อวิ๋นเสวียนฉั่งจะฟังน้ำเสียงเยาะเย้ยของบุตรสาวตนไม่ออกได้อย่างไร กล่าวเย้ยหยัน “บ้านตระกูลอวิ๋นเป็นบ้านแม่ของพระชายาเอง พ่อเพิ่งจะได้เลื่อนตำแหน่งในกรมกลาโหม ก็ต้องซ่อมแซมบ้านเรือนเป็นธรรมดา มิให้คนนินทาลับหลัง จะทำให้คนดูถูกพระชายาได้” แล้วมองไปทาง**บสี่เหลี่ยมที่ชานเรือน ยิ้มกล่าว “พระชายากลับมาก็พอ จะฟุ่มเฟือยไปใย อีกยังมากมายเพียงนี้ เจ้าเพิ่งเป็นสะใภ้ ถึงจะเป็นการสมรสกับราชสำนัก แต่ก็ต้องประหยัดมัธยัสถ์ไว้บ้าง ฮ่องเต้ถึงจะเอ็นดู”
อวิ๋นหว่านชิ่นจ้องดูสีหน้าของเขา “ลูกก็คิดเช่นนั้น ไม่อยากจะทำตามธรรมเนียมเก่าๆ”
พูดจบแล้วยิ้ม “ใครก็ได้ ยังไม่รีบเปิด**บอีก”
อวิ๋นเสวียนฉั่งยืดตัวขึ้นเล็กน้อย คอยื่นไปทางประตู ไม่ทำตามธรรมเนียมเก่าๆ หรือ ของกำนัลกลับเรือนแต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นจำพวกแก้วแหวนเงินทอง ผ้าผ่อนเครื่องใช้ หากมิใช่ของพวกนี้ หรือจะให้เป็นภาพวาดมีชื่อหนังสือหายาก หรือน้ำหมึกมีค่าดอกไม้ประหลาดอย่างนั้นหรือ
บ่าวรับใช้จวนอ๋องรีบสะเดาะกลอน**บของกำนัล
ในชานเรือนนั้น กลอนของแต่ละ**บก็หลุด เป๊าะ! ติดต่อกัน
อวิ๋นเสวียนฉั่งลูกตาเบิกกว้าง ไม่กล้าเชื่อสายตาตนเอง ขยี้ตาเล็กน้อย กว่าจะลุกขึ้นพรึ่บ ชี้ไปทางชานเรือน “นี่คืออะไร…”
นอกจากฮูหยินถงที่ยืนอยู่ไกล สายตาพร่ามัว มองไม่ค่อยชัด เหลียนเหนียง อนุฟาง และฮุ่ยหลานต่างก็สีหน้าสงสัย สายตาล้วนตกกระทบไปที่อวิ๋นหว่านชิ่น
อวิ๋นจิ่นจ้งถึงแม้จะตกตะลึงเช่นกัน แต่กลับเดินออกไป ยื่นมือไปหยิบจากใน**บมาก้อนหนึ่ง ชั่งในมือ ยิ้มให้อวิ๋นเสวียนฉั่งในห้องโถงแล้วกล่าว “ท่านพ่อไม่รู้จักก้อนอิฐหรือ!”
ฮุ่ยหลานรีบให้บ่าวคนหนึ่งลากนายน้อยกลับมา กลัวว่านายน้อยจะถูกตำหนิ จึงรีบให้คนพาไปล้างมือก่อน
อวิ๋นเสวียนฉั่งก็ต้องรู้อยู่แล้วว่านั่นเป็นก้อนอิฐสิบกว่า**บ! กำมือแน่น น้ำเสียงโมโหจนแทบเพี้ยนไป “พระชายากลับเรือน ลากก้อนอิฐหลายสิบ**บกลับเรือนแม่ของตัวเองหมายความว่าอย่างไรกัน”
อวิ๋นหว่านชิ่นค่อยจับฝากระเบื้อง “ท่านพ่อเข้ากรมครั้งแรกก็รับตำแหน่งขุนนางชั้นผู้ใหญ่ เป็นเวลาที่ทุกคนจับตามอง ช่วงนี้ก็มีบุตรสาวแต่งเข้าวังตามติดกันถึงสองคน ประสบเรื่องดีครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ยิ่งถูกผู้คนวิพากษ์วิจารณ์กันไป” วางถ้วยชาลง มองไปรอบๆ ห้องโถง มุมปากก็ยิ้มอ่อนแฝงไปด้วยความหมายลึกซึ้ง “ของกำนัลกลับเรือนหากมีค่ามากเกินไป จะถูกคนนินทาลับหลังได้ ไม่เป็นผลดีต่อตำแหน่งขุนนางของท่านพ่อ ลูกทำเช่นนี้ก็เพื่อบ้านเกิดตัวเอง ท่านพ่อเป็นเสาหลักของราชสำนัก ก็เหมือนดั่งก้อนอิฐเหล่านี้ เป็นนิมิตหมายที่เป็นมงคลพอดี ถ้าแพร่ออกไป ก็มีแต่คำสรรเสริญยกย่อง! ฮ่องเต้ทรงทราบเข้า จะต้องชื่นชมพระราชทานรางวัลให้ ทว่าตอนนี้ ดูท่าทางท่านพ่อแล้ว เหมือนว่าจะไม่ชอบใจ?”
ในวันที่สำนักพระราชวังนำของกำนัลกลับเรือนของพระชายาฉินอ๋องมาส่งให้ที่จวนอ๋อง อวิ๋นหว่านชิ่นให้บ่าวแอบสับเปลี่ยน นำของกำนัลทั้งหมดเก็บเข้าคลังเก็บของจวนอ๋อง เกาจ๋างสื่อตอนนั้นก็ตะลึงไป เข้าใจว่าพระชายาเตรียมเอาไว้แล้ว คิดไม่ถึงว่าพระชายาไม่พูดพร่ำทำเพลง ให้เหล่าคนดูแลสวนไปสวนดอกไม้ของจวนอ๋องทุบห้องทรุดโทรมที่ไม่ใช้มาแรมปี แล้วขนก้อนอิฐกลับมา ใส่ใน**บของกำนัลกลับเรือน
อวิ๋นเสวียนฉั่งได้ฟังคำพูดของบุตรสาวแล้ว รู้สึกเพียงอารมณ์โมโหวิ่งวนอยู่ในท้อง รับก้อนอิฐหลายตันนี้ไว้ จะมีหน้าไปบอกผู้อื่นได้อย่างไร นางรู้อยู่แล้วว่าตนจะไม่แพร่งพรายออกไป ได้ยินน้ำเสียงบุตรสาวแฝงอารมณ์หัวเราะ “…บังเอิญเห็นว่าในเรือนกำลังตกแต่งซ่อมแซมอยู่ หากท่านพ่อกังวลว่าก้อนอิฐเหล่านั้นเกะกะไม่สะดวกวางไว้ เก็บไว้สร้างห้องเรือนก็ได้” แลมองด้วยหางตา มองไปที่สาวใช้รูปลักษณ์งดงามหน้าประตูเหล่านั้น “เพราะถึงอย่างไร ที่เรือนช้าเร็วก็ต้องเพิ่มคนอีก”
เมื่อกล่าวคำนี้ขึ้น อนุฟางและฮุ่ยหลานไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก เหลียนเหนียงยิ่งรู้สึกทุกข์ร้อนไปใหญ่ เป็นคนที่กำลังได้รับความเอ็นดู จะทนฟังคำพูดที่ว่าในเรือนจะรับคนใหม่ได้อย่างไร แต่นายท่านช่วงนี้ให้ม่อไคไหลหานายหน้าซื้อสาวใช้หน้าตาสะสวยมาหลายคน เกรงว่าจะมีแผนเช่นนี้เช่นกัน นางลูบท้องของตน สีหน้าคร่ำเครียด หากยังไม่มีข่าวดีอีก นายท่านจะเอ็นดูตนมากเท่าไร ก็ไม่มีทางรอต่อไปอย่างไม่สิ้นสุดเช่นนี้
อวิ๋นเสวียนฉั่งทำได้เพียงกดอารมณ์โมโหเอาไว้ สะบัดแขนเสื้อ ไม่เห็นก็ไม่ทุกข์ใจ “ไคไหล ขนของกำนัลไปที่คลังเก็บของเสีย!”
อวิ๋นหว่านชิ่นยกถ้วยชาขึ้น เปิดฝาแล้วจิบหนึ่งคำ อยากจะหาผลประโยชน์จากข้าหรือ ฝันไปเถิด
ตอนรอออกเรือนเคยพูดเอาไว้ว่า กำไรจากร้านค้าที่ให้มาพร้อมตอนท่านแม่ออกเรือนหลายปีมานี้ ยอมเสียประโยชน์ให้บ้านตระกูลอวิ๋น ถือว่าชดใช้หนี้เลี้ยงดูให้กับบ้านตระกูลอวิ๋น จากนี้เงินสักแดงเดียวก็อย่าได้คิดเอาไป
หากไม่ใช่เพราะน้องชายยังอาศัยอยู่ในบ้านตระกูลอวิ๋น อายุยังน้อย ยังต้องอาศัยร่มเงาของท่านพ่อสอบเข้าเป็นขุนนาง ชีวิตต่อจากนี้ของนาง ก็คร้านจะไปมาหาสู่กับบ้านตระกูลอวิ๋นนี้แม้แต่วันเดียว
พ่อคนนี้ ชาติก่อนจนชาตินี้ จะว่าโหดร้ายกับนาง ก็ไม่ถึงเพียงนั้น แต่เรื่องที่ทำนั้น ทำให้หดหู่ใจกว่าความโหดร้ายเสียอีก…ต่อกรกับคนโหดร้าย ก็แค่เขาแทงเจ้าหนึ่งที เจ้าก็ยิงธนูกลับคืนสิบดอก ก็สะใจไม่ยืดเยื้อ แต่ว่าพ่อคนนี้ ไร้น้ำใจเลือดเย็น ดั่งมีดทื่อแร่เนื้อ ทำเอาใจคนนั้นค่อยๆ เยือกแข็งลง
ฮูหยินถงถึงแม้จะรู้สึกว่าหลานสาวทำเช่นนี้ฉีกหน้าพ่อเกินไปเช่นกัน แต่ก็จนใจทำอะไรไม่ได้ กลัวว่าพ่อลูกคู่นี้จะผิดใจกันเพราะเรื่องนี้ เลยทำทีไกล่เกลี่ยให้ ประคองมือหลานสาว แล้วถามไถ่ถึงเรื่องในจวนอ๋อง
อวิ๋นหว่านชิ่นพูดคุยเรื่องในบ้านทั่วไปกับฮูหยินถง ฮูหยินถงถามเรื่องฉินอ๋องรับตำแหน่งที่เขตฉังชวน
ย่าหลานสนทนากันอยู่ อวิ๋นจิ่นจ้งล้างมือเสร็จออกมาพอดี อวิ๋นหว่านชิ่นหันไปถามไถ่น้องชายถึงการเรียนและสุขภาพในช่วงนี้ ฮุ่ยหลานรีบตอบทีละคำถาม
อวิ๋นหว่านชิ่นวันนี้ได้สังเกตท่าทีของฮุ่ยหลานที่มีต่อน้องชาย ก็รู้ได้ว่าช่วงเวลานี้ได้ใส่ใจอย่างละเอียดถี่ถ้วน จึงได้วางใจ
ฮูหยินถงเห็นนางจ้องมองจิ่นจ้งไม่ละสายตา จึงกล่าวอย่างรู้งานว่า “พระชายานานๆ ทีจะกลับเรือนสักครั้ง คิดว่าคงจะอยากเยี่ยมดูเรือนเก่าเป็นแน่ เรือนอิ๋งฝูมีคนเก็บกวาดให้ตลอด ไม่เว้นเลยแม้แต่วันเดียว พระชายาไปเยี่ยมดูได้!”
อวิ๋นหว่านชิ่นรู้ว่าเป็นการให้โอกาสตนและน้องชายได้อยู่กันตามลำพัง จึงยิ้มแล้วกล่าว “รบกวนท่านย่าเป็นธุระดูแลให้แล้ว”
สองพี่น้องเดินออกจากห้องโถงตามกันไป
ในเรือนอิ๋งฝูเป็นเช่นเดิมทุกอย่าง ประตูหน้าต่างโต๊ะเก้าอี้สะอาดเอี่ยมอ่อง เตียงตั่งเครื่องเรือนถูกคลุมด้วยผ้าขาวกันฝุ่น ขนาดดอกไม้ต้นหญ้านอกเรือนที่เรียกให้เพาะปลูกก่อนแต่งงานก็มีคนตัดแต่ง น่าจะมีคนสวนมาดูแลอยู่ทุกวัน
ทั้งสองนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ตรงชานเรือน ชูซย่า เจินจู และฉิงเสวี่ยเพื่อเป็นการไม่รบกวนสองพี่น้อง จึงเดินไปยืนเฝ้าที่หน้าประตูจันทรา
อวิ๋นหว่านชิ่นถามน้องชายถึงเรื่องการเรียนที่กั๋วจื่อเจี้ยนในช่วงนี้ แล้วนำการบ้านของเขาออกมาพลิกดู ยิ่งดูใบหน้าก็ยิ่งยิ้มแย้มเบิกบาน
ตำราคุณธรรมและตำรากลยุทธหลายฉบับก็เขียนได้คารมคมคาย ร้อยเรียงเต็มหน้ากระดาษ ไม่ว่าจะเป็นมุมมองหรือจะเป็นความคิด ก็ดีกว่าคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันอยู่มาก แม้จะเป็นคนอายุสิบแปดสิบเก้าทั่วไปก็มิอาจเทียบได้ ถึงแม้น้องชายจะชอบเที่ยวเล่นอยู่บ้างในบางครั้ง เมื่อตั้งใจทำอะไรขึ้นมา การเรียนโดดเด่นกว่าผู้อื่นเป็นแน่ หลายปีก่อนฮูหยินไป๋เลี้ยงอย่างปล่อยๆ ตั้งแต่ที่ตนเกิดใหม่ รีบเร่งควบคุม การเรียนของน้องชายก็ก้าวกระโดด อีกไม่กี่ปีจะต้องดีเยี่ยมเป็นแน่
พลิกไปพลิกมา นางอดไม่ได้ที่จะยิ้มชื่นชม “ไม่เลว”