ภาคที่สาม มิต้อง ตีกรับ ร่ำสุรา จากจอกทอง ตอนที่ 21-1 นางบำเรอในบ้าน

ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3

เมื่อให้เสิ่นจั้งฮุยออกไปแล้ว ทุกคนในห้องจึงหัวเราะเสียงดังออกมา ล้วนบอกว่า “เหตุใดคุณชายสี่จึงซื่อเช่นนี้? ก่อนหน้านี้กลับไม่เคยมองออกมาก่อน”

นางหวงอมยิ้ม กล่าวว่า “คงเพราะครั้งอยู่ในเมืองหลวงก่อนหน้านี้จะอย่างไรก็ยังอยู่กันคนละจวน ไม่ได้พบปะกันมากนัก จึงไม่รู้จักนิสัยที่แท้จริงของคุณชายสี่”

เว่ยฉางอิ๋งหัวเราะเพียงสักพักก็หัวเราะไม่ออกแล้ว กลับสูดหายใจลึกๆ หนหนึ่ง ไม่ว่าน้องสามีจะไร้เดียงสาเพียงใด ในฐานะพี่สะใภ้ ในเมื่อที่นี่ไม่มีญาติผู้ใหญ่ใกล้ชิดคอยดูแลอยู่ข้างๆ สิ่งที่เขาควรรับผิดชอบย่อมไม่อาจไม่ให้เขารับผิดชอบอยู่ดี จากนั้นจึงเอ่ยว่า “พาหญิงงามพวกนั้นเข้ามา ข้ากลับอยากดูสักหน่อยว่าพวกท่านปู่ที่เห็นอกเห็นใจหลานชายเหล่านี้เลือกหญิงงามเช่นใดมามอบให้เขา?!”

พักใหญ่หลังจากนั้น หญิงงามกลุ่มหนึ่งก็พูดพาตัวเข้ามา แล้วพากันคำนับและเอ่ยคำคารวะนางด้วยเสียงอ่อนหวาน

เว่ยฉางอิ๋งนั่งตัวตรงอยู่ในโถง กวาดตามองคราวหนึ่ง แม้จะบอกว่าซีเหลียงเหน็บหนาวนัก ความงดงามของทั้งผู้คนและสิ่งของต่างๆ ล้วนห่างไกลไม่อาจเทียบเท่าที่เมืองหลวง แต่คนที่เหล่าผู้อาวุโสมอบให้เสิ่นจั้งฮุยกลุ่มนี้ก็ยังตั้งใจคัดหามาอย่างดีจริงๆ คนที่หน้าตาแย่ที่สุดก็ยังเรียกได้ว่าหน้าตาหมดจดผิวพรรณขาวเนียน หากเลือกสักสองสามคนไปวางไว้ในบรรดาหญิงงามในเมืองหลวงก็ยังนับว่ามีรูปโฉมงดงามนัก

เมื่อมองดูคนสองสามคนที่โดดเด่นให้ละเอียดอีกครั้ง ดวงตาเย้ายวนเอวอรชรดังงูเลื้อย ไม่ต้องถามก็รู้ว่าจะต้องเป็นพวกที่ร้องเพลงเต้นระบำได้ เมื่อคิดถึงว่าก่อนหน้านี้ เสิ่นจั้งฮุยไม่ลืมจะย้ำกับตนว่าให้ ‘ดูแลอย่างเมตตา’ สักหน่อย เว่ยฉางอิ๋งหรี่ตาลงแล้วแอบสำนึกเสียใจว่าที่เมื่อครู่นี้ห่วงแต่จะอบรมน้องชายสามี กลับลืมไปว่าควรต้องเน้นเรื่องนี้กับเขาสักหน่อย …ดีที่เผยเหม่ยเหนียงลงมือไปก่อน กอปรกับเสิ่นจั้งฮุยเพิ่งจะมาถึงซีเหลียงได้ไม่นานจึงยังคงจดจำความรักความผูกพันของสามีภรรยาอยู่ และยังไม่ถูกพวกที่ไม่ห่วงว่าชีวิตจะลำบากไม่กี่คนนี้ทำให้ใจอ่อนจนถึงขั้นเก็บพวกนางไว้ข้างกาย

หาไม่แล้ว เผยเหม่ยเหนียงไม่อยู่ที่นี่ ถ้าเสิ่นจั้งฮุยคิดจะรับอนุไว้ปรนนิบัติสักคนสองคน เว่ยฉางอิ๋งซึ่งเป็นพี่สะใภ้ก็ไม่เหมาะจะไปเอ่ยสิ่งใดจริงๆ

เหล่าผู้อาวุโสคงเล็งเห็นถึงประเด็นนี้จึงพยายามคัดสรรหญิงงามที่มีพร้อมทั้งหน้าตาและความสามารถมามอบให้เสิ่นจั้งฮุยกระมัง? ซึ่งตอนที่เหล่าผู้อาวุโสเตรียมจะมอบหญิงงามให้เสิ่นจั้งฮุยนั้นคงยังไม่รู้เรื่องที่สามีนางแอบเดินทางไปตำบลตงเหอ

ทว่าเสิ่นจั้งเฟิงก็ไม่พอใจกับผลการศึกเมื่อคราก่อนที่เขาใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อมู่ซิวเอ่อร์ ฉะนั้นแม้กำลังพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บอยู่แต่กลับยังคงคิดหาวิธีเข้าทำศึกกับพวกตี๋ ซึ่งสำหรับพวกผู้อาวุโสแล้วเรื่องนี้กลับไม่ได้เป็นความลับอันใด …ในเมื่อต้องใช้กำลังทหาร เขาย่อมไม่อยู่ในตัวเมืองซีเหลียงต่อไป แต่เว่ยฉางอิ๋งเป็นเพียงสตรีผู้หนึ่งจึงไม่อาจติดตามเขาไปทำศึกด้วยได้ …แต่ถ้านางไม่คำนึงถึงสิ่งใดแล้วติดตามไปด้วยก็จะดีที่สุด

ไม่ต้องเอ่ยว่าหากเอาเรื่องนี้ไปฟ้องกับทางเมืองหลวง พอเว่ยฉางอิ๋งจากไป ก่อนอื่นใดรากฐานตื่นเขินที่นางสร้างเอาไว้ในตัวเมืองซีเหลียงก็จะต้องมลายหายไปในทันใด เหล่าผู้อาวุโสก็คงจะกลับเข้ามามีบทบาทในอำนาจการปกครองหมิงเพ่ยถังใหม่อีกครั้ง

ซึ่งแน่นอนว่าเหล่าผู้อาวุโสเองก็ไม่ได้โง่ ต่างรู้ว่าด้วยความสุขุมของเสิ่นจั้งเฟิงแล้วต่อให้ภรรยาเสนอความคิดว่าจะติดตามไปด้วยก็จะต้องถูกเขาโต้กลับแน่นอน แม้เว่ยฉางอิ๋งไม่ได้ไปด้วย แต่การที่เสิ่นจั้งเฟิงเดินทางจากไป ก็นับเป็นเรื่องกระทบกระเทือนใจอย่างหนึ่งสำหรับนาง

เมื่อไม่มีเสิ่นจั้งเฟิงคอยออกเสียงสนับสนุนให้ตลอดเวลา …แม้ว่าตั้งแต่ก่อน เว่ยฉางอิ๋งมาถึงซีเหลียงเขาก็นอนพักรักษาอาการบาดเจ็บอยู่บนตั่งแล้ว ทว่าหากเขายังอยู่ในตัวเมืองซีเหลียง อยู่ในหมิงเพ่ยถัง แล้วบางคราก็ยังถ่ายทอดคำพูดหรือแสดงท่าทีบางอย่างออกมาเหล่าผู้อาวุโสย่อมไม่กล้าทำการบุ่มบ่าม

นี่มิใช่เพราะเสิ่นจั้งเฟิงมีชั้นเชิงฝีมือเช่นใดเท่านั้น …ว่ากันตามจริงแล้วก็ยังเป็นเพราะฐานะของเขาด้วย เขาเป็นตัวเลือกประมุขคนต่อไปที่ทั้งเสิ่นเซวียนและเสิ่นโจ้วล้วนให้การยอมรับ ซึ่งฐานะนี้ก็มิได้เป็นความลับอันใดสำหรับภายในตระกูล แต่เรียกได้ว่าเป็นที่รู้กันโดยทั่วด้วยซ้ำ หาไม่แล้วมู่ซิวเอ่อร์ก็จะไม่เดินทางมาด้วยตนเองเพราะเขา จนกระทั่งตกหลุมพรางหรอก

แม้เสิ่นเซวียนพี่น้องจะอยู่ไกลถึงเมืองหลวง ทว่าจะไม่ทิ้งกลเม็ดใดเอาไว้ควบคุมถิ่นฐานเดิมของตระกูลได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้นตั้งแต่เสิ่นจั้งเฟิงยังไม่ทันเข้าพิธีสวมหมวก เสิ่นเซวียนพี่น้องเองก็ยังคงอยู่ในวัยฉกรรจ์แต่กลับแทบรอไม่ไหวที่จะแต่งตั้งผู้สืบทอดคนต่อไป ก็มิใช่เพราะต้องการเริ่มสนับสนุนทายาทในเร็ววันหรอกหรือ ถึงยามนั้นก็จะสามารถรับช่วงต่อหมิงเพ่ยถังได้อย่างทันท่วงทีประหนึ่งยามน้ำหลากเขื่อนก็สร้างเสร็จเอาไว้แล้ว

ตระกูลสายหลักในรุ่นนี้ พอคุณชายใหญ่เสิ่นจั้งลี่ คุณชายรองเสิ่นเหลี่ยนสือเพิ่งจะเกล้าผมก็ล้วนถูกส่งตัวมาที่ซีเหลียงเพื่อเข้าทำศึกเป็นการฝึกปรือตน แต่กลับคนที่เป็นความหวังอันยิ่งใหญ่เช่นเสิ่นจั้งเฟิงเสียอีก ที่หลังจากเข้าพิธีสวมหมวกและแต่งงานแล้วจึงได้มาที่ซีเหลียง …นี่หาใช่เป็นเพราะเสิ่นเซวียนพี่น้องรักและปกป้องเขาจนถึงขั้นต้องรั้งรออยู่และตัดใจให้เขามาทำศึกไม่ได้ หากแต่เป็นเพราะหวังว่าจะทำให้ก่อนหน้านั้นเสิ่นจั้งเฟิงแทบไม่มีชื่อเสียง แต่เมื่อเขาปรากฏตัวออกมาก็กลับทำให้ผู้คนตกตะลึงในทันใด

เพราะในปีที่ต้องเข้าพิธีเกล้าผมนับว่ายังอายุน้อยอยู่มาก ต่อให้ยามอยู่ต่อหน้าคนในรุ่นเดียวกันหรือคนในรุ่นบิดาแล้วเขาจะฉลาดโดดเด่นกว่าผู้ใด ทว่ายามอยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสในตระกูลก็ยังคงไม่ดีเพียงพอ เช่นนั้นก็รอจนถึงพิธีสวมหมวกและแต่งภรรยาไปเสียเลยเพื่อจะได้มีฝีมือและชั้นเชิงที่ล้ำลึกกว่าเดิมสักหน่อย …เสิ่นจั้งเฟิงเพิ่งจะมาที่ซีเหลียงเมื่อปีก่อน ก็มิใช่ว่าเป็นคนเสนอเองว่าจะเอาตัวเป็นเหยื่อล่อข่านมู่ซิวเอ่อร์ของพวกตี๋ให้ติดกับหรอกหรือ?

การทำศึกครานั้นแม้ที่สุดแล้วมู่ซิวเอ่อร์จะหนีกลับไปได้ ทว่าความกล้าหาญ เด็ดเดี่ยว มองการไกลและน้ำใจที่กว้างขวางของเสิ่นจั้งเฟิงล้วนเป็นที่นับหน้าถือตาอย่างยิ่งในซีเหลียง โดยเฉพาะเรื่องที่ภายหลังเขายับยั้งไม่ให้เสิ่นหยิวเจี่ยไล่ตามไปสังหารมู่ซิวเอ่อร์ที่เพิ่งจะกลับไปในเผ่า ซึ่งก็เป็นจริงว่าเมื่อเขากลับไปที่เผ่าแล้ว ด้วยความหวาดกลัวว่าชาวเว่ยจะมาโจมตีต่อในทันใด ทำให้ชาวตี๋ที่กำลังหวาดกลัวไม่กล้าสร้างความเดือดร้อนใจให้แก่เขาเพื่อมิให้มังกรขาดหัว และมู่ซิวเอ่อร์ที่ถูกชาวเว่ยตีพ่ายต้องตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก… ซึ่งเรื่องนี้เสิ่นจั้งเฟิงก็แสดงให้เห็นถึงการวางแผนที่แยบยลของเขา

คุณชายสามผู้นี้เพิ่งจะมาถึงซีเหลียงได้ปีกว่า ทว่ากลับสร้างสมบารมีขึ้นมาได้แล้ว เมื่อเทียบกับสามี เว่ยฉางอิ๋งที่เพิ่งมาถึงซีเหลียงได้สองเดือน ทั้งอายุก็ยังน้อย และยังไม่เคยแสดงฝีมือที่ถึงกับทำให้ทุกคนตกตะลึง บารมีของตนจึงยังไม่ทัดเทียมสามี

เพียงแต่เมื่อลองคำนวณดู ปีถัดไปเสิ่นจั้งเฟิงก็ควรจะออกจากตัวเมืองซีเหลียงแล้ว มิใช่ว่าเจ้าพวกตาแก่นี่จะเตรียมการเอาไว้โดยไม่ให้ซุ่มเสียงแล้วหรอกหรือ?

เว่ยฉางอิ๋งคิดถึงตรงนี้ แววตาก็เยือกเย็นลง พลันมองไปที่สาวงามที่มีรูปโฉมโดดเด่นที่สุดสองสามคนนั้นแล้วถามว่า “พวกเจ้าทำสิ่งใดเป็นบ้าง?”

…………………………..