ตอนที่ 196 หัวใจของหญิงสาวสั่นไหว
เถียนตวนสื่อคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าตนเคยกระทำการล่วงเกินผู้ใด
หากเรื่องนี้เกิดจากการที่พวกเขารังแกชีจิน ทว่าเหตุใดเขาถึงเป็นผู้เดียวที่ถูกตักเตือน ในเมื่อคนที่เหลือก็ลงมือเช่นกัน?
มากไปกว่านั้นการแต่งกายของชายแปลกหน้าช่างไม่เหมือนคนบ้านนอก ชีจินเป็นเพียงลูกแม่ม่ายผู้ยากไร้จะมีสหายเช่นนี้ได้อย่างไร?
เช่นนั้นตนเคยล่วงเกินผู้ใดกัน?
อีกด้านหนึ่งผู้คนกำลังถูกทุบตีอย่างโง่งม ส่วนหยุนเชวี่ยและเหอยาโถวก็แอบดูอย่างสนุกสนาน
“ไอ้เด็กหน้าอ่อนเก่งกาจเสียจริง ข้าดีใจยิ่งนักที่เห็นเถียนตวนสื่อแพ้อย่างราบคาบ!” เหอยาโถวยืดกระดูกสันหลังตรงอย่างผ่อนคลาย
“อืม… หนึ่งรุมเจ็ด!” ดวงตาของหยุนเชวี่ยเปล่งประกาย
นอกจากใบหน้าอันหล่อเหลาแล้ว สืออียังมีทักษะการต่อสู้เป็นเลิศ อีกทั้งแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ถูกตัดเย็บอย่างประณีต เมื่อคิดเช่นนั้น หัวใจของเด็กสาวพลันเต้นโครมครามจนแทบหลุดออกมาจากหน้าอก
“ต่อไปนี้หากคนพวกนั้นกล้ารังแกเราอีก พวกเราก็ไม่ต้องเกรงกลัวสิ่งใดแล้ว!” เมื่อมีที่พึ่งพา เหอยาโถวจึงกล่าวออกด้วยน้ำเสียงมั่นใจเต็มเปี่ยม
“ครั้งนี้เถียนตวนสื่อคงเข็ดไปอีกนาน”
“หลังจากดื่มน้ำไปหลายอึก ฮ่าฮ่าฮ่า นั่นยังไม่สาสม พวกเราน่าจะเตะก้นมันให้น่วม…”
“หมัดเดียวก็ล้มแล้ว หากเราเตะก้นมันอีกสองสามที เกรงว่ามันคงต้องนอนหยอดน้ำข้าวต้มไปสองวัน” เมื่อหวนนึกถึงกระบวนท่าการต่อสู้ของสืออี หยุนเชวี่ยจึงอดไม่ได้ที่จะเหยียดยิ้ม
สืออีทำให้เถียนตวนสื่อผู้มีร่างกายแข็งแรงลอยกระเด็นออกไปไกล ดูเหมือนว่าเขามีพละกำลังมากมายราวกับสัตว์ป่าบนภูเขา
ทว่าเจ้าหมอนั่นมีร่างกายผอมสูง ผิวขาวเนียน สุภาพและสง่างามดั่งลูกชายของขุนนาง…
หยุนเซียงนั่งเล่นอย่างเงียบ ๆ อยู่ในเรือนของเหอยาโถวเพียงลำพังดังเช่นทุกวัน
ทุกครั้งที่หยุนเชวี่ยมารับกลับบ้าน นางจะหันหน้ามองและเดินตามกลับไปอย่างว่าง่าย
“เหตุใดเจ้าถึงมาเล่นที่เรือนตระกูลเหอทุกวันเล่า?” หยุนเชวี่ยเอ่ยถาม
หยุนเซียงนิ่งเงียบ
“แม่ของเจ้าสั่งให้มาหรือ? นางเจ้าสั่งให้เจ้าขโมยขนมไปให้นางรึ?”
หยุนเซียง…
“วันนี้ป้าสะใภ้เหอทำขนมอะไรให้เจ้ากิน?”
หยุนเซียง…
“เจ้ากินขนมทั้งหมดหรือว่าซ่อนมันไว้?”
หยุนเซียง…
หยุนเซียงทำทีเฉยเมยเอาแต่จ้องมองปลายรองเท้าของตนราวกับไม่ได้ยินคำพูดของหยุนเชวี่ย อีกทั้งยังเดินตามหลังนางโดยเว้นระยะห่างไว้ประมาณหนึ่ง
“เซียงเอ๋อ การที่เจ้าไปบ้านคนอื่นทุกวันนั้นไม่ใช่เรื่องดี…” หยุนเชวี่ยจนปัญญาที่จะสั่งสอนเด็กหญิงอายุเก้าขวบ
สังคมในยุคโบราณเทียบไม่ได้กับสังคมสมัยใหม่ที่ก้าวหน้าทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะเด็กผู้หญิง พวกนางไม่ได้เล่าเรียนตำรา และไม่มีโอกาสเผชิญโลกภายนอกจึงเรียนปรัชญาสามทัศน์อันมีพื้นฐานมาจากคำสั่งสอนของบิดาและมารดาเพียงนั้น
หยุนเซียงเป็นลูกสาวของลูกชายคนที่สามแห่งตระกูลหยุนและแม่นางเฉิน แม้จะรู้สึกสงสารเด็กหญิงจับใจ ทว่าหยุนเชวี่ยก็ไม่อาจตำหนินางได้
“เซียงเอ๋อ เรือนของตระกูลเหอไม่ใช่บ้านของเรา ไปเล่นเพียงครั้งสองครั้งย่อมไม่เป็นอะไร แต่หากไปบ่อยครั้ง มันจะดูไม่งาม…”
“หากไม่อยากอยู่ที่บ้าน พรุ่งนี้เจ้าสามารถตามเสี่ยวส้วยเอ๋อ ชวนฮวาเอ๋อ และคนอื่น ๆ ไปเก็บฟืนบนภูเขาได้”
“หรือจะตามแม่ของเจ้าไปซักเสื้อผ้าที่ริมแม่น้ำก็ย่อมได้…”
หยุนเชวี่ยไม่รู้ว่าหยุนเซียงจะได้ยินสิ่งที่ตนแนะนำหรือไม่ เพราะนางเอาแต่เดินตามโดยไม่กล่าวคำใด
ขณะนี้แม่นางเฉินกำลังง่วนอยู่ในครัว เมื่อมองเห็นหยุนเซียง นางจึงฉีกยิ้มกว้างพร้อมตะโกนเสียงดัง “ว้าว ลูกสาวกลับมาแล้ว วันนี้มีของอร่อยให้แม่กินหรือไม่?”
หยุนเซียงเดินก้มหน้าเข้าไปหามารดาอย่างเงียบ ๆ นางล้วงมือเข้าไปในสาบเสื้อพลางหยิบขนมแป้งม้วนไส้ถั่วแดงออกมาสองก้อน
“ลูกสาวของข้าช่างรักแม่เสียจริง” ดวงตาของแม่นางเฉินทอประกายขณะเดินถือขนมเข้าไปในห้องครัวอย่างมีความสุข
หยุนเชวี่ยรู้สึกจุกในอก นางจึงเดินกลับปีกตะวันตกของบ้านทันที
หลังจากกินอาหารมื้อเย็นเสร็จ หยุนเชวี่ยก็อาบน้ำล้างหน้า ขณะนี้ท้องฟ้ามืดครึ้ม สายลมยามเย็นพัดโชยเป็นระยะ มันคือช่วงเวลาที่ผ่อนคลายที่สุดของวัน
เมื่ออิ่มหนำสำราญ หยุนเชวี่ยมักออกมานั่งเล่นใต้ชายคาของบ้านปีกตะวันตก นางโบกพัดพลางเอนกายนอนลงอย่างสบายอารมณ์
โดยปกติแล้วในเวลานี้ ความคิดมากมายมักแล่นเข้ามาในสมองของหยุนเชวี่ย
ตัวอย่างเช่นการสร้างจักรยานเพื่อสร้างความสะดวกสบายและประหยัดเวลาในการเดินทางไปกลับในเมืองที่มีระยะทางประมาณสามสิบลี้
หรือจะเป็นการสร้างก๊าซชีวภาพไว้ใช้ในครัวเรือน เพื่อจะได้ไม่ต้องเผาฟืนอันเป็นต้นเหตุของมลพิษทางอากาศ
หรือความคิดในการสร้างเรือนกระจกเพื่อปลูกพืชผักและผลไม้นอกฤดู ซึ่งในภายภาคหน้ามันต้องกลายเป็นสินค้าที่เหล่าคนร่ำรวยแย่งชิงกันเป็นแน่
แน่นอนว่าสิ่งนี้เป็นเพียงจินตนาการอันแสนวิเศษเท่านั้น หากลงมือทำจริงมันคงไม่เหลือบ่ากว่าแรง ทว่าขาดเพียงองค์ประกอบเดียว
เงิน
นางต้องมีเงินเก็บจำนวนมากก่อนที่จะบรรลุเป้าหมายเหล่านี้
หากเป็นเช่นนั้น นางจะหาเงินมากมายมาจากที่ใด?
หยุนเชวี่ยครุ่นคิดภายในใจว่าหากอาศัยรายรับจากการขายบ๊วยดองน้ำตาลเพียงอย่างเดียวคงไม่ได้ เนื่องจากใกล้หมดฤดูกาลของลูกพลัมจากทางใต้แล้ว นางจึงต้องหาทางออกให้ตนเอง ชีจิน และเสี่ยวส้วยเอ๋อให้เร็วที่สุด
นางเอนกายกับพนักเก้าอี้ เหยียดขาตรง หรี่ตาลงพลางวางมือบนหัวเข่าและเคาะเป็นจังหวะ
ประตูห้องเปิดออกครึ่งหนึ่ง หยุนเยี่ยนนั่งปักถุงเงินใบใหม่ให้น้องสาวภายใต้แสงไฟจากตะเกียงน้ำมัน ขณะที่แม่นางเหลียนนั่งเลือกแบบปักผ้าอยู่ด้านข้าง
“ลายดอกกล้วยไม้นั้นสวยงามและเรียบง่าย” แม่นางเหลียนลูบลายบนผืนผ้า “ลายดอกโบตั๋นสื่อถึงความมั่งคั่ง”
เมื่อพูดจบ แม่นางเหลียนก็เหยียดยิ้มพลางส่ายศีรษะ “ดูอย่างไรก็ไม่เข้ากับนิสัยของเชวี่ยเอ๋อ”
หยุนเยี่ยนไม่ออกความคิดเห็น นางปักฝีเข็มลงไปบนผ้าครั้งแล้วครั้งเล่าพร้อมเอ่ยถาม “ถุงเงินอันนี้ปักลายอะไรดีเจ้าคะ?”
“ปักลายหยวนเป่า*!” หยุนเชวี่ยส่ายขาพลางตะโกนเสียงดัง
*หยวนเป่า คือเงินตำลึงจีนมีลักษณะเป็นแท่งเงินปลายโค้งสูงทั้งสองข้าง มีรูปร่างคล้าย ๆ เรือตรงกลาง ตรงกลางแต่เดิมแบนราบ ภายหลังได้ทำให้มันนูนป่องขึ้นตรงกลาง ด้านข้างของเงินหยวนเป่าจะนิยมแกะสลักลวดลายมงคลแบบต่าง ๆ และมักจะมีอักษรมงคลสลักไว้ด้านข้าง ในวัฒนธรรมจีน หยวนเป่าจึงเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งร่ำรวย
“ถุงเงินของคุณหนูล้วนปักลายดอกไม้หรือผีเสื้อ ไหนเลยจะมีลายหยวนเป่า ทว่าของเจ้าช่างแตกต่างจากเด็กสาวคนอื่นจริง ๆ” แม่นางเหลียนกล่าวด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ
สตรียุคโบราณให้ความสำคัญกับความสุภาพและคุณธรรม เช่นเดียวกับหยุนเยี่ยนผู้อ่อนโยนและอยู่ในโอวาท ซึ่งเป็นหญิงสาวประเภทที่บุรุษชื่นชอบ ไม่เหมือนกับหญิงสาวที่ชอบอวดดีและละเลยงานบ้าน
ทว่าลูกสาวคนที่สองของแม่นางเหลียนมีนิสัย “ต่างจากหญิงสาวผู้อื่นโดยสิ้นเชิง” นางจึงไม่ชอบใจในความกระโดกกระเดกของหยุนเชวี่ย
ลูกสาวของนางประดิษฐ์กังหันน้ำ จ้างเสี่ยวส้วยเอ๋อและชีจินไปขายบ๊วยดองน้ำตาลในเมือง ทุกครั้งที่ชาวบ้านกล่าวถึงหยุนเชวี่ย พวกเขาจะยกนิ้วชมเชยนาง และประโยคที่ผู้คนมักกล่าวมากที่สุดคือ “เด็กคนนี้มีความสามารถ ไม่เหมือนหญิงสาวคนอื่น นางฉลาดยิ่งกว่าลูกผู้ชายเสียอีก! ลูกชายคนที่สองแห่งตระกูลหยุนช่างวาสนาดีเหลือเกิน!”
“นางอายุยังน้อย ทว่าสามารถเข้าเมืองไปหาเงินได้เป็นกอบเป็นกำ อีกสองปีคงมีภูเขาเงินและภูเขาทองกองเต็มบ้านเป็นแน่!”
“ในภายภาคหน้าพวกเจ้าสองคนไม่ต้องทำงานหลักแล้ว นอนเล่นอยู่บ้านให้ลูกสาวหาเงินเลี้ยงเถิด!”
นอกจากบิดามารดาของเหอยาโถวและบิดามารดาของเฟิงซิ่วไฉแล้ว หยุนลี่เต๋อกับแม่นางเหลียนก็กลายเป็นที่อิจฉาของชาวบ้านเช่นกัน
แม่นางเหลียนไม่ต้องการจะให้ลูกสาวหาเงินแต่เพียงผู้เดียวจึงปล่อยให้นางมีความสุขในแบบฉบับของตน เพียงได้ยินผู้อื่นกล่าวชื่นชมลูกสาว จิตใจของคนเป็นแม่ก็เบิกบานราวกับดื่มน้ำผึ้งป่า
ไม่ขอร่ำรวยมั่งคั่ง ทว่าขอใช้ชีวิตอย่างพอเพียงและสุขสบาย เก็บเล็กผสมน้อยไปเรื่อย ๆ เพื่อใช้เป็นสินเดิมให้ลูกสาวและใช้เป็นสินสอดไปสู่ขอหญิงสาวผู้มีคุณธรรมก็เพียงพอสำหรับแม่นางเหลียนแล้ว