“นี่เป็นหลานสาวบ้านใหญ่ของท่านย่าสี่รึ? เป็นเด็กดีที่งดงามจริงๆ ดังดอกไม้ดอกหนึ่งก็ไม่ปาน ในเมืองหลวงกลับไม่เคยพบเห็นเด็กสาวในวัยนี้ที่โดดเด่นและเพียบพร้อมเช่นนี้เลย …รีบเข้ามาให้พี่สะใภ้ดูไวๆ” ในคืนวันสิ้นปี ประตูใหญ่ของหมิงเพ่ยถังเปิดกว้างออกต้อนรับแขกเหรื่อที่มาเยือนจากทั่วสารทิศ ทั้งในและนอกอาคารล้วนเต็มไปด้วยแสงโคมสว่างไสวเรียงรายเป็นแนวยาว เสียงหัวเราะเบิกบานมีอยู่ไม่ขาดสาย
เมื่อเทียบกับเสียงดนตรีบรรเลง ระบำพลิ้วบนเวที ความครึกครื้นระหว่างการคำนับสุรารสเลิศกันไปมาภายในโถงด้านหน้าแล้ว ภายในเรือนหลังก็คับคั่งไปด้วยสตรีในอาภรณ์หรูหราและผมเผ้าที่ประดับประดางดงาม ปล่อยตัวตามสบายน้อยกว่ากันหลายส่วน แต่กลับมีความละมุนละไมมากกว่าหลายส่วน
เว่ยฉางอิ๋งที่มีรูปโฉมงดงามอยู่แล้ว ภายใต้การแต่งกายที่เลิศหรูยิ่งทำให้นางงามสง่าโดดเด่นนัก เว่ยฉางอิ๋งยิ้มแย้มและเรียกเสิ่นเตี๋ยเอ๋อร์ หลานสาวคนหนึ่งของเสิ่นซวินและนางฮั่วเข้ามาหาตรงหน้า จับมือนางและสังเกตดูนางอย่างเป็นกันเอง พลันเอ่ยคำชมออกมาอย่างคล่องแคล่ว
นางมองดูเด็กสาวที่เพิ่งอายุได้สิบสามสิบสี่ปีที่ยังคงประหม่าขวยเขินยามได้รับคำชมในงานที่มีผู้คนมากมายเช่นนี้ ก้มหน้าทั้งหน้าแดงก่ำ เมื่อนางไต่ถามทั้ง ‘อายุเท่าใด’ ‘มืองดงามเพียงนี้คงเคยร่ำเรียนฉินมาก่อน’ ‘เตี๋ยเอ๋อร์เป็นชื่อเล่นหรือ? ฟังดูน่ารักจริง’ ก็ตอบไปด้วยเสียงบางเบา
นางฮั่วซึ่งอยู่ข้างๆ อมยิ้มพลางเอ่ยคำถ่อมตนแทนหลานสาว เมื่อสนทนาตามมารยาทเรียบร้อยแล้ว เว่ยฉางอิ๋งจึงถอดกำไลจากข้อมืออันหนึ่งแล้วสวมให้แก่เสิ่นเตี๋ยเอ๋อร์ ยิ้มพลางว่า “กำไลนี้เป็นหยกเขียว เหมาะสมกับคนในวัยแรกแย้มเช่นเตี๋ยเอ๋อร์พอดี แต่กับข้ากลับไม่เหมาะแล้ว อย่าได้ถือสาที่พอตื่นมาวันนี้ข้าก็สวมมันแล้ว ด้วยข้าคิดว่าวันนี้อาจหากเจ้าของที่เหมาะสมให้แก่มันได้ สวมไว้ที่ข้อมือจะได้เตือนตนว่าอย่าลืมเสีย หาไม่แล้วอยู่กับข้าที่นี่จะจับฝุ่นเสียเปล่าๆ!”
เสิ่นเตี๋ยเอ๋อร์รีบบอกปัดทันใด …เด็กสาวก็อายุไม่น้อยแล้ว จึงเคยได้ยินว่าพี่สะใภ้ที่มีกำเนิดในรุ่ยอวี่ถังผู้นี้ ครั้งอยู่ที่บ้านมารดาก็ได้รับความรักและเคารพจากคนในตระกูลประหนึ่งองค์หญิงก็ไม่ปาน ในเสียงร่ำลือก็บอกว่าสินติดตัวของนางแต่ละชิ้นล้วนเป็นแม่เฒ่าซ่งผู้ปกครองรุ่ยอวี่ถังคัดเลือกออกมาให้จากก้นหีบสมบัติ ตอนที่เข้ามาคำนับเมื่อครู่นี้เสิ่นเตี๋ยเอ๋อร์ก็สังเกตเห็นแล้วว่าข้าวของทุกชิ้นบนตัวของเว่ยฉางอิ๋งไม่มีชิ้นใดที่ธรรมดาๆ เลย กำไลที่นางจะสวมให้กับตนในยามนี้เมื่ออยู่ใต้แสงโคมก็เป็นสีเขียวสดใสนัก เห็นชัดว่าเป็นของชั้นเลิศ
เด็กสาวรู้ความรู้ว่าเป็นของล้ำค่า ย่อมไม่ยอมรับไว้โดยง่าย
ผลักส่งกันไปมาสักพัก นางฮั่วเห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งยืนกรานว่าจะให้จึงบอกให้หลานสาวรับเอาไว้ “ในเมื่อพี่สะใภ้รักใคร่เจ้า เจ้าก็รับไว้เสียเถิด”
เมื่อท่านย่าสั่งความมา เสิ่นเตี๋ยเอ๋อร์จึงปล่อยให้เว่ยฉางอิ๋งสวมกำไลให้นาง กำไลหยกเขียวรับกับข้อมือขาวส่งประกายงดงามนัก ทุกคนที่อยู่ใกล้ๆ ได้เห็นต่างพากันชมไม่ขาดปาก เว่ยฉางอิ๋งจึงยิ้มพลางว่า “ข้าจึงได้บอกว่ากำไลสีเขียวสดเช่นนี้ต้องเป็นเด็กสาวในวัยเช่นนางสวมใส่จึงจะขับความงามของมันออกมาได้เต็มที่ แต่หากอยู่บนแขนข้ากลับทำให้เสียของ”
“คนเช่นเจ้ายังทำให้เสียของ เช่นนั้นใต้หล้านี้ก็ไม่มีผู้ใดที่ไม่ทำให้เสียของแล้ว” นางฮั่วเอ่ยพลางอมยิ้ม “ข้ากลับรู้สึกว่าเตี๋ยเอ๋อร์ยังเล็กเกินไป ยังสยบความงามของหยกนี้ไม่ได้ กลับเป็นเจ้าซึ่งกำลังอยู่ในวัยที่งดงาม ที่สำคัญที่สุดก็คือมีความสง่างามเช่นนี้ ดังนี้ต่างหากจึงสามารถสวมใส่ออกมาแล้วทำให้ดูสง่าสูงส่ง!”
“หากจะเอ่ยถึงความสง่าและสูงส่ง ต้องเป็นดังท่านย่าสี่ท่านเช่นนี่เจ้าค่ะ…” เว่ยฉางอิ๋งสนทนากับนางด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม …สนทนาตามมารยาทไปดังนี้ ในค่ำคืนนี้อย่างน้อยๆ เว่ยฉางอิ๋งก็สนทนาปราศรัยกับฮูหยินผู้เฒ่าทุกบ้านไปรอบหนึ่ง และเอ่ยคำตามพิธีได้อย่างคล่องแคล่ว
ในขณะที่กำลังสนทนาอยู่กับนางฮั่วย่าหลานอย่างสนุกสนาน ทางด้านหน้าก็มารายงานว่ามี ฮูหยินผู้เฒ่าผู้หนึ่งพาสะใภ้และบุตรหลานมาด้วย นางฮั่วเห็นดังนั้นจึงรีบบอกว่า “สองวันก่อนข้าเพิ่งคิดจะไปสนทนากับท่านย่าหกของพวกเจ้า” แล้วบอกกับหลานสาวว่า “นางก็สนิทสนมกับเมี่ยวเมี่ยวหลานสาวบ้านใหญ่ของท่านย่าหกของพวกเจ้ายิ่งนัก พวกเราจะได้เข้าไปหาท่านย่าหกย่าหลานสองคนพอดี เจ้าดูแลทางนี้เถิด!”
ในเมื่อนางฮั่วเอ่ยเหตุผลออกมาเอง เว่ยฉางอิ๋งจึงอมยิ้มและเอ่ยคำแสดงความเกรงใจไปสองสามคำ จากนั้นก็ให้คนนำทางพวกนางไปพบกับพวกของท่านย่าห้าที่มาถึงก่อนสักพักแล้ว รอจนนางฮั่วย่าหลานเข้าไปแล้ว นางจึงรีบเรียกให้บ่าวข้างกายช่วยจัดแจงเสื้อผ้า และออกไปต้อนรับ…
ด้วยเหตุที่ถิ่นฐานเดิมของตระกูลเสิ่นอยู่ที่ซีเหลียงแห่งนี้ คนที่ต้องเชิญมาจึงมีอยู่มากมายนัก งานเลี้ยงคืนวันสิ้นปีครานี้เรียกได้ว่าเว่ยฉางอิ๋งต้องยุ่งวุ่นวายจนปลีกตัวไปไหนไม่ได้เลย กลับเป็นกู้โหรวจาง เติ้งวานวาน ตวนมู่ซินเหมี่ยวสามคนที่เป็นแขก จึงเพียงแต่นั่งหาความสำราญเป็นพอแล้ว เรียกได้ว่าสุขสบายผ่อนคลายนัก
เมื่อผ่อนคลายเกินไปจึงอดจะดื่มมากไปไม่ได้ ทั้งสามคนล้วนไม่ระวังตัว จนเกิดเรื่องเอะอะเล็กๆ น้อยๆ ในงานเลี้ยง
กู้โหรวจางสนทนากับบรรดาคุณหนูตระกูลเสิ่นในวัยไล่เลี่ยกันอย่างออกรสออกชาติ แล้วออกไปตากลมหนาวและพายุหิมะนอกตัวอาคารเรียกคนไปเอากระบี่มาเล่มหนึ่ง ถอดเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกออก แล้วไปร่ายรำกระบี่ชุดหนึ่งใต้แสงโคมกลางหิมะอยู่ในลานเรือน จนได้รับเสียงโห่ร้องตอบรับอย่างมากมาย โดยปกติแล้วท่านผู้นี้เป็นคนที่ทำให้เว่ยฉางอิ๋งเดือดร้อนใจมากที่สุด แต่ครานี้กลับเป็นคนที่ไม่ก่อเรื่องมากที่สุด กลับยิ่งทำให้งานเลี้ยงครึกครื้นขึ้นมาหลายส่วน
ส่วนทางฟากของเติ้งวานวานกลับออกจะเกินเลยไปสักหน่อย ในยามปกติแล้วท่านผู้นี้ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็เป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ที่สงบเสงี่ยมเรียบร้อย แต่เมื่อดื่มไปสามจอกก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคนในทันใด! นางไม่โวยวายไม่อาละวาดและไม่เมาจนหลับ หากแต่วิ่งไปสอบถามบรรดาคุณหนูว่าอายุเท่าใด มีสัญญาแต่งงานแล้วหรือไม่และคิดว่าเติ้งจงฉีพี่ชายของนางเป็นอย่างไร ทำเอาเหล่าคุณหนูตระกูลเสิ่นพากันหน้าแดงหูแดงไปหมด และต่างลุกออกจากที่นั่งไปหาญาติผู้ใหญ่บ้านตนเพื่อหลบนาง …ทว่าก็มีผู้คนที่สนใจเก็บเรื่องนี้ไว้พิจารณาและโน้มหัวกระซิบสอบถามถึงสถานะและตัวตนของเติ้งจงฉีว่าเหมาะจะแต่งงานด้วยหรือไม่…
ทว่าคนที่เกินเลยที่สุดกลับมิใช่เติ้งวานวาน แต่กลับเป็นตวนมู่ซินเหมี่ยว …ซึ่งหากว่ากันตามจริงแล้งก็เป็นตวนมู่ซินเหมี่ยวเองที่จงใจก่อเรื่อง เป็นเพราะชื่อเสียงของ จี้ชวี่ปิ้งโด่งดังเกินไปจริงๆ แม้แต่ทุกคนในตระกูลเสิ่นที่อยู่ห่างไกลถึงซีเหลียงก็ยังตื่นเต้นกับชื่อเสียงของผู้สืบทอดเพียงคนเดียวของหมอเทวดากันนักหนา
ซีเหลียงทางนี้เหน็บหนาว แม้โดยมากแล้วเหล่าฮูหยินผู้เฒ่าก็จะบำรุงร่างกายอย่างดี ทว่าเมื่ออายุมาขึ้นก็ยากจะไม่เจ็บออดๆ แอดๆ ต่างนานา ที่มีอาการหนักสักหน่อยเมื่อสะสมมานานปีก็กลายเป็นโรคเรื้อรังที่รักษาไม่หาย …แม้ในซีเหลียงไม่ใช่ว่าไม่มีหมอ ทว่าแพทย์ทั่วหล้าจะมีผู้ใดกล้าอวดอ้างว่าตนมีฝีมือทัดเทียมจี้ชวี่ปิ้ง?
เห็นหรือไม่เล่า เมื่อตวนมู่ซินเหมี่ยวมาถึงซีเหลียง เพราะก่อนหน้านี้นางต้องรักษาอาการบาดเจ็บของเสิ่นจั้งเฟิง พอเว่ยฉางอิ๋งมาถึงก็จัดการช่วงชิงอำนาจอย่างอึกทึกครึกโครม ทุกคนจึงไม่กล้าและไม่สะดวกเข้ามาขอรับการรักษา ในงานเลี้ยงครานี้จึงมีเหล่าลูกหลานที่กตัญญูจึงเข้าไปสนทนาผูกมิตรเพื่อลองสอบถามเรื่องขอรับการรักษา
ไม่นึกว่าตวนมู่ซินเหมี่ยวกลับตอบรับอย่างง่ายดายแล้วไปตรวจดูสีหน้า ฟังเสียหายใจ สอบถามอาการและจับชีพจรที่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าผู้หนึ่งในทันใด หลังจากฝังเข็มไปสองสามเล่ม ยาที่ให้และเอาไว้ในอ้อมแขนของลูกหลานของฮูหยินผู้เฒ่าผู้นั้นยังไม่ทันอุ่นเลย ฮูหยินผู้เฒ่าก็กุมมือนาอย่างตื่นเต้นยินดีและเอ่ยชมว่าสมกับเป็นผู้สืบทอดของแพทย์อันดับหนึ่งในเขตทะเลจริงๆ เพียงไม่กี่เข็มก็ทำให้นางรู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่เช่นนั้น!
ด้วยเหตุที่โรคเรื้อรังของฮูหยินผู้เฒ่าผู้นี้สะสมมานานปี ให้หมอในซีเหลียงตรวจรักษามาหลายคนก็ไม่หาย หลังจากที่มีอายุมากขึ้น เหล่าลูกหลานจึงเชิญท่านหมอจากแดนไกลมารักษานาง กระทั่งมีปีหนึ่งยังเชิญแพทย์หลวงท่านหนึ่งมาด้วย แต่ก็ล้วนจนปัญญา และลูกหลานของนางก็กตัญญูนัก ครานี้นางจึงเป็นคนแรกที่เขาไปสนทนาและขอร้องตวนมู่ซินเหมี่ยว
คนทั้งตระกูลเสิ่นล้วนเคยได้ยินเรื่องอาการป่วยของฮูหยินผู้เฒ่าผู้นี้ ซึ่งนับว่านางเป็นคนที่เจ็บป่วยหนักที่สุดในบรรดาคนที่เชิญมาร่วมงานในครานี้แล้ว เมื่อมีนางเป็นตัวอย่าง ฮูหยินผู้เฒ่าหลายคนก็พอจะมีชั้นเชิงสักหน่อย ยังคงรักษาหน้าตาและเพียงส่งสายตาให้แก่คนข้างกาย ทั้งลูกหลานและบ่าวคนสนิทจึงพากันรุมล้อมเข้าไป
ฮูหยินผู้เฒ่าสองสามท่านที่ค่อนข้างสนิทสนมกับเว่ยฉางอิ๋งและนางฮั่วกำลังสนทนากัน จู่ๆ ก็พบว่าคนในโถงยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ พลันรู้สึกสงสัย พอมองไปรอบทิศจึงพบว่าหาใช่คนยิ่งน้อยลง แต่ทุกคนล้วนไปรุมล้อมที่ตวนมู่ซินเหมี่ยวทางนั้น ในงานเลี้ยงวันสิ้นปี เหล่าแขกเหรื่อกลับต่อแถวกันยาวเหยียดอยู่ในโถงงานเพื่อให้ตวนมู่ซินเหมี่ยวตรวจรักษา …กระทั่งมีผู้ที่กตัญญูมากสักหน่อยส่งคนไปบอกกล่าวกับท่านปู่ บิดา และพี่ชายที่อยู่ในโถงทางด้านหน้าด้วย
…ครั้นแล้ว งานเลี้ยงวันสิ้นปีแท้ๆ กลับกลายเป็นงานโกลาหลที่แขกทุกคนละทิ้งไม่สนใจอาหารรสเลิศที่จัดวางอยู่เต็มโถง กระทั่งเจ้าภาพอย่างเว่ยฉางอิ๋งก็ยังถูกทิ้งให้โดดเดี่ยวอยู่ข้างๆ หากแต่ห่วงจะแย่งเข้าไปรุมล้อมตวนมู่ซินเหมี่ยวให้ได้ก่อน เพื่อบอกกล่าวอาการไม่สบายของญาติผู้ใหญ่หรือไม่ก็ของตนเอง และสอบถามว่ามีหนทางรักษาหรือไม่
เว่ยฉางอิ๋งถอนหายใจยาวๆ อยู่ในใจหนแล้วหนเล่า และส่งพวกนางหวงเข้าไปโอ้โลมปฏิโลมจึงสามารถบอกกล่าวให้ทุกคนกลับไปนั่งที่ได้ …แม้คนเหล่านี้จะกลับไปนั่งที่เพราะเห็นแก่หน้าเจ้าภาพ ทว่าแต่ละคนก็จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนั่งไม่ติดเก้าอี้ ประหนึ่งอดจะวิ่งเข้าไปรุมล้อมอีกครั้งไม่ไหวเช่นนั้น …เว่ยฉางอิ๋งจึงลุกขึ้นยืนและขอขมาทุกคน และประกาศกับทุกคนว่า “หากรู้แต่แรกว่าผู้ใหญ่ทุกท่านและทุกๆ ท่านมีอาการเจ็บป่วยและต้องการมาให้น้องซินเหมี่ยวตรวจรักษา ตนก็ควรจะบอกกล่าวกับ น้องซินเหมี่ยวก่อนหน้านี้ เพื่อมิให้ทุกคนมาเบียดเสียดกันเช่นในวันนี้ นี่ล้วนเป็นเพราะข้ายังเด็กไตร่ตรองไม่รอบคอบ ทุกท่านโปรดอย่างได้ถือสาข้าเลย” เมื่อทุกคนได้ฟังคำพูดตามมารยาทไปดังนี้จึงพอจะสงบลงบ้าง ดีชั่วอย่างไรก็มิใช่ว่าพอตวนมู่ซินเหมี่ยวทานอาหารในงานเลี้ยงวันสิ้นปีแล้วก็จะกลับไปเมืองหลวงในทันใด แล้วไยต้องเร่งร้อนในยามนี้เล่า?
แล้วนึกขึ้นมาได้ว่าหลายวันมานี้ เว่ยฉางอิ๋งมีท่าทีแข็งกร้าว ในงานเลี้ยงวันสิ้นปีนี้เป็นครั้งแรกที่ฮูหยินน้อยสามผู้นี้เชิญผู้คนมาเป็นแขกนับจากที่นางมาถึงซีเหลียง และครานี้สามีของนางก็มิใช่เพราะ ‘บาดเจ็บลุกนั่งไม่สะดวก และยังคงนอนซมอยู่บนตั่ง’ จึงทำให้ทางด้านหน้าในวันนี้มีเพียงเสิ่นจั้งฮุยน้องสามีของนางออกมาต้อนรับหรอกหรือ
อย่าทำให้ฮูหยินน้อยสามผู้นี้คิดว่าทุกคนจงใจไม่ให้เกียรตินางเพราะสาเหตุข้างต้น จึงได้เอาแต่ไปยกยอปอปั้นตวนมู่ซินเหมี่ยว …จนเจ้าภาพไร้คนสนใจต้องเคอะเขินวางตัวไม่ถูก
เว่ยฉางอิ๋งกลับไม่ได้คิดจะทำให้พวกนางลำบากและล่วงเกินพวกนางด้วยเรื่องนี้ ดีชั่วนางก็ตัดสินใจจะรั้งตัวตวนมู่ซินเหมี่ยว เอาไว้จนหลังเทศกาลหยวนเซียนจึงค่อยให้นางไปอยู่แล้ว เสิ่นจั้งเฟิงก็แอบเดินทางไปกำกับดูแลที่ตำบลตงเหออย่างลับๆ เมื่อสองสามวันก่อน …เวลานี้เกรงว่าทหารเว่ยกำลังเร่งเดินทางไปยังเขตแดนของพวกตี๋แล้ว
สรุปก็คือตอนนี้เสิ่นจั้งเฟิงไม่ได้ใช้สอยตวนมู่ซินเหมี่ยวอีกแล้ว ในเมื่อตวนมู่ซินเหมี่ยวก็ยินยอมตรวจรักษาให้ทุกคน เว่ยฉางอิ๋งก็ทำตัวเป็นคนร้ายไม่ไหว เมื่อนางเอ่ยคำตามมารยาทไปแล้ว จึงหันหน้ามาเห็นว่าเวลานี้ ตวนมู่ซินเหมี่ยวก็ดื่มไปอีกหลายจอกและเมาหลับฟุบอยู่บนโต๊ะไปแล้ว จึงหารือกับทุกคนว่ารอให้ตวนมู่ซินเหมี่ยวตื่นขึ้นมาแล้ว แต่ละบ้านค่อยนัดเวลากับนางเพื่อทยอยกันเข้ามาตรวจรักษา เพื่อมิให้เบียดเสียดยัดเยียดกันเหมือนในวันนี้ ซึ่งกลับกันยิ่งทำให้เสียเวลากว่าเดิม… ประเด็นหลักก็คือ เวลานี้ยังอยู่ในงานเลี้ยงวันสิ้นปีเสียด้วย ปีหนึ่งจะมีสักครั้งหนึ่ง ให้ทุกคนกินดื่มกันให้สำราญจะดีกว่า
รอจนภายในงานกลับมาครึกครื้นอีกครั้ง เว่ยฉางอิ๋งจึงแอบโล่งใจ ดื่มน้ำกุหลาบไปสองจอก กำลังจะหันไปหัวร่อต่อกระซิกกับพวกของนางฮั่วต่อ หางตากลับเหลือบไปเห็นว่านางเฮ่อซึ่งอยู่ที่มุมประตูกำลังส่งสายตาให้ตนเอง
นางรีบอ้างว่าจะไปเปลี่ยนเสื้อ แล้วขอขมาพวกของนางฮั่ว พลางไหว้วานให้นางฮั่วคอยดูแลงานแทนนางสักหน่อย…แล้วปลีกตัวออกประตูไป เมื่อไปถึงบนระเบียงทางเดิน นางเฮ่อดึงตัวนางออกจากระเบียงทางเดินเพื่อหลบสายตาของบรรดาบ่าวที่มาคอยดูแลรับใช้ แล้วกดเสียงลงต่ำรายงานว่า “คุณชายสี่ดูแลไม่ใคร่ไหวแล้วเจ้าค่ะ”
“เป็นเรื่องใด?” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถามพลางขมวดคิ้ว
นางไม่รู้ว่าเสิ่นจั้งฮุยถูกท่านอาหกในยุยง และเคยมาต่อว่าว่าตนทำไม่ถูกต่อหน้าเสิ่นจั้งเฟิง จึงมิได้รู้สึกไม่ดีต่อน้องชายสามีซึ่งปกติมิได้คบค้าสมาคมกันเท่าใดผู้นี้ เพียงแต่เรื่องของเผยเหม่ยเหนียงเมื่อคราก่อน เว่ยฉางอิ๋งจึงรู้สึกมาตลอดว่าวิธีการจัดการเรื่องต่างๆ น้องสามีผู้นี้ช่างอ่อนปวกเปียกเหมือนเด็กไร้เดียงสา …ฮูหยินซูเลี้ยงดูเขามาจนโตประหนึ่งบุตรชายแท้ๆ รักใคร่เขาอย่างจริงใจ แต่เป็นเพราะไม่ใช่แม่แท้ๆ ของเขา หากแต่เป็นเพียงท่านป้าใหญ่จึงไม่ได้เข้มงวดกับเขาเท่ากับพี่น้องของเสิ่นจั้งเฟิง คนที่เปลี่ยนไปตามดินฟ้าอากาศเช่นนี้ แม้ภรรยาจะไม่ดีงาม แต่เสิ่นจั้งฮุยยังไม่มาปลอบโยนเอาใจท่านป้าใหญ่ผู้นี้ให้ดีๆ! แต่กลับล่วงเกินท่านป้าใหญ่ไม่เบาเลย! เห็นได้ว่าคนผู้นี้โง่นัก เอ่อ หากว่าอยู่ตรงหน้าเสิ่นจั้งฮุย เว่ยฉางอิ๋งก็ยอมจะเปลี่ยนคำว่า ‘โง่’ เป็น ‘ซื่อ’ แทน
แต่ไม่ว่าจะบอกว่าเขาโง่หรือซื่อ ไม่ว่าจะเปลี่ยนการใช้คำอย่างไร แต่เล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิงของเขาก็ยังใช้การไม่ได้อยู่ดี
วันนี้มีเว่ยฉางอิ๋งคอยดูแลต้อนรับบรรดาท่านป้าท่านย่าอยู่ทางด้านหลัง ส่วนเจ้าภาพทางด้านหน้าก็มีคือเสิ่นจั้งฮุยผู้นี้ เมื่อต้องมาคอยรับมือกับพวกท่านปู่ ท่านอา ท่านลุงที่ส่วนมากแล้วหลักแหลมกว่าท่านย่ามากนัก เว่ยฉางอิ๋งจึงรู้สึกไม่วางใจเสิ่นจั้งฮุยเลยจริงๆ ฉะนั้นก่อนเริ่มงานจึงหาโอกาสกำชับนางเฮ่อเป็นพิเศษว่าให้ส่งคนไปคอยดูแลข้างหน้าด้วย หากเสิ่นจั้งฮุยรับมือไม่ไหว ก็ให้มารายงานในทันใด ตนจะได้ช่วยหาทางกู้สถานการณ์ให้เสิ่นจั้งฮุย
ไม่คิดว่าคาดไว้ไม่ผิดจริงๆ
_________________