ภาคที่สาม มิต้อง ตีกรับ ร่ำสุรา จากจอกทอง ตอนที่ 20 น้องสามีพี่สะใภ้

ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3

นางเฮ่อขยับเข้าไปก้าวหนึ่ง เอ่ยเสียงต่ำไปว่า “เมื่อครู่นี้มีคนจากทางเรือนหลังส่งคนไปบอกแขกที่เรือนหน้าว่าคุณหนูตวนมู่แปดยอมตรวจรักษาให้แก่ทุกคน จึงเชิญบิดาและพี่ชายเตรียมตัวไว้สักหน่อย ดูซิว่าอีกประเดี๋ยวจะได้มีโอกาสได้ตรวจรักษาจากฝีมือวิเศษของคุณหนูตวนมู่แปดได้หรือไม่เจ้าค่ะ? ทางนั้นล้วนชมกันว่าบรรดาสตรีชั้นสูงหลายท่านช่างกตัญญูเอาใจใส่นัก ปรากฏว่าบรรดาผู้อาวุโสจึงโยงหัวข้อนี้มาที่ตัวคุณชายสี่ บอกว่าคุณชายสี่มาซีเหลียงก็ไม่ได้พาฮูหยินน้อยสี่มาด้วย ข้างกายคงเงียบเหงาไม่น้อย พูดไปพูดมาก็มอบสาวใช้หน้าตางดงามสองสามคนมาไว้ปรนนิบัติคุณชายสี่เจ้าค่ะ”

สำหรับคนที่เป็นภรรยาเอก เว่ยฉางอิ๋งชิงชังคนชนิดนี้เป็นที่สุด …คนเขาอยู่กันดีๆ สองคนสามีภรรยา ตัวเสิ่นจั้งฮุยเองก็ยังไม่ได้บอกว่าต้องการคน แล้วพวกแก่ๆ เช่นพวกเจ้ามาเดือดร้อนใจอันใด?!

ได้ยินคำนี้สีหน้าของเว่ยฉางอิ๋งพลันหนักอึ้งลงทันใด กล่าวว่า “เป็นผู้ใดบ้างที่เสนอความคิดเช่นนี้? แล้วผู้ที่คิดจะมอบคนให้น้องชายสี่เป็นผู้ใดบ้าง? ตัวน้องชายสี่เองคิดเห็นอย่างไร? เป็นเขาไม่อยากได้แต่กลับต้านทานไม่ไหว หรือว่าเขาเองก็อยากได้แต่กลับไม่อยากจะรับปากไปทั้งเช่นนี้จึงได้ทานไม่ไหว?”

เมื่อถามคำถามเป็นชุดออกมาก นางเฮ่อก็รู้แล้วว่านางไม่พอใจ จึงถอนใจแล้วว่า “คุณชายสี่กลับไม่ใคร่ต้องการนักเจ้าค่ะ” เสียงที่ไม่ดังอยู่แล้วก็ยิ่งเบาลงไปอีก “เดิมทีคุณชายสี่และฮูหยินน้อยสี่ก็รักใคร่กันนัก ครั้งพวกเราจะออกเดินทางมาซีเหลียงฮูหยินน้อยสี่ก็ยังตั้งครรภ์ด้วย เมื่อนับๆ ดูวันเวลา พอพ้นปีใหม่ไปก็จะคลอดแล้วนะเจ้าคะ! อีกประการคนที่ฮูหยินน้อยสี่ส่งมาดูแลใกล้ชิดคุณชายสี่ก็คอยเอ่ยถึงฮูหยินน้อยสี่อยู่เสมอๆ …เมื่อครู่นี้คนที่มาบอกความกับข้าน้อยก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย บอกหนแล้วหนเล่าว่าคุณชายสี่ไม่ต้องการคน แต่จนใจเหลือที่ผู้อาวุโสสองสามท่านนั้นยืนกรานนักหนา แล้วคนในงานก็พากันกระเซ้าว่าคุณชายสี่กลัวฮูหยินน้อยสี่ ทำเสียจน คุณชายสี่หาทางไปไม่ได้เลยเจ้าค่ะ!”

 เสิ่นจั้งฮุยก็ยังไม่อยากได้คน พวกแก่ๆ ไม่รู้ความพวกนี้กลับยังคิดยัดเยียดให้!

เว่ยฉางอิ๋งยิ้มหยัน กล่าวว่า “อยากให้น้องสะใภ้สี่มาอยู่ที่นี่ตอนนี้จริงๆ ให้เจ้าพวกแก่นี่ได้เห็นความร้ายกาจของนางเสียบ้าง!” ตอนเผยเหม่ยเหนียงเพิ่งแต่งเข้าบ้านมาก็เคยทำให้ฮูหยินซูโกรธจนล้มหมอนนอนเสื่อมาแล้ว หากนางอยู่ที่นี่จริงๆ แล้วมารู้ว่ามีคนต้องการยัดคนให้แก่สามีนาง ไม่แน่ว่าอาจใช้ชื่อเสียงของบุตรสาวบ้านใหญ่แห่งตระกูลใหญ่แล้วบุกตรงเข้าไปถามพวกแก่สองสามคนนั่นว่าถือดีอันใดมาเติมคนในหลังเรือนให้นางโดยไม่มาถามความเห็นของภรรยาเอกเช่นนางก่อน?!

นางเฮ่อเองก็รำคาญคนเหล่านี้ …แม้จะบอกว่าคราวนี้ไม่ได้เป็นการเพิ่มคนให้ เสิ่นจั้งเฟิง ทว่าเผยเหม่ยเหนียงไม่อยู่และตัวเสิ่นจั้งฮุยเองก็ดูเป็นคนหูเบา ไม่แน่ว่าเมื่อถูกพวกสาวใช้หน้าตางามพวกนั้นมาให้ท่าไปให้ท่ามา ใจเขาก็จะเอียงไปทางนั้นแล้ว …แล้วเวลานี้เสิ่นจั้งเฟิงก็ไม่อยู่เสียด้วย! เว่ยฉางอิ๋งไม่มีสามีออกหน้าหนุนหลังตน ทั้งอายุยังน้อย และมิได้พบปะเจอะเจอกับน้องชายสามีบ่อยครั้งนัก หากถูกคนพวกนี้หาว่าพี่สะใภ้ยื้อแย่งอำนาจกับน้องชายสามีขึ้นมาก็จะยิ่งลำบาก!

ครานี้จึงเสนอความคิดไปว่า “เพราะคุณชายสี่ไม่อยากรับปากจึงอ้างว่ารู้สึกมึนเมานักขอตัวไปพักที่ห้องทางด้านข้างก่อนชั่วคราวเจ้าค่ะ หรือจะให้ข้าน้อยส่งคนไปบอกกับคุณชายสี่ว่าให้ไปบอกว่าตนเองดูแลไม่ไหว ต้องกลับพักที่เรือนก่อน และให้เหล่าผู้อาวุโสเชิญตามสบายเจ้าคะ?”

“ไปบอกดังนี้ก่อน” เว่ยฉางอิ๋งกำชับไปอย่างเย็นเฉียบ “ยังมีอีก สั่งให้คนจดชื่อพวกคนที่เสนอจะมอบคนให้น้องชายสี่เอาไว้ให้ข้าทั้งหมด!” พอเพิ่มคนให้เสิ่นจั้งเฟิงไม่ได้ก็หันมายัดคนให้เสิ่นจั้งฮุยแทน…ไอ้เจ้าพวกแก่นี่ ก่อนนี้ข้าจัดการเสิ่นฉู่สามีภรรยาให้เห็นยังไม่พอรึ?!

หลังจากให้นางเฮ่อไปจัดการธุระและกลับมานั่งที่แล้ว เว่ยฉางอิ๋งก็มีสีหน้าเป็นปกติ นางหันไปยิ้มกับพวกของนางฮั่วเพื่อขอขมาและขอบคุณ แล้วเอ่ยถึงเรื่องทั่วๆ ไปประหนึ่งไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น…รอจนตกดึกงานเลี้ยงเลิกแล้ว แขกนอกตระกูลจึงพากันกลับไปบ้านของตนเพื่ออยู่โต้รุ่งข้ามปี เหล่าบุรุษตระกูลเสิ่น กลับมารวมกันที่ศาลบรรพชนเพื่อเตรียมกราบไหว้ในวันแรกของปีใหม่

บรรดาสตรีก็มีเรื่องต้องทำมากมาย …จนวันที่สองของเดือนหนึ่ง ตามประเพณีแล้วจะเป็นวันที่บุตรสาวที่แต่งงานไปแล้วจะกลับไปบ้านแม่ เว่ยฉางอิ๋งจึงได้มีว่างลง กำลังเรียกให้สาวใช้มาช่วยทุบขา หลับตาใคร่ครวญดูว่าการกราบไหว้ปีใหม่ในวันที่สามเดือนหนึ่งตนเองควรจะไปบ้านใดก่อน ข้างนอกก็มารายงานว่าเสิ่นจั้งฮุยมาขอพบ

เว่ยฉางอิ๋งพลันนึกเรื่องในงานเลี้ยงสิ้นปีขึ้นมาได้ เมื่อพาบ่าวทุกคนมาจนเต็มโถงหลักแล้ว น้องสามีและพี่สะใภ้จึงได้พบกัน หลังจากเอ่ยคำสิริมงคลและคำทักทายในวันไหว้ปีใหม่แล้ว ปรากฏว่าเสิ่นจั้งฮุยยิ้มเจื่อนขอร้องว่า “พวกท่านปู่สองสามท่านมอบสาวงามให้ข้า เพียงแต่ข้าไม่ได้สนใจเรื่องนี้ จึงหวังให้พี่สะใภ้สามช่วยข้ารับพวกนางเอาไว้สักหน่อยเถิดขอรับ?”

“พี่สะใภ้ได้ยินเรื่องในงานเลี้ยงวันสิ้นปีแล้ว ในเมื่อน้องชายสี่ไม่ต้องการ ไยไม่เอ่ยไปตามตรงเล่า?” เว่ยฉางอิ๋งเห็นว่าเขามีสีหน้าจนปัญญานัก ในใจพลันกลัดกลุ้มเหลือทน สำหรับสตรีแล้วนอกเสียจากกับสามี ต่อให้ชายแปลกหน้าที่ไม่มีความเกี่ยวพันใดกับตน จะอย่างไรก็หวังว่าเขาจะรักเดียวใจเดียว เผยเหม่ยเหนียงอยู่ไกลถึงเมืองหลวง เสิ่นจั้งฮุยสามารถปฏิเสธหญิงงามที่ใส่พานมาให้ถึงประตูบ้าน เว่ยฉางอิ๋งย่อมชื่นชอบการกระทำเช่นนี้ของเขา แต่เมื่อเห็นว่า สิ่นจั้งฮุยปวดหัวหนักหนาด้วยเรื่องนี้ คล้ายว่าได้พบเจอกับปัญญายิ่งใหญ่เช่นนั้น เว่ยฉางอิ๋งจึงรู้สึกว่าน้องชายสามีผู้นี้ก็เป็นคนอ่อนแอเกินไปสักหน่อย

นี่หากเป็นเสิ่นจั้งเฟิงสามีของตน เกรงว่าผู้อาวุโสเหล่านั้นต้องไม่กล้าเอ่ยปากเสนอให้แน่! อะฮึม แน่นอนว่า …สมมติว่าเสิ่นจั้งเฟิงออกไปดูแลงานเลี้ยงวันสิ้นปีในคืนนั้นด้วยตนเอง สาเหตุที่พวกผู้อาวุโสไม่กล้าก็คงจะเป็นเพราะตัวนางนั่นเอง…

ทว่าต่อให้ตนเองไม่ได้ลงมือเด็ดขาดกับเสิ่นฉู่สามีภรรยา ลำพังแค่ความแข็งแกร่งเด็ดเดี่ยวของเสิ่นจั้งเฟิง หากเขาเอ่ยเพียงคำว่าไม่คิดเพิ่มคนในหลังเรือนตน แล้วผู้ใดจะกล้าพูดอีก? ยิ่งไม่ต้องเอ่ยเรื่องที่จะมาเยาะเขาต่อหน้าว่าเขากลัวคนที่บ้านเลย

เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยในใจว่าหากเป็นเว่ยฉางเฟิงน้องชายร่วมท้องที่มีชื่อเสียงทั่วไปว่า ‘สง่างามสุภาพ นิสัยนอบน้อมดีงาม’ ก็ต้องทำให้เหล่าผู้อาวุโสอดจะบีบคั้นเขาต่อหน้าเช่นนี้ไม่ได้เช่นกัน

ทว่าเมื่อไม่อาจบอกปัดในงานเลี้ยงได้ และยังบอกได้ว่าเสิ่นจั้งฮุยดูแลงานเลี้ยงเช่นนี้เป็นคราแรก จะไม่ให้มีข้อผิดพลาดจึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยาก ยิ่งไปกว่านั้นหากแข็งขืนไปก็จะทำให้งานเลี้ยงหมดสนุกด้วย  …แต่ยามนี้คนก็ส่งมาแล้ว ก็เพียงสาวงามกลุ่มหนึ่งเท่านั้น เจ้าเป็นบุตรชายบ้านใหญ่ของตระกูลสูงศักดิ์แท้ๆ แล้วจำเป็นต้องมาเดือดร้อนรำคาญใจถึงเพียงนี้เชียวหรือ?

เสิ่นจั้งฮุยกลับฟังความหมายที่แท้จริงในคำพูดของเว่ยฉางอิ๋งไม่ออก และเอ่ยไปอย่างเดือดร้อนใจว่า “ไม่ปิดบังพี่สะใภ้สาม ครั้งอยู่ในงานเลี้ยงข้าก็ปฏิเสธไปหลายคราแล้ว จนใจเหลือที่พวกท่านปู่พากันยืนกรานดังนั้น และข้าก็กลัวว่าจะทำให้ทุกคนหมดสนุก ภายหลังมีบ่าวมาเตือนบอกว่าให้อ้างว่าเมาและให้ออกจากงานเลี้ยงไปก่อน เดิมทีนึกว่าเรื่องก็คงจะผ่านไปดังนี้แล้ว แต่กลับไม่คิดว่า…ยามพวกเขากลับไป กลับยังทิ้งคนเอาไว้!”

เว่ยฉางอิ๋งมองดูน้องชายสามีที่ไม่รู้ว่าควรจะบอกว่าเขาซื่อหรือว่า…. เอ่อ เห็นแก่สามี ก็บอกว่าเขาซื่อก็แล้วกัน …หากจะว่ากันจริงๆ อย่างไรก็เป็นน้องสามีกับพี่สะใภ้ น้องสามีโง่ทึ่มเกินไป คนเป็นพี่สะใภ้ก็จะเสียหน้าไปด้วยมิใช่หรือ? นางนิ่งเงียบไปสักพักแล้วกล่าวว่า “เช่นนั้น ที่น้องชายสี่มาหา พี่สะใภ้ในยามนี้ ก็เพียงเพราะอยากให้พี่สะใภ้จัดหางานให้คนเหล่านี้?”

“เป็นดังนั้นขอรับ” เสิ่นจั้งฮุยลูบจมูกอย่างไม่เป็นธรรมชาติ กล่าวว่า “ที่เรือนข้าไม่มีการงานให้คนมากมายเพียงนี้ทำขอรับ อีกประการ…คนที่ดูแลรับใช้ข้าที่นั่นก็มีเพียงพอแล้วขอรับ”

เว่ยฉางอิ๋งหรี่ตาลงแล้วจ้องเขาอย่างสงสัย กล่าวว่า “คนที่พวกท่านปู่มอบให้ พี่สะใภ้ล้วนยังไม่เคยพบมาก่อน น้องชายสี่เจ้าไปดูมาแล้วหรือไม่?”

“คืนวานนี้ยุ่งวุ่นวายนัก เช้าวันนี้จึงเพิ่งได้พบคราหนึ่งขอรับ” เสิ่นจั้งฮุยลังเลสักพัก ที่สุดก็เอ่ยออกมาคำหนึ่งว่า “ในจำนวนนั้นมีคนสองคนที่มีชีวิตน่าสงสารนัก ต้องขอให้พี่สะใภ้ดูแลอย่างมีเมตตาสักหน่อยขอรับ”

 เว่ยฉางอิ๋งได้ยินคำก็หัวเราะขึ้นมา แล้วเอ่ยอย่างเป็นกันเองว่า “เป็นคนที่หน้าตางดงามที่สุดหรือน่าจับตาที่สุดกัน?”

“หา?” เสิ่นจั้งฮุยไม่คิดว่าจู่ๆ พี่สะใภ้จะถามเช่นนี้ จึงค่อนข้างงงงัน

ทันใดนั้นเองเว่ยฉางอิ๋งกลับหน้าบึ้งขึ้นมา กล่าวว่า “ตามหลักแล้ว พี่สะใภ้เช่นข้าก็เพิ่งแต่งเข้าบ้านมาไม่กี่ปี ท่านพ่อท่านแม่และท่านอา รวมทั้งถัดขึ้นไปก็ยังมีพี่ชายและพี่สะใภ้อยู่ ข้าจึงไม่ควรจะต่อว่าเจ้าอย่างใด! ทว่ายามนี้ท่านพ่อท่านแม่ท่านอาและพี่ชายพี่สะใภ้ทุกท่านล้วนไม่ได้อยู่ตรงนี้ ข้าจึงต้องสอนสั่งเจ้าหนักๆ สักสองสามคำ! หากเจ้ายอมฟังก็ฟัง! หาไม่ยอมรับฟังเช่นนั้นก็แล้วไป!”

เสิ่นจั้งฮุยรีบบอกว่า “พี่สะใภ้สามสอนสั่งข้าก็เป็นการสมควรแล้ว พี่สะใภ้สามโปรดพูดขอรับ!”

“ในงานเลี้ยงวันสิ้นปี ข้าได้ยินว่าท่านปู่สองสามท่านพากันบอกว่าเหตุที่เจ้าไม่กล้ารับหญิงงามก็ด้วยเกรงกลัวภรรยา เจ้าจึงไม่มีคำจะโต้ตอบเขาแล้ว ใช่หรือไม่?” เว่ยฉางอิ๋งโมโหสะสมมาหลายเรื่อง นี่หากว่าเป็นเว่ยฉางเฟิงน้องชายแท้ๆ ของตน นางก็คงจะคว้าของไล่ตีเว่ยฉางเฟิงไปจนห้องพังยับเยินไปหมดแล้ว!

ทว่าเสิ่นจั้งฮุยไม่เพียงเป็นน้องชายของสามี ยังเป็นลูกผู้น้องของเขาด้วย! แม้แต่แม่สามีก็ยังต้องระมัดระวังตัวกับเขา ครานี้เว่ยฉางอิ๋งจึงทำได้เพียงข่มความโกรธมาค่อยพูดค่อยจาทั้งกล่อมทั้งเตือนไปว่า “ข้าก็ไม่รู้ว่าการรับอนุนี้ต้องไปสอบถามน้องสะใภ้สี่ก่อนหรือไม่? นี่เป็นเรื่องที่ต้องจัดการตามจารีตธรรมเนียม พวกท่านปู่ร่วมมือกันบีบเจ้าคำสองคำ แต่เจ้ากลับรู้สึกขัดเขินจนทาทางไปไม่ได้ตามที่เขาพูด? เจ้าก็ไม่อาจขอคำชี้แนะจากพวกเขาซึ่งป็นญาติผู้ใหญ่ไปตามธรรมเนียมหรือ? อีกประการคนในสายหลักของพวกเราก็ไม่ใคร่มีคนมาอยู่ที่ซีเหลียง หรือว่าจารีตธรรมเนียมในตระกูลหย่อนยานถึงเพียงนี้ จนแม้แต่พวกญาติผู้ใหญ่ที่มีคุณธรรมสูงส่งก็ยังเลอะเลือนไปด้วยเสียแล้ว?!”

เสิ่นจั้งฮุยหน้าแดงขึ้นมา เอ่ยเสียงต่ำไปว่า “ข้าพูดไปดังนี้แล้ว แต่พวกท่านปู่บอกว่าเหม่ยเหนียงเป็นถึงบุตรสาวบ้านใหญ่จากตระกูลใหญ่ ทั้งยังเป็นคนที่ท่านป้าใหญ่ไปสรรหามาด้วยตนเอง จะต้องเป็นคนที่ดีงามมีคุณธรรมยิ่งนัก! หากมิใช่ว่าก่อนออกเดินทางมาซีเหลียงต้องเร่งร้อนออกเดินทาง ไม่แน่ว่าตัวเหม่ยเหนียงก็จะต้องตระเตรียมคนไว้ปรนนิบัติข้าแล้ว…. ขะ…ข้าจึงไม่เหมาะจะบอกว่าก่อนข้าจะมานั้นเหม่ยเหนียงกลับบอกข้าว่าอย่าได้หาคนเพิ่มนี่ที่ขอรับ!”

“…” พวกของนางหวงและนางเฮ่อพยายามขบริมฝีปากอย่างสุดชีวิต เพื่อไม่ให้ตนเองอดไม่ไหวจนต้องหัวเราะออกเสียงออกมา แล้วจะทำให้เสิ่นจั้งฮุยเสียหน้า …แม้แต่เว่ยฉางอิ๋งเองก็ยังเหม่อไปสักพัก และมีหลายครั้งที่ปั้นหน้าไม่ไหวแล้วจะหัวเราะออกมาก ครั้งเสิ่นจั้งฮุยช่วยภรรยาที่เพิ่งแต่งงานใหม่ซึ่งทำให้ท่านป้าใหญ่โมโหแทบเป็นแทบตายก่อนหน้านี้ เว่ยฉางอิ๋งยังนึกว่าน้องชายสามีผู้นี้หลงลืมบุญคุณที่ท่านป้าใหญ่เลี้ยงดูมาเสียอีก! เมื่อดูไปแล้วยามนี้ น้องชายสามีกลับ…เป็นคนที่ยังไม่โตและไม่รู้ความนี่นา!

แต่หากจะบอกว่าเขาไม่รู้ความ แต่เขากลับจดจำสิ่งที่เผยเหม่ยเหนียงกำชับมาได้อย่างแม่นมั่น

ด้วยเป็นภรรยาเอกเช่นกัน เว่ยฉางอิ๋งจึงอดจะใจอ่อนลงมาไม่ได้ เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนลงว่า “ในเมื่อเป็นดังนี้ แล้วไยเจ้าไม่อ้างว่าหลังจากวันสิ้นปีแล้วก็ต้องกราบไหว้บรรพบุรุษ? และบอกว่าใกล้ถึงเวลาที่ต้องกราบไหว้บรรพบุรุษแล้ว เจ้าจึงไม่อยากสนทนาถึงเรื่องเหล่านี้ด้วยกลัวว่าจะทำผิดต่อบรรพบุรุษ… หรือไม่ก็บอกว่าพวกผู้ใหญ่ส่งเจ้ามาถึงซีเหลียง นอกจากจะเพื่อมาส่งข้าซึ่งเป็นพี่สะใภ้ มาเยี่ยมพี่ชายสามของเจ้า ก็ยังเพื่อให้เจ้าได้มาฝึกปรือลงทำศึก เมื่อพวกตี๋ยังไม่สิ้นสลาย เจ้าก็ไม่มีแก่ใจจะรับอนุงามอันใด …เหตุผลทำนองนี้มิใช่ว่าหาได้ง่ายๆ หรอกหรือ?”

คำพูดนี้ทำเอาเสิ่นจั้งฮุยเข้าใจแจ่มแจ้ง พลางเอ่ยอย่างหน้าแดงด้วยความเคอะเขินว่า “ข้านี่กลับโง่เง่านัก หากมิได้พี่สะใภ้สามเอ่ยเตือน เหตุผลเหล่านี้ข้าล้วนนึกไม่ถึงมาก่อน ขะ…ข้าก็เพียงคิดว่าคำที่เหม่ยเหนียงกำชับข้าไว้ก่อนมาซีเหลียงนี้ไม่อาจพูดออกไปได้เท่านั้น!”

“…” เว่ยฉางอิ๋งกุมขมับอย่างไร้เรี่ยวแรง เนิ่นนานจากนั้นจึงบอกว่า “เอาเช่นนี้ ข้าจะสอนวิธีให้แก่เจ้า วันหน้าไม่ว่าจะมีผู้ใดมาพูดจาเช่นนี้กับเจ้าอีก เจ้าก็บอกไปว่าก่อนเจ้าจะมาท่านอากำชับเจ้าเอาไว้ว่าห้ามลุ่มหลงในอิสตรี ต้องคอยช่วยเหลือสนับสนุนพี่ชายสามของเจ้า หากคนเหล่านั้นโต้แย้งเจ้าว่ารับอนุสักคนสองคนไม่นับว่าลุ่มหลงอิสตรี เจ้าก็อย่าไปสนใจว่าพวกเขาจะเจ้าเล่ห์เช่นใด ให้บอกไปเพียงประโยคหนึ่งว่า อย่าให้พวกเขามาขวางทางที่เจ้าจะเชื่อฟังคำสั่งสอนของท่านอา! หากยังไม่ยอมฟัง ก็ให้เจ้าบันดาลโทสะ ต่อว่าพวกเขาว่าตนเองไม่ซื่อสัตย์ไม่กตัญญู แล้วยังกล้าลากเจ้าลงน้ำไปด้วยอีก! จากนั้นก็ให้มาบอกกับพี่สะใภ้  ข้าจะไปจัดการพวกไม่มีสองให้เจ้าเอง!”

เสิ่นจั้งฮุยเอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “แต่ท่านพ่อไม่เคยเอ่ยคำเช่นนี้ หากพวกเขารู้ขึ้นมา….”

“ข้าไม่เชื่อว่าก่อนเจ้าจะออกมา ท่านอาจะไม่ได้อบรมเจ้าเป็นการส่วนตัวสักหน!” เว่ยฉางอิ๋งขึ้นเสียงพลางตบโต๊ะไปหนหนึ่งอย่างอดรนทนไม่ไหว “ท่านอาสอนสั่งเจ้าเช่นใด ข้าว่าตัวเจ้าเองก็ยังไม่อาจจดจำได้ทุกคำพูดเลย …แล้วพวกเขาถือดีอันใดจะมาสอบถามได้ทั้งหมดเล่า?”

_____________________