ตอนที่ 198 หัวหน้าพรรคกระยาจก
เด็กชายรูปร่างผอมสูงสามารถบอกเล่าเหตุการณ์ได้อย่างชัดเจน ทว่าพี่น้องโฉ่วเหือและโฉ่วช่วนยังคงปฏิเสธหัวชนฝา
“เหตุใดเจ้าถึงบอกว่าเราสองคนขายบ๊วยดองน้ำตาลที่มีหินให้เจ้าเล่า? ในเมืองนี้ไม่มีใครสามารถเป็นพยานให้เจ้าได้สักคน!”
“ใช่แล้ว พวกเจ้าอยากให้เราเสียชื่อเสียงสินะ!”
คนหนึ่งกอดอก คนหนึ่งเชิดคางขึ้นวางมาดหยิ่งผยอง อย่างไรเสียพรรคพวกของตนก็มีจำนวนเยอะกว่า ไม่เห็นจะต้องกลัวอะไร
“พวกเจ้า…” เด็กหนุ่มรูปร่างผอมสูงเผยความไม่พอใจ “ข้าบอกกล่าวกับเจ้าดี ๆ ทว่าเจ้าพูดเช่นนี้ได้อย่างไร!”
“เจ้ามีหลักฐานอะไรถึงมาปรักปรำพวกเรา!” โฉ่วเหือกล่าวด้วยความโมโห
“ใช่แล้ว เจ้าโกหก!” โฉ่วช่วนเดินออกไปหลายก้าวก่อนหันกลับมากล่าวว่า “พี่ชาย ไปกันเถอะอย่าปล่อยให้ เวลาหาเงินของพวกเราหายไปโดยเปล่าประโยชน์”
“เจ้ายังไปไม่ได้!” เด็กหนุ่มรูปร่างผอมสูงเดินไปหยุดสองพี่น้องเอาไว้
“หลีกไป!” โฉ่วช่วนยกมือผลักอีกฝ่ายจนเซถอยหลังไปสองสามก้าวก่อนสะดุดธรณีประตูบ้านก่อนล้มลงกับพื้น
ขณะนี้สหายของเด็กหนุ่มรูปร่างผอมสูงไม่พอใจกับการกระทำของอีกฝ่ายยิ่งนัก พวกเขาสามารถรังแกเด็กบ้านนอกที่หน้าบ้านของตนได้หรือไม่?
โฉ่วช่วนชะงักไปครู่หนึ่งก่อนรีบเอ่ยแก้ตัว “เขาสะดุดล้มเองไม่เกี่ยวกับข้าเสียหน่อย พวกเจ้าหลีกไปได้แล้ว ข้ายังต้องทำมาหากิน!”
เด็กหนุ่มวัยสิบกว่าปีกำลังอยู่ในวัยกลัดมัน หากอีกฝ่ายเคลื่อนไหวก่อน อีกฝ่ายหนึ่งก็ไม่มีเหตุผลที่จะอยู่เฉย
ร่างผอมแห้ง ผิวสีดำคล้ำก้าวออกมาพลางพับแขนเสื้อและผลักหน้าอกของโฉ่วช่วน “มีอะไร? เราต้องการเจรจาอย่างมีเหตุผล แต่เจ้าอยากก่อเรื่องวิวาทใช่หรือไม่?”
ชายร่างเล็กมีส่วนสูงที่เตี้ยกว่าโฉ่วช่วนมาก แขนของเขาลีบเล็กคล้ายกับไม่มีแรง ซึ่งต่างจากเด็กหนุ่มบ้านนอกผู้ทำงานในไร่นาเป็นประจำ
โฉ่วช่วนก้มลงมองชายผู้นั้นก่อนกวาดสายตามองคนอื่นที่มีรูปร่างอ้วนเตี้ยบ้าง ผอมบางบ้างพร้อมหัวเราะเย้ยหยัน “พวกเจ้าคิดจะสู้หรือ?”
ไม่จำเป็นต้องตะโกนเรียกความสนใจของผู้คน เพราะคนเหล่านี้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อกับพี่น้องสองคนนี้
“หึ ไอ้เด็กบ้านนอก แกกล้าทำตัวกร่างที่นี่หรือ” ชายร่างผอมดำมีนิสัยอารมณ์ร้อน เขาชกเข้าที่ใบหน้าของโฉ่วช่วนก่อนตะโกน “พวกเรา… ลุย!”
ชายผู้นั้นมีรูปร่างเตี้ย ดังนั้นแขนเขาจึงสั้นไปด้วย ยังไม่ทันที่หมัดจะสัมผัสเข้ากับใบหน้า โฉ่วช่วนก็คว้าแขนของอีกฝ่ายและผลักไปด้านหลัง
ชายรูปร่างผอมสูงราวกับไม้ไผ่และชายรูปร่างอ้วนเตี้ยผู้มีท่าทีโง่งมปรี่เข้าไปทำร้ายโฉ่วช่วน ทั้งสองฝ่ายต่างต่อสู้กันอย่างดุเดือด อย่างไรก็ตามคนหนึ่งอ่อนแอ คนหนึ่งอ้วนเชื่องช้า พวกเขาจึงพ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า
“เสี่ยวเยาเอ๋อไปเรียกคนอื่นมา! ไปเรียกพี่เอ้อฝู! เร็วเข้า!” ชายร่างผอมดำที่กำลังอยู่ในวงต่อสู้ตะโกนเสียงดัง
เด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดหรือสิบแปดปีที่ฟันหักถอยหลังไปสองก้าวด้วยความตื่นตระหนก จากนั้นวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
หยุนเชวี่ยพักดื่มน้ำและยืนมองอยู่ใต้ต้นไม้ที่ห่างจากคนกลุ่มนั้นพอสมควร ด้วยความที่นางไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวจึงเดินกลับไปทางทิศตะวันตก
ลูกพลัมที่โฉ่วเหือและโฉ่วช่วนขายทำให้ฟันของเด็กคนนั้นแตกหัก แต่พวกเขายังกล่าวอ้างว่าอีกฝ่ายปรักปรำจนนำไปสู่การวิวาท
หยุนเชวี่ยบังเอิญพบเข้ากับเสี่ยวส้วยเอ๋อหลังจากเดินเร่ขายอยู่ครู่ใหญ่ ทว่ายังไม่ทันที่ทั้งสองจะได้ทักทายกัน พวกนางก็เห็นชายกลุ่มใหญ่สวมใส่ชุดขอทานราวกับพวกต้มตุ๋นถือท่อนไม้วิ่งจากทางทิศเหนือไปยังทิศตะวันออก
“เกิดอะไรขึ้น?” เสี่ยวส้วยเอ๋อยืดคอมองอย่างสงสัย
“พรรคกระยาจกรึ*?” หยุนเชวี่ยคิดว่าคนเหล่านี้มีเพียงแต่ในนิยายเสียอีก
*พรรคกระยาจก เป็นพรรคในนิยายกำลังภายในโดยสมาชิกพรรคเป็นขอทานและมีประเพณีในพรรคเป็นพิเศษ พรรคกระยาจกในบางยุคมีสมาชิกมากจนเรียกได้ว่าเป็นพรรคอันดับหนึ่งของแผ่นดิน
“อะไรนะ?”
“เอ่อ…” หนังตาของหยุนเชวี่ยกระตุกเล็กน้อย “พวกเขาทะเลาะกันอีกแล้วหรือ?”
“พวกเขารึ?” เสี่ยวส้วยเอ๋อยังคงสับสน
“ข้าเพิ่งไปทางทิศตะวันออกและบังเอิญเห็นโฉ่วเหือและโฉ่วช่วนต่อสู้กับใครบางคนอยู่ จากนั้นอีกฝ่ายจึงไปเรียกพรรคพวกที่เหลือมา…” หยุนเชวี่ยเชิดคางขึ้น “ไม่รู้ว่าใช่พวกเดียวกันหรือไม่…”
“หืม? เหตุใดพวกเขาถึงสู้กันอีกล่ะ?” เสี่ยวส้วยเอ๋อไม่รู้สึกกังวลแม้แต่น้อย ทว่านางกลับรู้สึกตื่นเต้นจนต้องลากแขนหยุนเชวี่ยและเดินตามหลังคนเหล่านั้นไปอย่างรวดเร็ว
มณฑลอันผิงเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่มีแต่ความสงบสุข เพราะตระกูลเฉียนและตระกูลเหลียวมักข่มบารมีกันและกันด้วยการสร้างวัดในเมือง ดังนั้นไม่นานวัดหลายแห่งในมณฑลก็กลายเป็นที่รวมตัวของคนในเมืองและเมืองใกล้เคียง
เมื่อคนกลุ่มใหญ่รวมตัวกันแล้ว พวกเขามักแต่งตั้งผู้นำที่เรียกว่า “ลูกพี่”
พี่เอ้อฝูผู้ที่เด็กหนุ่มกล่าวถึงเมื่อครู่คือผู้นำของคนกลุ่มนี้ หัวหน้าพรรคกระยาจกในตำนาน
คนกลุ่มนั้นวิ่งเร็วราวกับลมกระโชกแรงทำให้ผู้ที่สัญจรไปมาต้องเหลียวมอง ขณะที่หยุนเชวี่ยและเสี่ยวส้วยเอ๋อวิ่งเหยาะ ๆ ตามไปไม่ห่าง
“เหตุใดพวกเขาถึงไม่รู้ว่าการหาเงินนั้นมีผลดีกว่าการต่อยตีมากโข” เสี่ยวส้วยเอ๋อหอบหายใจ “ข้าคิดว่าธุรกิจของพวกเขาคงอยู่ได้อีกไม่นาน”
ทั้งสองคนปะปนเข้ากับฝูงชน ตอนนี้โฉ่วเหือและโฉ่วช่วนเรียกเถียนตวนสื่อ ต้าหนิว ชานจื่อ ต้าจ้วง และสัวจื่อมาสมทบเช่นกัน เมื่อมาถึงพวกเขาก็ต้องตกตะลึงทันทีเพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมีจำนวนมากขนาดนี้
“นั่นคือพรรคพวกของมันหรือ?”
หัวหน้าของพรรคกระยาจกเป็นเด็กหนุ่มอายุราวสิบหกหรือสิบเจ็ดปี แม้เสื้อผ้าที่สวมใส่จะซอมซ่อและขาดวิ่นทว่าผิวของเขายังคงขาวผ่อง เด็กหนุ่มผู้นี้มีรูปร่างไม่สูงนัก มีรอยแผลเป็นอันน่ากลัวตั้งแต่หางคิ้วจนถึงดวงตา ใบหน้าของเขาดำคล้ำและมีแววตาดุร้าย
เด็กชายฟันหักโผล่ศีรษะออกมาจากด้านหลังของหัวหน้ามองโฉ่วและเหือโฉ่วช่วนพลางเม้มปากพร้อมพยักหน้าเบา ๆ
“พี่เอ้อฝู คนพวกนั้นรังแกเราขอรับ มันขายบ๊วยที่มีหินปนอยู่จนทำให้ฟันของน้องเล็กแตก มิหนำซ้ำยังใส่ร้ายพวกเราอีก!” ชายร่างผอมดำที่นั่งอยู่บนพื้นขณะที่ใบหน้าของเขาซีดเผือด
“ใครทำเจ้า?” เอ้อฝูเอ่ยถาม
“พะ… พวกมันขอรับ มันคิดว่ามีจำนวนคนเยอะกว่าจึงรังแกเรา!” ชายตัวเล็กยกนิ้วชี้อีกฝ่ายก่อนที่พรรคพวกของเขาจะล้มลงทีละคน
เด็กชายวิ่งออกมาด้านหน้าก่อนพยุงเขาขึ้นมา ชายร่างผอมสูงและชายอ้วนเอามือกุมท้องและนวดก้นของตนเบา ๆ
ปกติแล้วพรรคพวกของเถียนตวนสื่อมักทะเลาะกับเด็กหนุ่มในหมู่บ้านเดียวกันหรือหมู่บ้านใกล้เคียง ดังนั้นหยุนเชวี่ยและคนอื่น ๆ จึงคุ้นเคยกับภาพที่พวกเขาเตะต่อยเช่นนี้
“พวกเราไม่ได้ขายบ๊วยเหล่านั้นจริง ๆ คนที่ขายบ๊วยดองน้ำตาลในเมืองนี้ไม่ได้มีเพียงพวกเราเท่านั้น เจ้าจำคนผิดแล้ว…” โฉ่วช่วนพยายามอธิบายด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อม
เมื่อเสี่ยวส้วยเอ๋อที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนได้ยินเช่นนั้น นางจึงรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันทีก่อนเท้าเอวก่อนเดินออกไปด้านหน้า “เจ้าหมายความว่าอย่างไร? คิดจะป้ายสีพวกเรางั้นหรือ? ข้าขายบ๊วยดองน้ำตาลในเมืองนี้มาตั้งนานไม่เคยมีเรื่องเสียหาย ทว่าพวกเจ้าเข้ามาขายเพียงไม่กี่ครั้งกลับทำฟันของลูกค้าแตกหัก!”
เหงื่อเย็นพลันผุดขึ้นเต็มหน้าผากของโฉ่วช่วน
“เมื่อวันก่อนนายน้อยเฉียนกินดินทรายที่ปะปนอยู่ในบ๊วยดองน้ำตาลของพวกเจ้าเช่นกัน ทีนี้จะแก้ตัวว่าอย่างไร?” เสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางฝูงชน “หากพวกเจ้าต้องการปฏิเสธ ข้าจะเรียกเขามาเป็นพยานเพื่อพิสูจน์ว่าจริงหรือไม่!”
เหอยาโถวและชีจินเดินแหวกฝูงชนออกไปยืนข้างหยุนเชวี่ยและเสี่ยวส้วยเอ๋อ
“เจ้าราดน้ำมันลงกองไฟได้ทันเวลาพอดี” หยุนเชวี่ยหัวเราะเบา ๆ
“ข้าเห็นคนมากมายแห่กันมาทางนี้แลดูครึกครื้น หึหึ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นพวกมัน จุ๊ ๆ” เหอยาโถวยินดีในความโชคร้ายของอีกฝ่าย “ตอนนี้เคราะห์กรรมคงตามทันแล้ว…”