พี่สาวของเขามีน้อยครั้งที่จะชมเชยคน นานๆ ทีจะชมว่าไม่เลว อวิ๋นจิ่นจ้งจึงไม่เกรงใจ “ท่านพี่ วันนั้นผู้อาวุโสเฉาของกั๋วจื่อเจี้ยนชมว่าการบ้านข้าไม่เลว แนะนำให้ข้าไปสอบระดับมณฑลในเดือนแปดปีหน้าด้วยขอรับ”
การสอบระดับมณฑลหรือ อวิ๋นหว่านชิ่นกำกระดาษการบ้านไว้ในมือชะงักไป การสอบระดับมณฑลเป็นการสอบคัดเลือกผู้มีความสามารถอย่างหนึ่งของต้าเซวียน ก่อนหน้านั้นยังมีการสอบอีกหลายครั้งที่จะต้องผ่านไปทีละก้าว หลังจากที่สอบผ่านแล้วจึงจะสามารถเข้าสนามสอบระดับมณฑลในเดือนแปดได้ สอบติดแล้วก็คือ ‘จวี่เหริน[1]’ ส่วนผู้สอบได้อันดับหนึ่งนั้นเรียกว่า ‘เจี่ยหยวน’
ผู้ที่ผ่านการสอบระดับมณฑล เป็นกำลังสำรองของการเป็นขุนนาง หากตำแหน่งขุนนางเว้นว่างลง ก็จะได้ขึ้นแทนที่ในทันที
แต่น้องชาย ต้นปีหน้าเพิ่งจะอายุสิบเอ็ดปีเต็มเท่านั้น
ราชสำนักมีความเชื่อว่ามีปณิธานไม่เกี่ยวกับอายุ ถึงแม้ศิษย์ที่เข้าร่วมการสอบระดับมณฑล[2]นั้น อายุมากน้อยไม่เท่ากัน ไม่มีข้อกำหนดที่เคร่งครัด แต่ทว่าศิษย์อายุเท่าน้องชายนี้น้อยนัก ตอนนี้จะกระโดดข้ามหลายขั้นเข้าร่วมการสอบ ได้รับการเสนอชื่อจากกั๋วจื่อเจี้ยนให้ไปสอบระดับมณฑลเลยอย่างนั้นหรือ
หากได้รับการคัดเลือก ปีถัดไปก็จะสามารถเข้าร่วมการสอบระดับเมืองหลวง[3]และการสอบหน้าพระที่นั่ง[4] ถึงตอนนั้นฮ่องเต้เป็นผู้ตรวจข้อสอบด้วยตนเอง หากได้เป็นศิษย์ของโอรสสวรรค์ ก็จะได้เข้าสู่เส้นทางการเป็นขุนนาง เป็นเสาหลักของบ้านเมืองได้ทันที
อวิ๋นจิ่นจ้งเห็นว่าพี่สาวสีหน้าสงสัย กล่าวหน้ามุ่ย “ท่านพี่ไม่มั่นใจในตัวข้าหรือ ในราชวงศ์ก่อนหน้านั้นก็ยังเคยมีนายอำเภอเด็กหนุ่มวัยสิบสี่กับอัครมหาเสนาบดีวัยสิบหก ทำไมข้าถึงเป็นไม่ได้เล่า จิ่นจ้งมั่นใจว่าทำได้”
อวิ๋นหว่านชิ่นมิใช่ไม่เชื่อน้องชาย เพียงแต่ลูกท่านหลานเธอในกั๋วจื่อเจี้ยนที่รอไต่เต้าขึ้นไปนั้นมีไม่น้อย จะตกมาถึงน้องชายที่อายุยังน้อยได้อย่างไร จึงถามว่า “ท่านพ่อว่าอย่างไร”
อวิ๋นจิ่นจ้งลังเลอยู่สักครู่ “เรื่องนี้ข้ายังไม่เคยบอกท่านพ่อ ผู้อาวุโสเฉาบอกให้ข้าอย่าเพิ่งบอกกับคนที่บ้าน บอกเพียงว่า…”
“ว่าอะไร”
อวิ๋นจิ่นจ้งกล่าวเสียงกระซิบ “บอกเพียงว่าข้างบนมีผู้สูงศักดิ์คอยช่วยเหลือ…ให้ข้าตั้งใจเรียนหนังสือไป ถึงเวลาจะจัดการให้สิทธิ์เข้าสอบแก่ข้า ข้าแค่ไปสอบก็พอ”
เป็นผู้สูงศักดิ์หรือ สามารถสั่งการขุนนางบัณฑิตของกั๋วจื่อเจี้ยนได้ กุมการสอบและอนาคตของศิษย์ได้ ยังจะมีผู้สูงศักดิ์ใดอีก
หรือว่า จะเป็นเจตจำนงของหนิงซีฮ่องเต้
ฟังความหมายของคำพูดนี้แล้ว เหมือนว่าเขาจะรีบร้อนอยากจะเปิดไฟเขียวให้กับเส้นทางการเรียนของน้องชาย ให้น้องชายได้เข้าสู่เส้นทางการเป็นขุนนางได้เร็วที่สุด
หากจะบอกว่ามีความรู้สึกลึกซึ้งต่อตนก็ยังพอเข้าใจ เพราะอย่างไรเสียตนกับท่านแม่ก็หน้าตาละม้ายคล้ายกัน…แต่น้องชายถึงอย่างไรก็เป็นบุตรชายของบ้านตระกูลอวิ๋น หนิงซีฮ่องเต้ทำไมถึงได้เป็นห่วงใส่ใจถึงเพียงนี้
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นว่าน้องชายจ้องตนอยู่ ยังรอคำตอบของตน เป็นความแปลกที่พูดไม่ออก ทำได้เพียงกล่าวเสียงแผ่วเบา “อืม เช่นนั้นเจ้าก็ทำตามที่ผู้อาวุโสเฉาบอกแล้วกัน ตั้งใจเรียนไป ไม่ต้องสนใจเรื่องอื่น แล้วก็อย่างเพิ่งบอกท่านพ่อและคนอื่นๆ”
อวิ๋นจิ่นจ้งส่งเสียง “อืม” แล้วพยักหน้า
ทั้งสองคุยกันอยู่สักพักใหญ่ อวิ๋นหว่านชิ่นเรียกชูซย่าเข้ามา ให้นางนำ**บอุปกรณ์เครื่องเขียนที่เอามาวันนี้ลงจากรถม้า แล้วส่งไปที่ห้องอวิ๋นจิ่นจ้ง
ของกำนัลกลับเรือนถึงแม้จะธรรมดาไม่หรูหรา แต่ก็ไม่ลืมที่จะนำของดีๆ มาฝากน้องชาย
ชูซย่ายิ้มขานรับ พานายน้อยออกไปก่อน
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นว่าสายมากแล้ว กะว่าจะเดินดูในเรือนนอกเรือนอิ๋งฝู เดินเล่นรอบๆ เสียหน่อย เพราะถึงอย่างไรก็เป็นเรือนอาศัยที่เคยอยู่ ยังคงมีความผูกพันธ์กับห้องเรือนที่อยู่เคียงข้างมาตลอดหลายปีนี้
เดินไปหนึ่งรอบ มีเสียงลอยมาจากนอกประตูจันทรานางเดินไปดู ฉิงเสวี่ยและเจินจูกำลังขวางคนคนหนึ่งหน้าประตูจันทรา
หญิงผู้นั้นแต่งตัวเรียบง่าย ในมือกอดไม้กวาดอันหนึ่งเอาไว้ ชุดเอ๋าลายดอกเรียบง่าย ถึงแม้จะไม่ถึงขั้นมอมแมมชำรุด แต่ก็มิใช่การแต่งตัวของนายที่หรูหราประดับเพชรพลอย คิดไม่ถึงว่าจะเป็นไป๋เสวี่ยฮุ่ย
ฉิงเสวี่ยและเจินจูไม่รู้จักนาง แน่นอนว่าไม่ยอมปล่อยนางเข้ามาอยู่แล้ว
อวิ๋นหว่านชิ่นอ่อนไหวไปชั่วขณะ เดินเข้าไป กล่าวอย่างช้าๆ “ท่านแม่ทำไมถึงออกมาจากศาลประจำตระกูล มาถึงที่นี่ได้เล่า ทำไมหรือ ท่านพ่ออนุญาตให้ท่านออกมาแล้วหรือ”
ฉิงเสวี่ย เจินจูได้ยินว่าเป็นฮูหยินบ้านตระกูลอวิ๋น หันมามองตากัน แล้วถอยออกไป
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยรู้ว่านางจะกลับเรือนวันนี้ แต่ไม่รู้ว่าจะมาเรือนอิ๋งฝูในตอนนี้ รีบก้มหน้ากล่าว “หม่อมฉันได้รับการอภัยโทษจากนายท่าน ตั้งแต่วันถัดจากวันที่พระชายาออกเรือน เก็บกวาดเช็ดถูเรือนอาศัยเก่าของพระชายา เช้ากลางวันเย็นเวลาละครั้ง วันนี้ที่มา ไม่ทราบว่าจะได้พบกับพระชายาพอดี เดี๋ยวอีกสักพักหม่อมฉันค่อยเข้าไปทำความสะอาดนะเพคะ”
พูดแล้วก็โค้งคำนับ แล้วถอยออกไป
อวิ๋นหว่านชิ่นยืนอยู่หน้าประตู จ้องมองภาพเบื้องหลังของฮูหยินไป๋ เห็นชูซย่ากลับมาแล้ว เหมือนว่าจะเห็นภาพเบื้องหลังที่เดินจากไปของไป๋เสวี่ยฮุ่ยเช่นกัน รีบเข้าไปกล่าว “เมื่อครู่บ่าวได้ยินม่อเซียงสาวรับใช้นายน้อยบอกว่า วันนั้นที่พระชายาออกเรือน พิธีเสร็จสิ้นแล้ว ฮูหยินไป๋ก็ร้องไห้กับนายท่านอีกรอบ ทั้งโขกหัว ทั้งกล่าวขอโทษ ไม่ทราบว่าร้องไห้จนนายท่านใจอ่อนหรือไม่ ถึงแม้จะไม่ได้บอกว่าให้ปล่อยนางออกมา แต่สั่งให้นางรับผิดชอบปัดกวาดเช็ดถูเรือนว่างเปล่านั้น ก็เท่ากับปล่อยนางออกมาแล้วไม่ใช่หรือเพคะ เท่ากับปลดคำสั่งกักตัวแล้วไม่ใช่หรือเพคะ”
“อยู่ได้อีกไม่นานดั่งปลวกหลังฤดูใบไม้ร่วงก็เท่านั้น” กลับได้ยินพระชายาเบะปากรับสั่ง
ทันใดนั้นเอง มีคนมารายงานว่าโต๊ะจัดเลี้ยงเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้ว เชิญพระชายาไปได้ พวกนางจึงไปยังห้องโถงหลัก
…
ในห้องของเรือนทางตะวันตก
อวิ๋นจิ่นจ้งให้ม่อเซียงเปลี่ยนพู่กันหมึกกระดาษและจานฝนหมึกที่ท่านพี่ให้มาไว้บนโต๊ะหนังสือ เมื่อได้ยินบ่าวมารายงานว่างานเลี้ยงกลับเรือนจัดเตรียมเสร็จแล้ว จึงได้ออกไปกับม่อเซียง
ทั้งสองเดินผ่านประตูทางด้านข้างของในเรือน กลับได้ยินเสียงคนพูดคุยกันลอยมาจากข้างประตู เสียงชายนั้นเป็นเสียงของบ่าวเก่าแก่ในบ้านที่เฝ้าประตูข้าง อีกฝ่ายเป็นเสียงเด็กน้อย
“…นางบอกเอาไว้ว่าจะกลับมาก่อนตอนกลางวันแท้ๆ ตอนนี้มันกี่โมงกี่ยามแล้ว เจ้าไปถามให้ข้าหน่อย!”
อวิ๋นจิ่นจ้งสงสัย เดินตามเสียงมา เห็นเพียงเด็กหญิงตัวเล็กดั่งลูกฟักยืนอยู่ทางเดินข้างประตูข้าง คนที่กำลังถกเถียงอยู่กับบ่าวรับใช้ของบ้านตระกูลอวิ๋นนั้นก็คือนาง ข้างกายยังมีมอมอวัยกลางคนอยู่ด้วย ดึงแขนเสื้อเด็กหญิงผู้นั้นด้วยหน้าตาที่เป็นทุกข์กังวล แทบอยากจะลากไปให้เร็วที่สุด กล่าวเสียงแผ่วเบา “คุณหนูไปกันเถิด เขาบอกแล้วนี่เจ้าคะ ว่ากำลังทานหารเที่ยงอยู่ เสร็จก็จะกลับเจ้าค่ะ”
อวิ๋นจิ่นจ้งเดินเข้าไป กล่าวเรียก “ลุงจง เอาออกไปก่อนเถิด”
บ่าวเห็นว่าเป็นนายน้อย รีบโค้งคำนับแล้วออกไป
——
[1] จวี่เหริน ผู้ผ่านการสอบคัดเลือกในระดับมณฑล
[2] การสอบระดับมณฑล จัดขึ้นในฤดูใบไม้ร่วง
[3] การสอบระดับเมืองหลวง การสอบระดับเมืองหลวงที่จัดขึ้นในฤดูใบไม้ผลิ
[4] การสอบหน้าพระที่นั่ง เป็นสนามสอบสุดท้าย