ตอนที่ 197 ชายโง่เง่าที่อยู่หน้าหมู่บ้าน
หยุนเชวี่ยยังคงปรารถนาที่จะปักลายหยวนเป่าอันแวววาวบนถุงเงินทั้งสองด้าน
เช้าวันรุ่งขึ้น ครั้นเห็นหยุนเชวี่ยเดินออกจากบ้าน สามคนที่รออยู่ก็รู้สึกดีใจไม่น้อย
ทั้งสี่คนหัวเราะและพูดคุยกันอย่างสนุกสนานตลอดทาง เมื่อมาถึงหน้าทางเข้าหมู่บ้านไป๋ซี ทุกคนสังเกตเห็นชายสวมเสื้อคลุมยาวสีดำยืนพิงต้นไม้ขณะคาบดอกหญ้าไว้ในปาก
“เชวี่ยเอ๋อ!” คนผู้นั้นแสดงท่าทีดีใจทันทีที่เห็นหยุนเชวี่ย เขาก้าวเข้ามาหานางสองสามก้าวพร้อมฉีกยิ้มกว้างจนดวงตากลายเป็นเส้นตรง
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” หยุนเชวี่ยตกตะลึงก่อนเผยท่าทีห่างเหิน
“ไม่ใช่ว่าเจ้าจะพาข้าไปดื่มชาและกินขนมในเมืองหรอกหรือ?”
หยุนเชวี่ยตะลึงงัน
“เจ้าบอกว่าอย่าให้คนในหมู่บ้านเห็นเด็ดขาด ข้าจึงมารออยู่ที่นี่” สืออีเผยรอยยิ้มไร้เดียงสา
เหอยาโถวเงยหน้ามองท้องฟ้า
ชีจินและเสี่ยวส้วยเอ๋อเผยสีหน้าสับสน
“อืม” หยุนเชวี่ยเกาศีรษะ “ทว่าวันนี้ยังไม่ได้ ข้ามีเรื่องต้องทำมากมาย ไว้วันหลังแล้วกัน…”
“วันหลังคือเมื่อใด?” สืออีหลุบตาลงด้วยความรู้สึกผิดหวัง
หยุนเชวี่ยนับนิ้ว “วันมะรืนหรือวันมะเรื่อง”
สืออี…
“อย่าเศร้าไปเลย หากขาดเจ้า ขนมเหล่านั้นก็ไม่อร่อยหรอก” ครั้นเห็นสายตาผิดหวังของสืออี หยุนเชวี่ยจึงใจอ่อนและอดไม่ได้ที่จะกล่าวปลอบใจ
สืออีพยักหน้าอย่างเชื่อฟังพลางเอนกายพิงต้นไม้และมองแผ่นหลังเล็ก ๆ เดินจากไปด้วยสายตาเกียจคร้าน
ผู้ใดอยากกินขนมและเที่ยวเล่นกัน… สืออีถอนหายใจอย่างจนปัญญา สาวน้อยคนนี้ยังเด็กนัก… นางไม่เข้าใจอะไรเลย!
รอก่อนเถิด อดทนอีกหน่อย…
จู่ ๆ ก็มีชายหนุ่มรูปงามเข้ามาขวางทางหยุนเชวี่ยเอาไว้ ทำให้ต่อมความอยากรู้อยากเห็นเสี่ยวส้วยเอ๋อและชีจินทำงานทันที!
ทั้งสองคนเอ่ยถามหยุนเชวี่ยตลอดทาง
“ชายคนนั้นเป็นใครหรือ? หน้าตาหล่อเหลาไม่เหมือนกับหนุ่มบ้านนอกสักนิด!”
“พี่เชวี่ยเอ๋อรู้จักเขาหรือ? เหตุใดถึงไม่ชวนเขาไปดื่มชาและกินขนมในเมืองด้วยกันเล่า?”
“เขาอายุเยอะกว่าเราใช่หรือไม่? เหตุใดเขาถึงเชื่อฟังพี่เช่นนี้?”
“เหตุใดข้าไม่เคยเห็นคนผู้นี้มาก่อน หากดูจากเสื้อผ้าแล้ว เขาแต่งกายเหมือนคุณชายในเมืองยิ่ง!”
“พี่เชวี่ยเอ๋อ?”
หยุนเชวี่ยไม่รู้จะตอบคำถามเหล่านั้นอย่างไร
เหอยาโถวก้าวไปด้านหน้าพร้อมเอ่ยตอบ “เข้าไม่ใช่คุณชายในเมืองหรอก ทว่า… เขาเป็นคนโง่งมที่มาจากหมู่บ้านอื่น”
“โง่งมรึ?”
“ใช่ คิดถึงแต่เรื่องกินและดื่มทั้งวัน เขายังติดหนี้ข้าอยู่หนึ่งร้อยยี่สิบเหรียญอีกด้วย จนถึงตอนนี้ยังไม่คืนแม้แต่เหรียญเดียว” เหอยาโถวเริ่มพล่ามเรื่องไร้สาระ
“หืม? เหตุใดเขาถึงติดหนี้เจ้ามากมายเพียงนี้?”
“ตอนนั้นเขาป่วยใกล้ตายและไม่มีเงินรักษา ข้ากับเชวี่ยเอ๋อเห็นว่าน่าสงสารจึงให้ยืมเงินเพื่อไปซื้อยารักษา…”
ชีจินและเสี่ยวส้วยเอ๋อพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียง “โอ้ แล้วอย่างไรต่อ? เขาหายดีหรือยัง?”
“แน่นอนว่าหายดีแล้ว ไม่ตายเพราะแผลติดเชื้อนับเป็นวาสนา เพียงแต่เขาซื่อบื้อและตามติดเชวี่ยเอ๋อทั้งวันเท่านั้นเอง…”
หยุนเชวี่ยที่เดินอยู่ด้านข้างฟังเรื่องของเจ้าโง่ที่เหอยาโถวเล่าพร้อมหัวเราะ
เหอยาโถวเล่าเรื่องพร้อมยกมือทำท่าทางประกอบ
เสี่ยวส้วยเอ๋อและชีจินพยักหน้าด้วยความรู้สึกเห็นใจสืออี
“ที่แท้ก็จำพ่อแม่และคนในครอบครัวไม่ได้ ทั้งยังบาดเจ็บหนัก ทว่าก็ฝ่าฟันจนเอาชีวิตรอดมาได้” เสี่ยวส้วยเอ๋อถอนหายใจ
สาวน้อยและสาวใหญ่มักใจอ่อนและเห็นอกเห็นใจหนุ่มรูปงามเสมอ
ชีจินผู้สูญเสียบิดาไปตั้งแต่อายุยังน้อยรู้สึกว่าชีวิตของตนและสืออีคล้ายคลึงกัน “เฮ้อ ชีวิตช่างลำบาก อย่างไรเสียข้าก็ยังมีท่านแม่คอยให้กำลังใจ!”
หยุนเชวี่ย…
พวกเขาพูดคุยกันตลอดทางเข้าเมือง
เมื่อเข้าไปในเมือง ชีจินก็หันมองซ้ายขวาคล้ายกังวลว่าจะเกิดเรื่องบางอย่างตลอดทางไปตลาด
“ชีจิน เจ้าเป็นอะไรไป?” เสี่ยวส้วยเอ๋อเอ่ยถาม
“ไม่มีอะไรหรอก ข้ากำลังมองหาพวกเขาน่ะ”
“พวกเขา” ที่ชีจินเอ่ยถึงนั้นย่อมเป็นพรรคพวกของเถียนตวนสื่อ เนื่องจากเขากลัวว่าพวกตนจะเสียเปรียบ หากต้องเผชิญหน้ากัน
“เมื่อวานข้าหาเงินได้เพียงห้าเหรียญ” เสี่ยวส้วยเอ๋อทำหน้ามุ่ยอย่างโกรธเคือง “พวกมันแย่งลูกค้าของข้าไปจนหมด!”
“พวกมันมากันเยอะมาก พวกเราสู้ไม่ไหวหรอก” ชีจินกำหมัดแน่น เขาโกรธที่คนกลุ่มนั้นเอาแต่รังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า และโกรธตนเองที่ไม่แข็งแรงพอจะปกป้องกัลยาณมิตรในเวลาคับขัน
“ฮ่าฮ่าฮ่า…” เมื่อได้ยินบทสนทนาของทั้งสองคน เหอยาโถวจึงเอามือไพล่หลังพร้อมหัวเราะเสียงดัง
เสี่ยวส้วยเอ๋อกะพริบตาด้วยความสับสน “พี่เหออวี้หัวเราะอะไรหรือ?”
“เขาหัวเราะเพราะว่าเมื่อวานเถียนตวนสื่อโดนกระทืบน่ะ วันนี้มันคงไม่กล้ารังแกผู้อื่นแน่” หยุนเชวี่ยอธิบาย
“อะไรนะ?” เสี่ยวส้วยเอ๋อได้ยินเช่นนั้นจึงดีใจ “ใครกระทืบเขารึ? คนผู้นั้นโกรธแค้นแทนเราเพียงนั้นเลยหรือ? ไม่ใช่ว่า…”
นางอ้าปากค้างพลางหันมองหยุนเชวี่ยและเหอยาโถวด้วยสายตาไม่เชื่อ “ท่านสองคน?”
“เถียนตวนสื่อมีร่างกายแข็งแกร่งราวกับวัว ต่อให้เราทั้งสองคนรุมกระทืบเขาพร้อมกันก็ไม่มีทางเอาชนะได้!” เหอยาโถวยอมรับความจริงอย่างตรงไปตรงมา
เสี่ยวส้วยเอ๋อและชีจินยิ่งสับสนมากขึ้น “แล้วใครทุบตีเขาเล่า?”
“เจ้าโง่ที่ยืนอยู่ทางหน้าหมู่บ้านเมื่อครู่เป็นคนทุบตีสั่งสอนพวกมันทั้งเจ็ดคนจนลงไปนอนร้องโอดโอยบนพื้น พวกเจ้าไม่ได้เห็นกับตา เขาเก่งกาจมาก…”
เหอยาโถวยกนิ้วโป้งชื่นชมพลางเลิกคิ้วพร้อมเล่าเรื่องราวน่าตื่นเต้นที่เกิดขึ้นเมื่อวานอีกครั้ง
เจ้าทึ่มคนนั้นจะต่อยเถียนตวนสื่อจนตกลงไปในแม่น้ำและเอาชนะชายหนุ่มหกคนภายในพริบตาได้อย่างไร อีกทั้งคนเหล่านั้นยังไม่มีโอกาสโต้กลับและร้องขอความเมตตาจากเขา
เสี่ยวส้วยเอ๋อและชีจินฟังเรื่องเล่าอย่างตื่นตาตื่นใจพร้อมปรบมือชื่นชม
“ทำได้ดี เถียนตวนสื่อสมควรถูกสั่งสอนแล้ว!”
“คนผู้ชั้นมีชื่อแซ่ว่าอะไรหรือ? เหตุใดเขาถึงเก่งกาจเช่นนี้!”
เสี่ยวส้วยเอ๋อชื่นชอบสืออีจนออกนอกหน้า ส่วนชีจินอิจฉาในความแข็งแกร่งของชายปริศนา
“เขาชื่อสืออี” หยุนเชวี่ยกล่าวตอบ “คนพาลเหล่านั้นต้องรังแกเจ้าสองคนอีกแน่ หากเป็นเช่นนั้นให้พวกเจ้าถามมันว่าถูกทุบตีตรงเชิงภูเขาเมื่อวานเจ็บหรือไม่”
ทั้งสองคนพยักหน้าอย่างยิ้มแย้ม ในที่สุดพวกเขาก็สามารถขายบ๊วยดองน้ำตาลอย่างสงบสุขเสียที
ยามสาย
หลังจากเดินขายบ๊วยอยู่นาน หยุนเชวี่ยเดินบังเอิญพบเข้ากับโฉ่วเหือและโฉ่วช่วนทางทิศตะวันออกของถนน
ทั้งสองถูกชายหนุ่มหลายคนยืนล้อมเอาไว้ ดูเหมือนว่าที่ตรงนี้จะเกิดการทะเลาะวิวาท
“เป็นเจ้าสองคนแน่นอน ข้าจำได้ว่าพวกเจ้าเป็นคนขายบ๊วยดองน้ำตาลที่มีหินปะปนอยู่จนทำให้ฟันของข้าแทบแตก!” เด็กหนุ่มร่างผอมสูงชี้ไปยังโฉ่วเหือและโฉ่วช่วน
“เจ้าจำผิดคนแล้วล่ะ บนถนนเส้นนี้มีพ่อค้าแม่ค้าขายบ๊วยดองน้ำตาลตั้งมากมาย เหตุใดถึงปรักปรำข้าสองคนเล่า?” โฉ่วเหือปฏิเสธ
“ใช่แล้ว หน้าตาของบ๊วยดองน้ำตาลก็เหมือนกันหมด พวกเจ้ามีหลักฐานหรือไม่?” โฉ่วช่วนโต้เถียงอย่างไม่เกรงกลัว
“ข้าจำไม่ผิด เจ้าสองคนหน้าตาเหมือนกันราวกับแกะ! ข้าจำได้แม่นยำ!” เด็กหนุ่มอธิบายอย่างมีเหตุผล “เมื่อวานนี้ ข้ากำลังจะซื้อบ๊วยดองน้ำตาลจากเด็กหญิงคนนั้นบริเวณหน้าร้านขนมสวีจี้ ทว่าพวกเจ้าสองคนไล่นางออกไปและคุยโวว่าบ๊วยดองน้ำตาลของตนอร่อยกว่า ข้าจึงซื้อสองห่อ และเมื่อกัดเข้าไปคำแรก ฟันของข้าก็แทบหัก!”