หากไม่อาจรักได้

 

 

เช่นนั้นก็แค้นเถอะ…

 

 

แค้นหรือ…

 

 

ชั่วขณะนั้นปลายนิ้วของเขาสัมผัสถึงความอุ่นร้อน เป่ยเฉินเสียเยี่ยนชะงักไป มองนางทีหนึ่งค่อยพบว่านางร้องไห้ตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้

 

 

น้ำตาที่หางตากลิ้งตกไปกระทบเรือนผม ถึงเป็นแค่หยดเดียว ทว่าเห็นอย่างชัดเจน

 

 

“อยากให้เจ้าเจ็บปวดเช่นนี้ตลอดไปจริงๆ!” ปากเขาเอ่ยคำไร้เยื่อใย แต่การกระทำกลับอ่อนโยนขึ้น ริมฝีปากเขาแตะลงซับน้ำตาของนาง เอ่ยว่า “ถึงจะเจ็บมากกว่านี้ แต่สุดท้ายก็ทนเห็นน้ำตาของเจ้าไม่ได้! เยี่ยเม่ย เจ้าเคยรักข้าบ้างหรือไม่”

 

 

นางไม่ตอบ

 

 

สุดท้ายเขาก็หยุดการกระทำป่าเถื่อน เขาคิดอยากให้นางเจ็บต่อไป ต่อให้แค้นเขาเข้ากระดูกก็ดี อย่างน้อยก็มีเขาอยู่ในใจ

 

 

ส่วนเขากลับ…

 

 

ทนเห็นน้ำตาของนางไม่ได้

 

 

หลังจากนางหลับไป เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็นั่งเงียบๆ มองนางอยู่นาน สุดท้ายก็ลุกออกจากห้องหอ…

 

 

นางทำร้ายหัวใจของเขา เหยียดหยามความรู้สึกเขา ส่วนเขาก็ทำร้ายร่างกายนาง

 

 

ใครต่างก็คิดไม่ถึงว่า คืนเข้าหอจะจบลงแบบนี้

 

 

พวกเขาสองคนกลับบีบคั้นให้ความรักดำเนินมาถึงขั้นนี้โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

 

 

……

 

 

ตามประเพณีแล้ว เดิมทีวันนี้เยี่ยเม่ยสมควรไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้และฮองเฮาในวังหลวง แต่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนสั่งให้คนไปส่งข่าวในวังว่า ร่างกายนางไม่สะดวกจะออกจากบ้านแล้ว

 

 

เมื่อคืนเป็นวันเข้าหอ ทำไมถึงไม่สบาย ใครๆ ต่างพอเดาได้ทั้งนั้น ด้วยเหตุนี้คนทั้งหลายเริ่มทำการวิจารณ์

 

 

ทุกคนแปลกใจว่าสตรีอย่างเยี่ยเม่ย ถึงกับไม่อาจเข้าเฝ้าฮ่องเต้และฮองเฮาในวังได้ ก็ดูออกว่าองค์ชายสี่รุนแรงถึงเพียงไหน

 

 

ฮ่องเต้ไม่ใส่ใจรายละเอียดปลีกย่อยนี้ หลังได้ฟังก็แสดงความเป็นห่วงเล็กน้อย จากนั้นก็ให้คนส่งของขวัญไปไถ่ถาม ซ้ำยังสั่งให้หยุดงานหลายวัน เพื่อแสดงถึงความโปรดปราน

 

 

กลางวันซือหม่าหรุ่ยได้รับข่าวจากเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ให้มาดูอาการเยี่ยเม่ย

 

 

คิดไม่ถึงว่า เมื่อเห็นนางก็โกรธสุดขีด

 

 

ตอนช่วยเยี่ยเม่ยทายา ซือหม่าหรุ่ยเจ็บใจอย่างมาก ถึงไม่ใช่แผลสาหัส แต่ก็บวมอย่างนั้น ก็เรียกว่ารุนแรงอย่างมาก

 

 

นางอดกล่าวด้วยความโมโหไม่ได้ “ครั้งแรกของสตรี ไฉนเขาถึงได้รุนแรงถึงเพียงนี้”

 

 

เยี่ยเม่ยตื่นขึ้นมาแล้ว นางหน้าซีดเซียว ยอมรับเสียงนิ่งว่า “ข้าเป็นคนบีบคั้นเขาเอง ข้ายั่วโทสะเขา บอกว่าการเข้าหอก็เป็นแค่สิ่งแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ ข้ายังบอกอีกว่านี่เป็นสิ่งที่เขาเรียกร้อง!”

 

 

“เจ้า…” ซือหม่าหรุ่ยถูกยั่วโมโหเข้าให้แล้ว

 

 

นางอดไม่ไหว “เจ้าทำร้ายจิตใจเขาก็ช่างเถอะ ไฉนต้องดูหมิ่นความรู้สึกของเขาด้วย! เขา…ย่อมต้องเกิดโทสะอยู่แล้ว! ข้าไม่เข้าใจจริงๆ เจ้าทำไปเพื่ออะไร ต่างก็บาดเจ็บทั้งคู่ มีอะไรดีกับเจ้าอย่างนั้นหรือ!”

 

 

คืนแต่งงานดีๆ เดิมนางคิดว่าอย่างน้อยถึงพวกเขาไม่อาจสมัครสมานรักใคร่ อย่างน้อยก็รู้จักเคารพกัน แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นเช่นนี้ไปได้

 

 

เยี่ยเม่ยสีหน้าเย็นชา เอ่ยว่า “เมื่อคืนเป็นคืนเข้าหอ เขาต้องการ ข้าก็ไม่คิดปฏิเสธ อย่างน้อยข้าก็เตรียมมอบให้เขาแต่แรกแล้ว อาหรุ่ย ข้าใส่ใจเขาเกินไปแล้ว ดังนั้นข้าทำได้เพียงเท่านี้ หากข้าไม่ผลักไสเขาไกลออกไป ข้าก็คงต้องตกหลุมถลำลึกลงไปด้วย!”

 

 

ซือหม่าหรุ่ยรู้จุดยืนของเยี่ยเม่ยว่าอึดอัดเพียงใด ต่อไปนางเป็นสะใภ้ของศัตรู เรียกศัตรูเป็นเสด็จพ่อ รับโจรเป็นพ่อ ใครก็รับไม่ได้ทั้งนั้น

 

 

หากยามนี้นางยังปล่อยตัวให้มีความรักกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน บางทีนางอาจจะเป็นบ้าไปได้

 

 

เพียงแต่ซือหม่าหรุ่ยยังเอ่ยว่า “แต่ข้าก็ยังหวังว่า เจ้าจะไม่เคี่ยวกรำตัวเองแบบนี้แล้ว บาดแผลบนร่างเจ้า ข้ามองออก ถึงเขาโกรธ สุดท้ายก็ยังทะนุถนอมอยู่บ้าง ไม่ได้ไร้ใจเลยเสียทีเดียว เจ้าอย่าได้ยั่วโมโหเขาอีกเลย ทำให้ตัวเองทรมานไปทำไม!”

 

 

“เพราะว่าข้าอยากเจ็บปวด อย่างนี้ข้าถึงได้สติบ้าง!” เยี่ยเม่ยเอ่ยพลางมองซือหม่าหรุ่ย

 

 

นางกล่าวเช่นนี้ ซือหม่าหรุ่ยรู้สึกตกใจกับความคิดบ้าคลั่งของเยี่ยเม่ย

 

 

“เจ้าคิดว่าข้าเหมือนคนบ้าใช่ไหม บางทีคนจำนวนมากอาจพูดเช่นนี้ แต่…” เยี่ยเม่ยแค่นเสียง

 

 

สีหน้าไร้ความรู้สึกของนาง เอ่ยว่า “ตั้งแต่เมื่อก่อนหนทางภายหน้าของข้าสว่างไสว ไม่มีใครฉุดรั้งได้ มีคนบอกว่าข้าเป็นคนบ้า ก็เพราะว่าพวกเขาไม่เข้าใจข้อแตกต่างระหว่างพวกโรคจิตกับคนบ้า”

 

 

หนทางภายหน้าของนางสว่างไสว นั่นก็เพราะว่านางรู้ความต้องการของตัว นางเป็นคนทำเพื่อความแค้นจนไม่เสียดายทุกสิ่ง

 

 

นางเ**้ยมโหดกับผู้อื่นได้ ก็เ**้ยมโหดกับตัวเองเช่นเดียวกัน

 

 

ซือหม่าหรุ่ยช่วยเยี่ยเม่ยทายาเงียบๆ กลับรู้สึกเสียใจจริงๆ บางทีตั้งแต่ต้นนางไม่ควรช่วยเยี่ยเม่ยฟื้นฟูความทรงจำ ไม่ควรเล่าเรื่องในอดีตให้ฟังเพราะคำขอร้อง

 

 

ตอนนี้เยี่ยเม่ยบีบคั้นตัวเองจนเป็นเช่นนี้แล้ว ยังรุนแรงเลวร้ายกว่าที่นางคิดไว้มาก ในฐานะสหายนางจะไม่กังวลได้หรือ

 

 

“ข้ากลัวเจ้าจะเสียใจภายหลัง!” ซือหม่าหรุ่ยอดไม่ไหว เอ่ยออกมา

 

 

เยี่ยเม่ยตอบกลับนิ่งๆ ว่า “ข้าก็กลัว ดังนั้นข้าไม่กล้าคิดไปข้างหน้า ทั้งไม่กล้าย้อนคิดถึงอดีต ข้าได้แต่ยืนหยัดบนหนทางในปัจจุบัน! อาหรุ่ย เจ้าช่วยข้าเตรียมอะไรหน่อยได้ไหม!”

 

 

“อะไร” ซือหม่าหรุ่ยถามนาง

 

 

……

 

 

จวนองค์ชายสี่ ในห้องของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยืนอยู่ริมหน้าต่างมือไพล่หลัง จนถึงวันนี้เขาถึงรู้ว่าเทียบกันด้านการทรมานจิตใจคนแล้ว เยี่ยเม่ยไม่ด้อยไปกว่าเขาเลย

 

 

นางรู้ว่าเขาเจ็บปวดเพราอะไร นางเหยียบย่ำลงไปที่หัวใจเขาอย่างรุนแรงทุกครั้ง นางรู้ว่าจะยั่วโมโหเขาได้อย่างไร!

 

 

เมื่อคิดถึงตอนนั้นขึ้นมา ปลายนิ้วเขาสัมผัสได้ถึงความอุ่นร้อน

 

 

เขาก็กำหมัดแน่น เขาควรทำอย่างไรกับนางดี นางไม่ยินยอมเขาเช่นนี้ เขาก็ทำอะไรไม่ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ต่างฝ่ายต่างทรมาน รอจนใครเจ็บปวดจนตายไปก่อนหรือ

 

 

ไม่ นางไม่มีทางเจ็บปวด ถึงอย่างไรระหว่างนางกับเขาก็เป็นแค่การแลกเปลี่ยน ในสายตานางสิ่งที่เขาทำไปทั้งหมดก็เพื่อร่างกายนางเท่านั้น

 

 

หลังจากอวี้เหว่ยเดินมาถึงข้างกาย

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนถามว่า “นาง…ยังสบายดีไหม”

 

 

อวี้เหว่ยก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่ องค์ชายสี่ที่เมื่อวานยังยินดีเบิกบาน วันนี้กลับ…

 

 

เขาตอบว่า “ยังสบายดี หมอเทวดาบอกว่า ต่อไปท่านอย่าได้รุนแรงเช่นนี้แล้ว ถึงแม้ไม่กระทบกระเทือนสุขภาพและมีอันตราย แต่ร่างกายของสตรีก็ไม่อาจรับไหว”

 

 

“อืม” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนรับคำ ไม่รู้ว่าเขารู้สึกอย่างไร

 

 

หวังจากอวี้เหว่ยเอ่ยจบ ก็มองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอย่างระวัง เอ่ยว่า “ยังมีอีกเรื่อง! หมอเทวดาต้มยาให้แม่นางเยี่ยเม่ย พอดีว่าคนในครัวพอจะรู้เรื่องยาอยู่บ้าง เขาสังเกตได้ว่ายานั้นมีปัญหา จากนั้น…”

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหันมองอวี้เหว่ย

 

 

อวี้เหว่ยก็ฝืนเอ่ยต่อว่า “ข้าฟังความเห็นเขา ให้เอากากยาไปให้หมอตรวจสอบดู”

 

 

“เป็นอะไร” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพอจะเดาได้แล้ว

 

 

อวี้เหว่ยก้มหน้าลงตอบว่า “ยาป้องกันบุตร!”