ความรู้สึกที่นั่งกินข้าวบนน้ำแข็งคงเป็นแบบนี้ละมั้ง

ฉันสัมผัสได้ถึงอากาศที่เยือกเย็นและหนักอึ้งขณะมองไปด้านหน้า การนัดพบกันครั้งนี้เพื่อมากินข้าวกันสี่คน แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับเหมือนเป็นการกินข้าวระหว่างฉันและองค์ชายรัชทายาทเพียงสองคนมากกว่า เพราะองค์รัชทายาทเลออนพูดแทนพวกเขาทั้งหมด กระทั่งบทสนทนาซึ่งเป็นหน้าที่ของพวกเขาด้วย ทำให้คณะราชทูตอีกสองคนที่เหลือแทบไม่ได้พูดอะไรเลย

“ถ้ากลับไปวังข้าจะไปอวดพวกเขา จะต้องมีคนจำนวนมากอิจฉาแน่ถ้าเขารู้ว่าข้าถึงกับได้ร่วมรับประทานอาหารกับท่านนักบุญหญิงเช่นนี้”

มีเพียงคนเดียวที่ยังสดใสได้ในบรรยากาศที่หนักอึ้งนี้ คนที่ใครเห็นก็คิดว่าเป็นคนที่ไม่มีไหวพริบ ท่าทางและรอยยิ้มที่โอ้อวดอย่างพอควร รวมถึงคำพูดที่แฝงไปด้วยมุกตลก

‘ทำไมคนผู้นี้ถึงได้ปรากฏตัวออกมาแล้วล่ะ?’

องค์ชายรัชทายาทเลออน เป็นหนึ่งในตัวเอกชายในนิยายเรื่องนี้ เป็นคนที่มีภาพลักษณ์ที่ไม่ธรรมดาตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็น คิดดูแล้วตอนที่ฉันเจอราธบันครั้งแรกก็มีความรู้สึกคล้ายๆ กัน ความรู้สึกของการดำรงอยู่ที่แรงกล้าซึ่งสามารถค้นพบได้ในครั้งเดียวแม้อยู่ท่ามกลางคนหมู่มาก

ปัญหาคือหลังจากนี้อีกนานมากเขาถึงจะได้พบกับอีเบลลีน่า ตามเนื้อหาในหนังสือ เขาไม่ชื่นชอบวิหารหลวงดังนั้นจึงได้ปกปิดตัวตนแม้กระทั่งตอนที่มายังวิหารหลวง และพอเขารวบรวมข้อมูลที่จำเป็นได้ครบก็กลับไปยังจักรวรรดิทันที หลังจากได้พบกับอีริสเขาถึงได้มายังวิหารหลวงด้วยตัวตนที่แท้จริง

แต่กลายเป็นว่าตอนนี้ องค์ชายรัชทายาทกำลังนั่งกินข้าวอยู่เบื้องหน้าฉันอย่างสนุกสนาน พอได้เห็นองค์ชายรัชทายาทที่เป็นแบบนี้ ฉันก็รู้สึกขนลุก

ในหนังสืออธิบายไว้อย่างละเอียดว่าเขาเป็นคนอย่างไร เขาดูเป็นคนเละเทะแต่ขณะเดียวกันก็เป็นผู้ที่ชอบทำสงครามอย่างรอบคอบกว่าใคร และเขาอาจบั่นคอคนที่กำลังสนทนาแลกเปลี่ยนรอยยิ้มกันอยู่ได้ทันทีหากเขาสัมผัสได้ว่าคนผู้นั้นเป็นอันตรายต่อจักรวรรดิ

ฉันนั่งสังเกตเขาอยู่เงียบๆ แต่อาจเพราะสัมผัสได้ถึงสายตาของฉัน สีหน้าของเขาจึงเปลี่ยนไปเล็กน้อยแล้วกล่าว

“ดูสิ นี่ข้าเอาแต่พูดเรื่องของตัวเอง ข้าเป็นห่วงว่าท่านอาจจะก็ยังไม่หายดีแต่ก็ยังหักโหมมาต้อนรับพวกเราแบบนี้หรือเปล่า”

สายตาขององค์ชายรัชทายาทเบนไปมาทางจานข้าวของฉันที่อาหารแทบไม่ลดลงเลย

“ขอบคุณที่เป็นห่วงเพคะ เพราะเป็นแขกที่คาดไม่ถึง ข้าเลยกังวลว่าจะให้การต้อนรับได้ไม่ดีพอ”

นี่ไม่ใช่คำพูดที่พูดไปตามมารยาท ได้เจอองค์ชายรัชทายาทของจักรวรรดิโดยไม่ทันได้ตั้งตัวแบบนี้ นักบวชที่ยืนอยู่ด้านข้างตอนนี้ก็ไม่อาจข่มใบหน้าที่แข็งกระด้างได้จนดูเหมือนจะกลายหินแล้ว หากฉันรู้แต่แรกว่ามีองค์ชายรัชทายาทอยู่ในกลุ่มคณะราชทูต ฉันก็คงไม่มาพบ

‘ความสัมพันธ์พวกเราไม่ได้ดีเสียหน่อย’

องค์รัชทายาทคือบุคคลที่เฝ้าหาโอกาสจะนำวิหารหลวงลงไปอยู่ใต้อำนาจของจักรวรรดิ ดังนั้นการต่อสู้ที่มองไม่เห็นระหว่างวิหารหลวงและจักรวรรดิจึงเกิดขึ้นทั่วทั้งทวีป อย่างเช่น หากหน่วยอัศวินแห่งวิหารได้รับข่าวเกี่ยวกับปีศาจและออกไปปราบ ก็จะพบว่าที่นั่นมีอัศวินแห่งจักรวรรดิไปถึงก่อนและจัดการปีศาจเสร็จเรียบร้อยแล้ว หรือไม่หากนักบวชของวิหารทราบข่าวเรื่องโรคติดต่อและลองออกไปดู ก็จะพบว่าเหล่าแพทย์ของจักรวรรดิได้ไปถึงที่นั่นและดูแลชาวบ้านอยู่ก่อนแล้ว

จักรวรรดิมีความร้อนใจที่อยากจะลดอิทธิพลของของวิหารหลวงในทวีป องค์รัชทายาทซึ่งถือได้ว่าเป็นประมุขของฝ่ายตรงข้ามกลับมาปรากฏตัวใจกลางค่ายศัตรูอย่างกะทันหันเช่นนี้ เหล่านักบวชเองก็กำลังมองด้วยสายตาทิ่มแทง องค์ชายรัชทายาททำราวกับไม่เห็นสายตาของเหล่านักบวช เขาสั่งไวน์เพิ่มอย่างสบายใจพลางกินข้าวอย่างสนุกสนานต่อไป

“ข้าต้องขอโทษจากใจจริงที่มิได้แจ้งก่อนล่วงหน้า คราแรกข้าคิดว่าคงมิอาจมาร่วมพิธีสวดภาวนาได้แล้วเนื่องด้วยภารกิจของจักรวรรดิ แต่งานเสร็จเร็วกว่าที่คาดไว้จึงได้ตามมาร่วม”

เขาพูดโกหกออกมาอย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่กะพริบตาด้วยซ้ำ

‘พูดอะไรของเขา คนที่มาอย่างเร่งด่วนจะมีเวลาเตรียมการเรื่องปลอมตัวได้เหรอ’

ฉันคิดเช่นนั้นพลางเขม้นมององค์ชายรัชทายาท เขายังคงยิ้มและตอบรับสายตาของฉัน *‘ถ้าไม่ให้โกหกแล้วจะให้ข้าทำอย่างไร’*ความคิดของเขาแสดงออกมา หลังจากขอไวน์เพิ่มอีกหนึ่งแก้ว เขาก็วางส้อมลงราวกับการกินข้าวไม่น่าสนใจอีกต่อไปก่อนจะเอ่ยปากถาม

“น่าเสียดายมากเลยนะ”

“…หมายถึงอะไรหรือเพคะ?”

ฉันถามกลับไปอย่างกังวล รู้สึกได้ถึงสายตาที่องค์รัชทายาทใช้มองฉัน เขาตั้งใจจะพูดอะไรกันแน่?

“ข้านึกถึงเครื่องบรรณาการที่นำมาถวายในนามของจักรวรรดิขึ้นมาได้ พวกเราตั้งใจคัดสรรสิ่งของจากช่างที่ฝีมือเป็นเลิศที่สุดในจักรวรรดิมาให้เพราะเคยได้ยินเกี่ยวกับมาตรฐานของท่านนักบุญหญิง แต่ถึงอย่างไรก็ดูเหมือนว่าความเอาใจใส่ของพวกเรายังไม่มากพอ”

“…”

ความเงียบอึดอัดพลันไหลผ่าน ในหมู่นักบวชที่ยืนอยู่ด้านข้าง ฉันเห็นบางคนที่มีสีหน้าแข็งกระด้างเพราะรู้สึกไม่พอใจ คำพูดขององค์ชายรัชทายาทในตอนนี้กำลังหมายความว่า ‘ข้าอุตส่าต์มอบแต่ของที่เจ้าชอบแต่ทำไมเจ้าไม่ใส่ออกมาล่ะ?’ แถมยังเป็นการประชดเรื่องที่นางเป็นนักบุญหญิงแต่กลับสั่งให้คนมอบเครื่องบรรณาการเพื่อสนองความโลภส่วนตัว อย่างของจำพวก อัญมณีและเครื่องประดับหรูหรา

‘เขาทำราวกับว่านักบุญหญิงเป็นหญิงสาวที่เขามอบของขวัญให้เป็นการส่วนตัว’

คำถามที่ว่าทำไมถึงไม่ยอมใช้ของที่ฉันมอบให้ ไม่ใช่คำถามที่สามารถถามนักบุญหญิงได้

ฉันมองไปยังองค์ชายรัชทายาทเมื่อได้ฟังคำพูดนั้น ไม่ว่าคนรอบข้างจะมีการตอบสนองอย่างไร แต่ตัวเขาก็ยังคงยิ้มราวกับไม่รู้เรื่อง สายตาของเขายังคงพิจารณามองมาที่ฉัน เขากำลังรอคอยว่าฉันจะตอบสนองอย่างไร

‘ถ้าเป็นอีเบลลีน่า…’

ฉันมองไปยังส้อมที่วางอยู่บนโต๊ะอาหาร หากเป็นนางคงหยิบมันขึ้นมาและขว้างมันใส่หน้าผากขององค์รัชทายาท เพราะในความทรงจำที่แวบผ่านเข้ามา อีเบลลีน่าโมโหอย่างน่ากลัวพร้อมกับสั่งไม่ให้ใครพูดถึงเขาอีกเป็นครั้งที่สองหลังจากมีคนหลุดพูดถึงองค์ชายรัชทายาท

หากฝ่ายตรงข้ามปฏิบัติตัวแบบนี้ นางคงไม่สนใจว่าจะเป็นจักรวรรดิหรืออะไรก็ตามแต่ คงสั่งให้คุมขังตัวองค์รัชทายาทเดี๋ยวนี้แน่นอน ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ไม่จำเป็นต้องคิด

‘ทำยังไงดี’

ตอนนี้ไม่รู้เพราะอะไรองค์รัชทายาทถึงได้ดูเหมือนเด็กที่เพิ่งได้ของเล่นใหม่ เป็นเด็กที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นที่อยากจะสัมผัสอะไรก็ได้ซึ่งไม่รู้ว่าควรจัดการอย่างไรดี

เอาเป็นว่า วันนี้ฉันพอแค่นี้ก่อน ตอนนี้ในหัวของฉันแค่คิดถึงเงื่อนไขที่อีเบลลีน่าเสนอไว้ก็เหนื่อยพอแล้ว การพบปะประมาณนี้ก็น่าจะพอสมควรแล้วคงน่าจะกลับไปได้แล้ว พอคิดได้เช่นนั้น ฉันจึงหันไปยิ้มให้องค์รัชทายาท

“เพราะข้าวุ่นวายกับกำหนดการของพิธีสวดภาวนามากจึงทำให้ไม่อาจดูของที่ส่งมาจากจักรวรรดิได้ทั้งหมด ข้าขอบคุณสำหรับไวน์องุ่นและข้าวสาลีที่ท่านส่งมาเพื่อชาวบ้านที่มารวมตัวกันที่นี่ด้วยเพคะ ขอให้พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่จงสถิตแก่ท่าน”

สีหน้าของเลออนพลันเคร่งเครียดขึ้นมาเป็นครั้งแรกเมื่อได้ยินคำพูดของฉัน พอได้เห็นสีหน้าของเขา ฉันก็รู้สึกสบายใจ แน่สิ ต้องมาได้ยินว่าของที่ส่งมาให้จำนวนมากขนาดนั้นแต่ยังไม่แม้แต่จะถูกตรวจดู คงจะรู้สึกถูกทำร้ายศักดิ์ศรี ตอนนั้นเอง ราธบันที่ยืนอยู่ด้านหลังก็พูดขึ้นมา

“ท่านนักบุญหญิง ตอนนี้ถึงเวลาไปเตรียมตัวสำหรับกำหนดการถัดไปแล้วขอรับ”

“….ใช่แล้ว ถึงเวลาที่ข้าต้องลุกแล้ว”

ฉันตอบกลับไปแบบนั้นพลางหันมองราธบัน เขายังคงทำสีหน้าไร้อารมณ์เหมือนปกติ

‘คิดว่าจะมีแค่องค์ชายรัชทายาทที่โกหกเก่งเสียอีก’

ฉันคงต้องมองราธบันใหม่อีกครั้ง อันที่จริงแล้วหลังจากเสร็จสิ้นการนัดพบ ฉันก็ไม่มีกำหนดการอะไรแล้ว แต่ที่ราธบันพูดออกมาแบบนั้นคงเป็นเพราะฉันเอ่ยคำทักทายที่ใช้ในตอนจากลาว่าขอให้พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่จงสถิตแก่ท่าน

“ถ้าเช่นนั้นวันนี้คงขอรบกวนแค่นี้ ข้ารู้สึกเสียใจมากที่ไม่อาจอยู่ร่วมเวลาอาหารว่างด้วยกันได้เพคะ องค์ชายรัชทายาทเลออน เช่นนั้นแล้วข้าขอให้ท่านเดินทางกลับปลอดภัยจนกว่าจะถึงจักรวรรดิ…”

ตอนนั้นเอง องค์รัชทายาทเลออนก็พูดขัดฉันขึ้นมา

“ข้ายังคิดจะพักอยู่ในวิหารหลวงอีกสักหน่อย”

“…เพคะ?”

“เพื่อจักรวรรดิแล้ว ข้าได้กระทำบาปไปมากมายโดยไม่อาจหลีกเลี่ยง พอดีกับที่ได้มาที่วิหารหลวงเลยถือโอกาสมาสวดภาวนาจนกว่าบาปนั้นจะถูกยกโทษให้”

องค์รัชทายาททำสำคัญมหากางเขน[1]ด้วยสีหน้าที่ดูจริงใจไม่น้อย

“ดังนั้นจากนี้ไปข้าหวังว่าเราจะได้ร่วมกันทำเรื่องที่ไม่ได้ทำในวันนี้นะ ท่านนักบุญหญิง”

ไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงได้เข้าใจไปในความหมายอื่น

***

“เฮ้อออ”

ทันทีที่ออกมาจากห้องจัดงาน เสียงถอนหายใจที่ไม่อาจกลั้นได้อีกต่อไปก็พรั่งพรูออกมา รู้สึกเหมือนอาหารที่แทบไม่ได้กินลงไปกำลังอุดอยู่ที่ลิ้นปี่ พอได้ออกมาสูดอากาศเย็นสบายด้านนอกเลยพอได้หายใจบ้าง

‘เหนื่อยจัง’

ฉันต้องอ่านความคิดในขณะที่แลกเปลี่ยนสายตากันและกันอย่างบ้าคลั่งภายใต้บรรยากาศที่หนักหน่วง แถมยังต้องตอบคำถามอย่างเคร่งมารยาทอีกด้วย ทั้งความทรงจำที่มีและไม่มีก็ต้องขุดออกมาให้หมด พอต้องระดมวิธีการสนทนาที่เคยอ่านเจอในหนังสือมาตอบคำถามทำให้ร่างกายของฉันกำลังหมดแรง

‘แต่ดูเหมือนฉันจะตอบคำถามกลับไปได้ไม่เลวเลย’

ฉันเห็นสีหน้าขององค์ชายรัชทายาทเลออนพลันแข็งทื่อขึ้นมาเล็กน้อย หากไม่ใช่คนที่มีนิสัยช่างสังเกตคงไม่มีทางเห็นแน่นอน

‘แต่ยังไงก็เหมือนชกโดนไปหนึ่งหมัด ฉันสบายใจมาก’

คิดได้แบบนั้น ฉันก็รู้สึกเหมือนความอึดอัดถูกยกออกไป เดินต่อไปได้สักพักก็มองเห็นประตูห้อง

ฉันหมุนตัวกลับ แล้วค้อมหัวเล็กน้อยให้ราธบันที่เดินตามหลังฉันมา

“วันนี้ขอบคุณมาก เซอร์ราธบัน”

ทันใดนั้น เขาก็ก้มหัวลงเล็กน้อย

“ขอบใจที่ช่วยเรื่องตอนท้ายด้วย”

ที่จริงแล้วฉันอยากพูดให้มากกว่านี้ เป็นเพราะเขารู้ทันสถานการณ์และกล่าวว่าต้องไปเตรียมตัวต่อสำหรับกำหนดการถัดไปเลยทำให้ฉันสามารถแยกตัวออกมาจากองค์ชายรัชทายาทรวมถึงคณะราชทูตได้อย่างปลอดภัย คำพูดนั้นหากให้คนอื่นพูดก็คงดีกว่าให้ฉันพูด โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าราธบันเป็นคนพูด เพราะมันจะทำให้ดูเหมือนว่านี่ไม่ใช่ข้ออ้างแต่ว่าฉันมีงานที่ต้องไปทำจริงๆ

แน่นอนว่ากำหนดการต่อไปที่ว่านั่นก็เป็นเพียงแค่การกลับมาพักที่ห้องแบบนี้

“…”

เขาไม่ได้ตอบอะไรกลับมาเมื่อได้ยินคำกล่าวขอบคุณครั้งที่สอง ความเงียบไหลผ่านไปสักพัก

‘สงสัยว่าเรื่องที่ต้องโกหกจะยังคงกวนใจเขาอยู่’

ดูเหมือนหน้าที่ของอัศวินแห่งวิหารจะมีกฎที่กำหนดว่าต้องซื่อสัตย์ด้วย แน่นอนว่าไม่อาจรักษามันได้อย่างสมบูรณ์แต่ก็ควรจะรักษามันเท่าที่จะทำได้

‘แม้ว่าจะเป็นเพราะฉันอยู่กับองค์ชายรัชทายาทนานแล้วก็ยังไม่เกิดเรื่องดีขึ้นกับวิหารหลวงจึงต้องมาขวางเอาไว้ก็ตาม’

หากไม่ใช่เพราะเหตุนี้ฉันก็หาเหตุผลอื่นไม่ได้แล้วว่าเพราะอะไรราธบันถึงกับต้องโกหกเพื่อช่วยให้ฉันออกมา ตอนที่ฉันกำลังคิดแบบนั้น ราธบันก็พูดออกมา

“เขาเป็นคนไม่ดี”

“อะไรนะ?”

“ข้าสัมผัสได้ว่าเขาไม่ใช่คนดี ดังนั้นจนกว่าเขาจะกลับไปให้อยู่ห่างเขาเท่าที่จะทำได้จะดีกว่าขอรับ”

“อ๋อออ”

ฉันถึงเข้าใจว่าเขากำลังพูดถึงองค์ชายรัชทายาทเลออนเมื่อได้ฟังคำอธิบายที่ยาวขึ้น

ที่จริงแล้วฉันรู้สึกตกใจ ตกใจให้กับความจริงที่ว่าราธบันเป็นคนเอ่ยปากพูดถึงเรื่องอื่นก่อนนอกเหนือจากเรื่องที่ฉันถาม แม้กระทั่งเนื้อหาเองยังเกี่ยวกับการประเมินคนอื่น

‘อีกทั้ง…’

ฉันเพิ่งเคยเห็นภาพที่เขาแสดงอารมณ์รุนแรงต่ออะไรสักอย่างเป็นครั้งแรก นั่นทำให้เขาดูเป็นมนุษย์มากขึ้น ทันทีที่ฉันมองไปที่เขาอย่างเปิดเผย ราธบันก็ก้มหัวลง

“ขออภัย ข้าพูดมากเกินไปแล้ว”

“…ไม่เป็นไร ขอบใจที่เป็นห่วง ตอนนี้เจ้ากลับไปได้แล้วล่ะ วันนี้ไม่จำเป็นต้องมาอยู่อารักขาแล้ว”

แม้ฉันจะตอบกลับไปแบบนั้น แต่เขาก็ยังไม่หมุนตัวจากไป ฉันกลับเห็นเขาทำท่าลังเลใจคล้ายคนที่อยากพูดอะไรบางอย่าง อาจเพราะเขาตัดสินใจได้แล้วจึงพูดออกมาอย่างระมัดระวัง

“…บทลงโทษของข้าจะตัดสินเมื่อไหร่หรือ”

“อะไรนะ?”

บทลงโทษ? บทลงโทษอะไร ฉันกลอกตา แต่ไม่นานก็เข้าใจว่าเขากำลังถามหาความรับผิดชอบที่เขาล้มเหลวในการอารักขาฉันในพิธีสวดภาวนาในวันแรก

‘ฉันไม่มีความคิดจะลงโทษเขาเลยด้วยซ้ำ…’

ในวันพิธีสวดภาวนา หากฉันไม่สั่งให้เขาไปพาชายชรา ไม่สิ องค์ชายรัชทายาท เขาคงป้องกันไข่ไก่ได้อย่างง่ายดาย สุดท้ายก็เป็นเพราะเรื่องที่ฉันสั่งเลยทำให้เขาล้มเหลวในหน้าที่ ดังนั้นฉันจึงไม่ต้องการถามหาความรับผิดชอบจากเขา

‘ยิ่งไปกว่านั้น ฉันคิดว่าฉันใกล้จะหายใจได้คล่องแล้ว’

ตอนที่เจอกับราธบันครั้งแรก เป็นเพราะความเยือกเย็นและสายตาที่รังเกียจทำให้ฉันไม่กล้าแม้แต่จะมองเขา แต่ว่าตอนนี้ อย่างน้อยก็สามารถพูดคุยกันแบบนี้ได้โดยไม่ต้องพยายามแล้ว อีกทั้งอาจเป็นเพราะเขาปิดบังมันได้ดี หรืออาจเป็นเพราะการคาดเดาของฉัน ถึงได้ดูเหมือนว่าสายตารังเกียจที่เคยมองมาที่ตอนนี้ได้หายไปแล้ว

ฉันเคยคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างเราคงไม่มีทางดีขึ้นได้ แม้ว่าตอนนี้ยังไม่อาจเรียกได้ว่าดี แต่หากบอกว่าเส้นทางที่อีเบลลีน่าทำทิ้งไว้ดูเหมือนจะใกล้ขึ้นมาหนึ่งก้าว นี่จะเป็นการคิดในแง่ดีมากเกินไปหรือไม่

ฉันย้อนนึกถึงเสียงของอีเบลลีน่าที่ได้ยินเมื่อเช้า

หลังจากนี้อีกสี่วัน

หากผ่านสี่วันนี้ไปแล้วฉันยังไม่ทำตามเงื่อนไขที่อีเบลลีน่าเสนอไว้ ฉันอาจจะต้องหายไปจากร่างกายนี้ หลังจากนั้นฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอีเบลลีน่าหวนจะกลับมา หรือนางจะหาคนใหม่มาแทน

‘ขอโทษนะ’

ฉันไม่อยากทำลายเส้นทางที่ฉันพยายามทำให้มันใกล้ขึ้นด้วยมือของตนเอง เพราะฉะนั้นฉันอยากส่งต่อบทลงโทษนั้นไว้ให้กับเจ้าของร่างในอีกสี่วันหลังจากนี้แทน

[1] สำคัญมหากางเขน คือ การทำเครื่องหมายกางเขน เป็นรูปแบบการปฏิบัติอย่างหนึ่งของผู้นับถือศาสนาคริสต์