“สบายจัง” เฟิ่งชิงเฉินหลุดปากพูดเบาๆ
เขานวดดีกว่าที่แพทย์แผนจีนสอนนางมาเสียอีก นางรู้สึกผ่อนคลายอย่างรวดเร็ว
“ท่านผู้วิเศษ ท่านช่วยสอนข้าได้หรือไม่? ข้าปวดมืออยู่บ่อยๆ หากข้านวดเป็นจะได้ไม่ทำให้คนอื่นต้องลำบาก” เฟิ่งชิงเฉินยิ้มละมุนอย่างเป็นมิตร นางทึ่งในความสามารถของหลานจิ่วชิงมาก
ผู้หญิงคนนี้ พอเห็นผลประโยชน์ตรงหน้าก็พูดดีเลยเชียว
หลานจิ่วชิงเหลือกตามองบน
“ถึงสอนไป เจ้าก็ทำไม่ได้อยู่ดี”
“เพราะอะไรล่ะ? ข้าเรียนหมอมานะ ฝีมือของท่านก็ไม่ได้เลิศเลออะไรนัก ทำไมข้าจะทำตามไม่ได้ล่ะ ข้าก็แค่ควบคุมแรงมือไม่ค่อยได้เท่านั้นเอง” ไม่เสียแรงที่เฟิ่งชิงเฉินเรียนหมอมา เมื่อสัมผัสมือของหลานจิ่วชิง นางก็ประเมินฝีมือเขาได้เลย
สิ่งสำคัญอยู่ที่การออกแรง มันให้ความรู้สึกอุ่นๆร้อนๆที่ซึบซาบเข้าสู่เส้นเอ็น
หากนางทำเป็นบ้าง คงจะช่วยคลายปวดให้สองมือของนางได้เป็นอย่างดี ต่อไปจะได้หมดห่วงกับปัญหามือจับมีดผ่าตัดไม่มั่นคง
“……” หลานจิ่วชิงไม่พูดอะไรต่อ เขาได้แต่มองหน้าเฟิ่งชิงเฉิน นัยน์ตาเหมือนกำลังครุ่นคิดบางสิ่งบางอย่าง
“ไม่เอาดีกว่า ข้าไม่เรียนแล้ว” เฟิ่งชิงเฉินรีบดึงมือกลับอย่างรวดเร็ว แต่กลับพบว่ามือของนางนั้นถูกหลานจิ่วชิงกำไว้แน่น ดึงอย่างไรก็ดึงไม่ออก
บทที่ 035 หยุด

บทที่ 37 เลี้ยงผู้ชายไว้ในจวน