เหลือเวลาอีกสามวัน

ฉันลืมตาขึ้นพร้อมกับเสียงหัวเราะน่าขนลุกของอีเบลลีน่า สงสัยฉันต้องขอบคุณความเอาใจใส่ของนางที่คงคิดว่าฉันลืมมันไปแล้วถึงได้เอ่ยปลุกราวกับนาฬิกาปลุกตอนเช้า นั่งเหม่อลอยอยู่สักพักก่อนจะขยับตัว

อาบน้ำแต่งตัวและเตรียมพร้อมเสร็จ ฉันตรงไปยังห้องหนังสือทันที ที่นั่นมีตารางงานที่ฉันเพิ่งได้มาก่อนนอนวางไว้ ฉันไล่สายตาดูจากด้านบนลงมาแล้วก็หลุดหัวเราะอย่างขมขื่น

“วันนี้ก็งานเยอะอีกแล้ว”

ไม่ใช่ว่าฉันไม่พอใจ เพราะตารางงานที่อัดแน่นทุกชั่วโมงตั้งแต่เช้าจรดเย็นเป็นสิ่งที่ฉันไหว้วานเอง

เมื่อวาน เสร็จจากการพบปะองค์ชายรัชทายาท ฉันก็เรียกหาเหล่านักบวชที่ดูแลตารางงานมาพบ

“ข้าอยากให้เจ้าช่วยเพิ่มภาระงานให้ข้าสักระยะ”

“ขอรับ?”

สีหน้าของเหล่านักบวชพลันแสดงสีหน้าเหลือเชื่อเมื่อได้ยินคำพูดของฉัน

นี่ก็ผ่านมาหนึ่งปีแล้วที่นักบุญหญิงละเลยหน้าที่ของตน ตอนพิธีสวดภาวนาคาดว่าคงเพราะตระหนักถึงความสำคัญของมันได้จึงเคลื่อนไหวอีกครั้ง แต่หลังจากจบพิธีสวดภาวนาแล้วก็ยังตั้งใจจะทำงานอย่างขยันขันแข็งอีกอย่างนั้นหรือ?

…สิ่งที่พวกเขาคิด ฉันเห็นอย่างชัดเจน

“ไม่มีอะไรให้ต้องทำหรือ?”

“ปะ เปล่า ไม่ใช่ขอรับ! ท่านรอประเดี๋ยว!”

หลังจากรีบวิ่งออกไปไม่นานพวกเขาก็ถือตารางงานแผ่นใหม่กลับเข้ามา ฉันรับมาพิจารณาดูอยู่สักพักแล้วเอ่ยถาม

“มีช่วงที่ว่างอยู่อีกเยอะเลย ทำไมถึงปล่อยว่างไว้หรือ?”

“อย่างไรท่านก็ต้องพักผ่อนบ้าง…”

“ไม่เป็นไร หากมีงานเร่งด่วนอะไรเจ้าเพิ่มลงมาในช่วงนี้ได้เลย”

สีหน้าของเหล่านักบวชมีรอยยิ้มเมื่อได้ยินคำขอของฉัน แต่ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดเมื่อพวกเขาเริ่มเพิ่มตารางงานลงไปในช่วงที่ว่างจนเต็ม ฉันคิดว่าฉันรู้เหตุผล

“กำลังคิดว่าถ้าจัดตารางเช่นนี้แล้วข้าเกิดยกเลิกขึ้นมาจะต้องเป็นเรื่องใหญ่…ใช่หรือไม่?”

“ขอรับ? มะ… ไม่ใช่ขอรับ!”

ไม่ใช่อะไรล่ะ ใช่ชัดๆ เลย เหล่านักบวชเก็บสีหน้าอย่างรวดเร็วแต่ก็สายไปเสียแล้ว

เหตุผลที่ฉันเพิ่มตารางงานจนไม่มีกระทั่งเวลาหายใจมีเพียงข้อเดียว นั่นเพราะอยากทำในเรื่องที่อีเบลลีน่าเกลียด แม้จะแปลกแต่นางกลับไม่ชอบให้ฉันทำหน้าที่ของนักบุญหญิง ราวกับไม่ต้องการให้ฉันทำลายเรื่องชั่วร้ายที่นางสั่งสมมาตลอด

ฉันมองดูตารางงานที่เพิ่งได้รับมาใหม่เมื่อวานพลางบ่นพึมพำ

“นี่คือการต่อต้าน”

ย้อนนึกถึงเสียงหัวเราะน่าขนลุกที่ได้ยินเมื่อเช้าอีกครั้ง และนึกถึงใบหน้าของอีเบลลีน่าที่ได้เห็นในฝันด้วยเช่นกัน นางมองมาที่ฉันด้วยสีหน้าเบิกบาน สีหน้าคล้ายกับสีหน้าของเด็กที่มีของเล่นน่าสนุกอยู่ในมือ ความต่างคือสีหน้าของนางเต็มไปด้วยความต้องการที่จะทำลายของเล่นชิ้นนั้น

อีเบลลีน่าเกลียดฉัน

หรือพูดให้ชัดคือนางเกลียดที่ฉันไม่เคลื่อนไหวไปตามที่นางต้องการ

‘ไม่ใช่เด็กๆ ด้วยซ้ำ’

หากไม่ชอบก็รีบส่งฉันออกไปจากร่างแล้วจัดการตามใจตนเองเสียก็สิ้นเรื่อง

‘ทำแบบนี้สนุกมากงั้นเหรอ?’

คาดเดาได้ไม่ยากว่าอีเบลลีน่าอยากเห็นฉันตกอยู่ในสภาพไหน นางคงอยากเห็นฉันกลัวที่จะสูญเสียร่างกายนี้ไปจนออกตามหาชายหนุ่มที่ถูกส่งมาทุกคืน หรือบางทีคงอยากเห็นฉันอ้อนวอนขอให้ผู้ชายมาหลับนอนด้วย

‘ฉันไม่อยากตามใจนาง’

ฉันกลัวที่จะต้องออกจากร่างกายนี้ไป ทว่าพอยิ่งคิดดูแล้วความโกรธที่มีต่ออีเบลลีน่ากลับมากกว่าความหวาดกลัวนั้นเสียอีก

‘ฉันไม่อยากเคลื่อนไหวไปตามความต้องการของนาง’

ร่างกายนี้แต่เดิมก็เป็นของนาง ดังนั้นหากนางต้องการเอาคืนฉันก็พูดอะไรไม่ได้อยู่ดี ฉันคิดและทำจิตใจให้สงบที่สุด อย่าน้อยใจไปเลย อย่ากลัวไปเลย ความรู้สึกเดียวที่ฉันยังเหลืออยู่คือความโกรธ โกรธที่ถูกนางควบคุม

แต่ถึงจะพูดแบบนั้น เรื่องที่ฉันทำก็ไม่ใช่เรื่องที่ยิ่งใหญ่อะไร ฉันเพียงแค่ทำในสิ่งที่อีเบลลีน่าเกลียดอย่างขี้ขลาด ฉันต้องการแสดงให้เห็นว่าไม่ว่านางจะข่มขู่ฉันอย่างไรแต่ฉันก็จะทำเรื่องพวกนี้ต่างจากนางคนเดิม และสุดท้ายคือฉันอยากตายไปพร้อมกับคำขอบคุณที่ให้ฉันได้ลิ้มรสชีวิตที่แตกต่างแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ฉันต้องการทำแบบนั้น

‘แต่ถึงอย่างนั้น…’

ร่างกายของฉันก็กำลังสั่นกลัว

บางทีฉันอาจจะรู้สึกเสียใจเมื่อถึงวันสุดท้าย ไม่สิ ฉันจะต้องเสียใจแน่นอน วันที่ได้ฟังเงื่อนไขของอีเบลลีน่า ฉันก็แค่ต้องเรียกใครสักคนแล้วพามาที่เตียงนอน แต่ฉันต้องตายเพราะยืนกรานจะรักษาศักดิ์ศรีที่ไร้สาระนั่น

ฉันมองไปยังตารางงานอีกครั้ง ฉันไม่อยากคิดอะไรทั้งสิ้น บางทีถ้ายุ่งขนาดนี้ก็คงจะทำแบบนั้นได้

***

“ท่านพักสักหน่อยแล้วค่อยทำต่อเถิด”

ฉันถือกระดาษดูอยู่สักพักหนึ่ง นักบวชด้านข้างกล่าวขึ้นมาอย่างระมัดระวัง

“ไม่เป็นไร”

ฉันตอบกลับไปโดยไม่แม้แต่จะเงยศีรษะขึ้น แล้วก็ได้ยินเสียงดังขึ้นอีกครั้ง

“ท่านเพิ่งเคยทำแบบนี้เป็นครั้งแรก ข้ากังวลว่…อุ๊บส์!”

นักบวชรีบยกมือขึ้นมาปิดปากตนเอง ดูท่าเขาคงตกใจที่เผลอหลุดความในใจว่า *‘ข้าเพิ่งเคยเห็นเจ้าทำแบบนี้เป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ย’*ออกมาตามตรงเกินไป ฉันเซ็นเอกสารและส่งคืนกลับไปราวกับไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น เขาสังเกตท่าทีของฉันก่อนจะโค้งคำนับแล้วรีบออกจากห้องหนังสือไป

ฉันยิ้มอย่างขมขื่นขณะมองเขาจากไป หันศีรษะไปด้านข้าง ที่นั่นมีเอกสารที่ต้องเร่งจัดการวางอยู่

‘เป็นงานที่เกี่ยวกับผู้เข้าคัดเลือกตำแหน่งผู้อาวุโสนี่นา’

ผู้อาวุโสในตอนนี้เคลื่อนไหวร่างกายไม่สะดวกเนื่องจากชราภาพ ดังนั้นบางทีจึงอาจไม่ได้มอบหมายหน้าที่ของผู้อาวุโสในพิธีสวดภาวนาไว้ให้นักบวชระดับสูง

‘รายชื่อของผู้เข้าคัดเลือกหรือ?’

ฉันกวาดสายตามองรายชื่อที่ถูกเขียนจนแน่นอยู่เต็มกระดาษ พลันเห็นชื่อหนึ่งเข้ามาในสายตา

คาร์ล

ชั่วขณะ รู้สึกเหมือนหัวใจหล่นวูบลงมา

เหมือนถูกใครตีเข้าที่ท้ายทอยอย่างแรง เบื้องหน้าพลันเปลี่ยนเป็นสีขาว ฉันมองไม่เห็นอะไรอีกเลย สิ่งที่เห็นมีเพียงชื่อของคาร์ลเท่านั้น หัวใจเต้นแรง เหงื่อกาฬไหลริน พอเห็นมือที่สั่นระรัวฉันก็เข้าใจ นี่ไม่ใช่การตอบสนองของฉัน นี่คือการตอบสนองของอีเบลลีน่า

ก่อนอื่นต้องค่อยๆ หายใจและขยับตัว โชคดีที่ผ่านไปไม่นานภาพการมองเห็นก็กลับมาและมือก็หยุดสั่น หลังจากรอจนมือหายสั่น ฉันหันกลับไปมองกระดาษอีกครั้ง

‘คาร์ลคือใครทำไมถึงได้เป็นแบบนี้’

ฉันย้อนดูความทรงจำของอีเบลลีน่าและแน่นอนว่าไม่พบความทรงจำเกี่ยวกับชื่อนั้น แต่มันกลับให้ความรู้สึกที่ต่างจากครั้งที่ไม่มีความทรงจำของคาลูซ ฉันสัมผัสได้ถึงความทรงจำแต่มันอยู่อีกฟากของกำแพงขนาดมหึมา ไม่สามารถเข้าไปใกล้มันได้อย่างเด็ดขาด

อาการสั่นสงบลง ฉันกวาดสายตามองดูรายชื่อจากด้านบนอีกครั้ง

“ช่วยเรียกนักบวชที่นำเอกสารนี้มาหน่อยได้หรือไม่”

หลังจากฉันไหว้วานไปไม่นานก็มีนักบวชสูงวัยผู้หนึ่งเข้ามาในห้องหนังสือ เขาก็คือนักบวชระดับสูงที่เคยพบกันหลายครั้งตอนเตรียมพิธีสวดภาวนา เขาก้มหัวพร้อมกล่าวคำทักทายของวิหารหลวงเหมือนทุกครั้ง จากนั้นก็ถามด้วยน้ำเสียงกังวล

“ได้ยินว่าท่านเรียกข้ามาเพราะเรื่องรายชื่อของผู้เข้าคัดเลือก”

“ใช่แล้ว พอดีข้ารู้สึกเหมือนว่ารายชื่อครั้งนี้จะต่างจากตอนพิธีสวดภาวนาอยู่เล็กน้อย”

ก่อนพิธีสวดภาวนา ฉันเคยได้รับรายชื่อของผู้แทนผู้อาวุโสอย่างเร่งด่วน จำได้ว่ารายชื่อตอนนั้นไม่มีชื่อของคาร์ลแน่นอน

“อ่า ตอนนั้นเนื่องจากพิธีสวดภาวนาเหลือเวลาไม่นาน ในบรรดานักบวชที่ตรงตามเงื่อนไข ข้าจึงยื่นเพียงแต่รายชื่อของนักบวชที่อยู่ในวิหารหลวงเท่านั้น แต่ในครั้งนี้รายชื่อของนักบวชที่อยู่วิหารชนบทซึ่งมีคุณสมบัติเพียงพอก็ถูกเสนอขึ้นมาหมดเลยขอรับ”

ได้ยินคำอธิบาย ฉันก็เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงเพิ่มรายชื่อเข้ามามากกว่าของเดิม และเข้าใจด้วยว่าทำไมนักบวชสูงวัยผู้นี้จึงมองพิจารณาฉันด้วยสายตาเป็นกังวล

‘คงมีคนที่อีเบลลีน่าไม่ชอบอยู่เยอะแยะแน่เลย’

อีเบลลีน่าส่งนักบวชระดับสูงที่ต่อว่านางไปอยู่วิหารที่ห่างไกลทั้งหมด ในกลุ่มคนเหล่านั้นยังมีนักบวชระดับไม่สูงแต่เป็นที่เคารพและได้รับความรักด้วยเช่นกัน บางทีคนพวกนั้นคงถูกเสนอชื่อมาทั้งหมด

“มีนักบวชที่สนใจเป็นพิเศษหรือยังขอรับ?”

“นั่นยัง…”

ฉันตอบพลางมองไปยังชื่อของคาร์ลอีกครั้ง ราวกับเขารับรู้ถึงจุดที่สายตาของฉันมอง นักบวชสูงวัยจึงได้ยิ้มออกมาอย่างแจ่มใส

“ท่านถูกใจนักบวชคาร์ลอย่างนั้นหรือ หากเป็นเขาคนนั้น ตำแหน่งผู้อาวุโสของวิหารจะต้องไม่มีจุดบกพร่องแน่ ข้าคิดว่าเขาจะต้องจัดการได้เป็นอย่างดี”

น้ำเสียงของนักบวชสูงวัยที่กล่าวถึงคนชื่อคาร์ลเปี่ยมไปด้วยความเลื่อมใส

“ใช้โอกาสนี้ในการพานักบวชคาร์ลกลับมายังวิหารหลวงก็ดีนะขอรับ อย่างไรเขาก็เป็นนักบวชที่ติดตามท่านนักบุญหญิงมามิใช่หรือ ถึงตัวเขาจะต้องการออกไปอยู่วิหารทางชายแดนเองแต่ถ้าท่านเรียกกลับมาแล้วจะทำอย่างไรได้ ปัญหาคือทางนั้นคงไม่มีทางปล่อยนักบวชคาร์ลกลับมานะขอรับ”

นักบวชสูงวัยกล่าวพร้อมรอยยิ้ม สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความคะนึงหาและความเลื่อมใสต่อใครสักคนอย่างแท้จริง ฉันดูรายชื่ออีกครั้งเมื่อเห็นสีหน้าของเขา

‘ใครกันแน่’

คนที่ติดตามอีเบลลีน่าจะได้รับการประเมินที่ดีขนาดนั้นเลยเหรอ นึกถึงคนที่ติดตามอีเบลลีน่าแล้วพบว่าส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นคนไม่เอาไหน เป็นคนประเภทเดียวกับคาลูซ แต่เขากลับเป็นคนที่ได้รับคำชมจากนักบวชคนอื่นถึงขนาดนี้ทั้งที่ติดตามอีเบลลีน่า ฉันเกิดความสงสัยแล้วว่าเขาเป็นคนอย่างไร

“เอาเป็นว่าเข้าใจแล้ว ออกไปได้แล้วค่ะ”

นักบวชสูงวัยค้อมตัวกล่าวลาและถอยหลังออกไป ฉันมองชื่อของคาร์ลอีกหลายหนในห้องหนังสือที่กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง จากนั้นก็เลื่อนสายตามามองมือของตน

“…”

ฉันมองเห็นมือที่กำเอกสารไว้จนแน่น ฉันคลายมือออกอย่างเชื่องช้าและพบฝ่ามือที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ

‘ทำไมถึงเป็นแบบนี้?’

คาร์ลเป็นใครกันแน่ อีเบลลีน่าถึงได้มีปฏิกิริยาแบบนี้ ตอนที่ฉันกำลังจมอยู่กับความคิดว่าคนผู้นั้นคือใคร ด้านในต้นขาพลันรู้สึกเจ็บขึ้นมา

“…!”

ความเจ็บที่มาอย่างกะทันหันทำให้ฉันตกใจจนพับชายเสื้อขึ้นดู

“อา…”

รอยที่หลงลืมไปแล้วช่วงหนึ่งปรากฏเข้ามาในสายตา นั่นคือรอยทรงกลมสามรอยที่อยู่ด้านในต้นขา ความรู้สึกเจ็บแปลบพลันแล่นผ่าน ไม่ใช่ที่รอยพวกนี้แต่เป็นตรงหน้าอก ในตอนนั้นฉันจึงรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณ นักบวชที่ชื่อคาร์ลจะต้องเป็นคนที่มีความเกี่ยวข้องกับรอยพวกนี้แน่

***

เหลือเวลาอีกสองวัน

วันนี้เสียงของอีเบลลีน่าดังขึ้นราวกับนาฬิกาปลุกเช่นเคย แต่มันแตกต่างจากเมื่อวานอยู่บ้าง น้ำเสียงของอีเบลลีน่าวันนี้ไม่มีรอยยิ้ม อีกทั้งไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงได้คล้ายว่าแฝงไปด้วยความกระวนกระวายใจ คล้ายกับกำลังปิดบังกระทั่งความหงุดหงิดที่ไม่เข้าใจว่าทำไมฉันถึงไม่ยอมทำอะไรเลย

นั่นทำให้ฉันอารมณ์ดีขึ้น บางทีพรุ่งนี้นางอาจจะพูดอะไรที่เลวร้ายกว่าเดิมก็ได้ ดูท่าคงต้องเตรียมใจไว้บ้าง

‘ว่าแต่…ไม่พูดถึงคาร์ลเลยแฮะ’

เห็นได้ชัดว่าในฝัน นางบอกว่าเห็นทุกอย่างจากในร่าง ฉันจึงคิดว่านางจะต้องพูดอะไรบางอย่างถึงคนชื่อคาร์ลผู้ที่ทำให้ร่างกายเกิดการตอบสนองอย่างรุนแรงทันทีที่เห็นชื่อในกระดาษไปพาคนผู้นั้นมา หรือไม่ก็ตัดชื่อคนผู้นั้นออกเสีย ไม่ว่าจะแบบไหนแต่ฉันก็คิดว่านางจะต้องพูดอะไรบ้าง แต่อีเบลลีน่ากลับไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเขาเลยสักคำ

ตอนนั้นฉันก็เกิดคำถามขึ้น

‘กำลังดูอยู่จริงๆ เหรอ?’

ถ้าอย่างนั้นไม่มีทางเงียบอยู่แบบนี้แน่

ฉันลุกจากที่นั่งหลังจากคิดอยู่แบบนั้นสักพัก ทันทีที่ก้าวออกมาจากห้องก็เห็นเหล่านักบวชจำนวนมากกำลังรอคอยฉันอยู่เหมือนเช่นเคย ฉันเห็นพวกเขาแล้วก็นึกขึ้นได้ นึกถึงความจริงที่ว่าเมื่อวานฉันไม่ได้คิดถึงเงื่อนไขที่อีเบลลีน่าพูดไว้เลยจวบจนถึงเวลานอนเพราะยุ่งมาก

‘วันนี้ก็น่าจะเป็นแบบนั้นอีก’

ถ้ามีงานกองพะเนินแบบนี้ แค่จัดการงานอย่างเดียวก็ผ่านไปวันหนึ่งแล้ว ฉันคิดแบบนั้นพลางมองงานจำนวนมากบนโต๊ะ ที่ต้องทำ ท่ามกลางกองนั้นมีของที่สะดุดตาเป็นพิเศษอยู่

มันคือซองจดหมายที่ดูหรูหราอย่างมาก เพียงแต่ฉันไม่ได้สะดุดตาเพราะความหรูหรานั้น ด้านบนของจดหมายมีครั่ง[1]ซึ่งมีสัญลักษณ์ของจักรวรรดิฝังไว้อย่างโอ่อ่าผนึกไว้อยู่

“นี่มัน…”

ฉันเปล่งเสียงคึกครวญครางออกมาโดยไม่รู้ตัว พอพลิกจดหมายก็พบชื่อที่คิดเอาไว้

เลออน

จดหมายที่เขียนเพียงชื่อ ในโลกแห่งนี้ต้องเป็นคนที่มีความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกันมากจึงจะเขียนแบบนั้นได้ เป็นความสัมพันธ์แบบครอบครัวหรือไม่ก็สหายสนิท หากไม่ใช่ทั้งสองอย่างนี้ก็อาจจะเป็นคู่รัก

แน่นอนว่าฉันกับเลออนไม่ได้มีความสัมพันธ์ตรงกับสามแบบนั้นเลย

หลังจากพิจารณาจดหมาย ฉันพบจุดที่แปลกประหลาดอีกหนึ่งจุด เทียบกับจดหมายฉบับอื่นแล้วมันสังเกตได้ง่ายมาก ไม่รู้ว่าด้านในใส่อะไรไว้ถึงได้มีความหนากว่าจดหมายฉบับอื่นมากเป็นพิเศษ

อันที่จริงแล้วเมื่อวานมีจดหมายมาจากองค์ชายรัชทายาทเลออนเช่นกัน เมื่อวานเป็นจดหมายธรรมดาๆ ที่มีเนื้อหาซ้ำซากเขียนไว้ว่าอยากพบฉันอีกสักครั้งในตอนที่ตนยังอยู่ในวิหารหลวง ดังนั้นฉันจึงสั่งให้ส่งคำตอบที่ชัดเจนกลับไป ด้วยจดหมายที่เหล่านักบวชผู้รับผิดชอบการเขียนเป็นคนเขียนไว้ล่วงหน้าเพราะฉันขี้เกียจกระทั่งจะเขียนเอง

‘แต่เขาก็ยังส่งกลับมาแบบนี้’

วันนี้เขาส่งจดหมายกลับมาอีกครั้งราวกับไม่ได้รับจดหมายตอบเมื่อวาน แต่อย่างไรเมื่อวานเขาก็ยังส่งมาให้ในรูปแบบทางการทว่าวันนี้กลับกล้าส่งมาอย่างสนิทสนม เขาจงใจไม่ผิดแน่

ฉันอยากวางมันทิ้งไว้เฉยๆ แต่ความหนาของมันกลับดึงดูดความสนใจ สุดท้ายฉันก็แกะครั่งที่ผนึกไว้ออกอย่างไม่อาจข่มความสงสัย

“นี่มันอะไรกัน”

สิ่งที่เห็นได้อย่างแรกคือจดหมายปึกหนา ระหว่างจดหมายแต่ละใบดูคล้ายมีอะไรบางอย่างสอดแทรกอยู่ ของทรงกลมสีแดงร่วงหล่นลงมาเมื่อฉันดึงออก หลังจากตรวจสอบว่ามันคืออะไร ฉันก็ถอนหายใจ

“กลีบดอกไม้…?”

หากเป็นกลีบดอกไม้ทั่วไปคงได้เพียงกลิ่นหญ้าอ่อนๆ แต่พอหยิบขึ้นมาใกล้จมูกกลับได้กลิ่นหอมเข้มข้น บางทีนี่อาจเป็นกลีบดอกไม้ที่ได้รับการดูแลเป็นพิเศษไว้เพื่อใช้งานในลักษณะนี้โดยเฉพาะ

“วุ่นวายจริงๆ”

ฉันมองโต๊ะหนังสือที่กลายเป็นทุ่งดอกไม้ในชั่วพริบตาและเปิดกระดาษปึกหนาดู

“…”

ฉันรู้สึกหมดคำพูด จดหมายเริ่มต้นด้วยคำว่า ‘สุดที่รัก’ และมีจำนวนมากกว่าสิบแผ่นไปแล้ว ฉันเปิดผ่านๆ ไปจนถึงแผ่นสุดท้ายก็พบว่าคำที่เรียกฉันว่านักบุญหญิงเปลี่ยนเป็นอีเบลลีน่าแล้ว ฉันกลับมาที่จดหมายแผ่นแรกและเริ่มอ่านมัน อยากดูว่าองค์ชายรัชทายาทเขียนอะไรไว้บ้างกันแน่

ผ่านไปสักพัก ฉันวางจดหมายแผ่นสุดท้ายลง

“…สนุกดีแฮะ?”

เหนือความคาดหมาย ฉันเริ่มอ่านจดหมายด้วยความรู้สึกที่อยากรู้ว่าเขาจะเขียนเรื่องเพ้อเจ้ออะไรแต่สุดท้ายกลับดำดิ่งไปกับจดหมายโดยไม่รู้ตัว จดหมายที่เริ่มต้นด้วยการถามไถ่สารทุกข์สุขดิบแบบง่ายๆ กลับเขียนเล่าเรื่องราวชีวิตประจำวันธรรมดาๆ ของคนรอบข้างและเรื่องที่เกิดขึ้นตอนเขาอยู่ในวิหารหลวงไว้อย่างสนุกสนาน

มันรู้สึกเหมือนกำลังอ่านนิยายเรื่องสนุกมากกว่าอ่านจดหมาย ดังนั้นตอนที่ฉันหยิบจดหมายแผ่นสุดท้ายขึ้นมาจึงถึงกับเกิดความรู้สึกเสียดายว่าจบแล้วเหรอเนี่ย

ฉันลองนึกถึงเรื่องเกี่ยวกับองค์ชายรัชทายาทเลออนหลังจากเก็บจดหมายเรียบร้อยแล้ว

‘เป็นคนที่มีศิลปะในการเข้าหาคนอื่นงั้นเหรอ’

ในหนังสือมีเขียนเล่าเกี่ยวกับเขาไว้มากมาย เขา หนึ่งในตัวเอกชายที่ช่ำชองเรื่องสตรีที่สุด แต่เขาผู้เคยคบหากับหญิงสาวมากหน้าหลายตากลับต้องกลัดกลุ้มเมื่อตกหลุมรักอีริส ฉันจำได้ว่าอ่านส่วนนั้นอย่างสนุกสนาน

‘ในช่วงนั้นเห็นว่ากลัวที่ไม่มีผู้สืบทอดมากกว่า’

แม้จะมีข่าวคาวในเรื่องชู้สาวว่าใช้เวลาค่ำคืนไปกับสตรีหลายคนแต่องค์ชายรัชทายาทกลับไม่มีทายาทเลยทั้งที่เปิดเผยและไม่เปิดเผย

‘นั่นแสดงว่าเขาเป็นมนุษย์ที่รอบคอบถึงขนาดนั้น’

แม้จะถูกพูดถึงเพียงสั้นๆ และจบลง แต่เขาคงเป็นคนประเภทที่เตรียมพร้อมเพื่อไม่ให้มีคำนินทาตามหลังในตอนที่สิ้นสุดความสัมพันธ์

ชั่วขณะ ฉันก็เกิดความคิดขึ้น

‘หากทำกับองค์ชายรัชทายาทเลออนจะเป็นยังไงนะ’

หากฉันทำแบบนั้นแล้วบรรลุเงื่อนไขของอีเบลลีน่าและได้ใช้ชีวิตอยู่ในร่างนี้ต่อไป เมื่อภายหลังอีริสปรากฏตัวขึ้นและฉันต้องออกจากวิหารหลวง บางทีเขาอาจจะยกโทษให้ฉันบ้างสักเล็กน้อย หากฉันไม่กลั่นแกล้งอีริส แถมยังเคยเป็นสตรีที่มีความสัมพันธ์กับเขา บางทีอาจไม่โดนเผาจนตาย

แต่แล้วก็ส่ายหน้า

“…ทำสิ่งที่ทำอยู่ต่อไปเถอะ”

ฉันเก็บกระดาษกลับลงในซองอีกครั้ง และเก็บกลีบดอกไม้ทั้งหมดที่อยู่บนโต๊ะลงซองด้วยเช่นกัน วันนี้องค์ชายรัชทายาทเลออนคงจะต้องรับจดหมายที่ไม่ต่างจากเมื่อวานมากนัก

[1] ครั่ง ลักษณะคล้ายขี้ผึ้ง ใช้ปิดผนึกซองจดหมาย