สาวงามเหล่านี้ถูกส่งมาที่เรือนของเสิ่นจั้งฮุยก่อนหน้านี้ จึงเคยพบกับเสิ่นจั้งฮุยมาก่อน เคยได้ยินเขาบอกว่าจะขอให้พี่สะใภ้สามมาจัดหางานให้พวกนาง …และเคยได้ยินมาบ้างว่าพอเว่ยฉางอิ๋งมาถึงซีเหลียงก็จัดการให้สาวใช้หน้าตางดงามที่ปรนนิบัติใกล้ชิดสามีของนางผู้หนึ่งถูกตีตายทั้งเป็น เท่านั้นยังไม่คลายความเจ็บแค้น ยังบีบให้ท่านอาและท่านอาสะใภ้ที่จัดการสาวใช้รูปงามมาอยู่ข้างกายสามีตนต้องเดินทางไปตาย …นายผู้หญิงขี้อิจฉาเช่นนี้ บรรดาหญิงงามที่ถูกมองดูว่ามาเป็นของเล่นล้วนเคารพยำเกรงและหวาดกลัวเป็นที่สุด
ยามนี้ได้ยินนางเอ่ยปาก จึงกล่าวไปอย่างระมัดระวังยิ่งว่า “เรียนฮูหยินน้อยสามเจ้าค่ะ ข้าน้อยเคยเรียนฉินมาบ้างเจ้าค่ะ”
“ข้าน้อยเต้นระบำเป็นเจ้าค่ะ”
“ข้าน้อยเป่าขลุ่ยเป็นเจ้าค่ะ”
….ความสามารถที่พวกนางรายงานขึ้นมาล้วนไม่ได้ห่างไกลจากดนตรีและระบำ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เว่ยฉางอิ๋งคาดการณ์เอาไว้แล้ว จึงหันไปบอกกับนางหวงว่า “เช่นนี้ก็จัดการยากเสียแล้ว ก่อนนี้ข้าได้ยินว่าพวกเราที่นี่ขาดคน แต่นั่นล้วนเป็นคนที่ต้องออกแรงทำงานจริงๆ น้องชายสี่มอบคนกลุ่มนี้ให้ข้า ทุกคนล้วนบอกกันว่าดีดสีตีเป่าขับร้องได้ ทว่านี่กลับมิใช้งานที่ทำจริงจัง แล้วจะทำอย่างไรดี?”
เหล่าหญิงงามได้ยินคำนี้จึงมีสองคนที่รวบรวมความกล้าบอกว่า “ข้าน้อยยังรินน้ำชาได้เจ้าคะ”
เว่ยฉางอิ๋งมองทั้งสองคนคราวหนึ่ง พบว่าเป็นสองคนที่มีความงามอยู่ในระดับกลาง ซึ่งแน่นอนว่าก็ยังงดงามกว่าคนทั่วไปหลายส่วน นางจึงเอ่ยอย่างผ่อนคลายว่า “เช่นนั้นก็ให้พวกเจ้าไปดูแลเรื่องน้ำชาที่เรือนหน้า พวกเจ้าทำได้หรือไม่?”
ด้วยเหตุที่สาวงามทั้งสองเกรงกลัวนาง จึงอดนำคำพูดนี้ของนางมาใคร่ครวญสักหนไม่ได้ว่าเรือนหน้าเป็นที่ที่เว่ยฉางอิ๋งไม่ค่อยได้ไป เมื่อให้พวกนางไปอยู่ที่นั่น เห็นชัดว่าไม่ชอบให้พวกนางมาขวางหูขวางตาอยู่ตรงหน้า ซึ่งนี่ก็สมกับเป็นการกระทำของฮูหยินน้อยสามจอมหึงที่พอมาถึงซีเหลียงก็ลากเอาสาวใช้หน้าตางดงามที่เพิ่งเอามาให้สามีไปตีจนตาย …หรือว่าคำพูดนี้จะเป็นการลองใจอันใด?
แต่เมื่อย้อนกลับมาคิดดูว่าตนเองเพิ่งว่าดูแลรินน้ำชาได้ แต่คราวนี้จะมาบอกว่าทำไม่ได้เสียแล้ว ก็ไม่รู้ว่าฮูหยินน้อยผู้นี้จะเห็นว่าตนเองทำให้นางเสียเวลา แล้วจะบันดาลโทสะขึ้นมาหรือไม่?
เมื่อคิดได้ดังนี้จึงสำนึกเสียใจที่ตนปากมาก พลันมีเหงื่อไหลท่วมและไม่กล้าตอบขึ้นมา
เว่ยฉางอิ๋งรออยู่นานก็ไม่เห็นพวกนางตอบคำมา และในโถงก็กลับค่อยๆ เงียบลงจนแทบได้ยินเสียงเข็มร่วงลงพื้น แม้แต่พวกหญิงงามที่ไม่ได้บอกว่าปรนนิบัติน้ำชาเป็นก็ยังมีท่าทีตื่นตระหนกขึ้นมา …เมื่อสังเกตดูให้ละเอียดก็ไม่เห็นว่ามีคนที่มีท่าทีแข็งขืนไม่ยินยอม นางจึงแอบพยักหน้าในใจ คิดว่าคนเหล่านี้กลับยังรู้จักควรไม่ควร จึงหันไปพยักหน้าน้อยๆ ให้กับนางหวง
นางหวงจึงก้าวออกมาบอกว่า “ความจริงแล้วข้าน้อยรู้สึกว่าในเมื่อคนเหล่านี้ล้วนร้องรำทำเพลงเป็น ไยต้องส่งไปดูแลรินน้ำชาเล่าเจ้าคะ? คนเช่นนั้นพวกเราสามารถเลือกจากพวกบ่าวที่เกิดในบ้านไปทำได้เจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งกล่าวว่า “ท่านอาพูดเช่นนี้ก็ทำให้ข้าลำบากใจแล้ว คนเหล่านี้เป็นน้องชายสี่มอบให้ เขาไม่อยากดูแลคนเหล่านี้จึงมอบมาให้ข้า หากข้าไม่จัดหาการงานให้พวกนาง อย่างไรก็ไม่อาจเลี้ยงเอาไว้เปล่าๆ หรอกกระมัง? หรือจะนำไปคืนให้น้องชายสี่? แต่น้องชายสี่ก็คร้านจะมายุ่งยากนี่!”
เมื่อได้ยินนางบอกว่า เสิ่นจั้งฮุยมองว่าคนเหล่านี้เป็นความยุ่งยาก สองคนในกลุ่มที่งดงามที่สุดพลันมีสีหน้าหม่นลงและขบริมฝีปากในทันใด
เว่ยฉางอิ๋งเดาว่าคงจะเป็นคนที่บอกว่ามีชีวิตลำบากสองคนนั้น …ตามสัญชาตญาณของภรรยาเอก หญิงชนิดนี้เมื่อได้พบกับบุรุษที่ภรรยาไม่ได้อยู่ตรงหน้าก็จะบีบน้ำตาเล่าเรื่องชีวิตรันทดนานาเพื่อเรียกร้องความสงสาร หรือดีที่สุดก็คือให้สงสารเสียจนเอานางเข้ามากอดไว้ในอก แต่พอมาเจอกับภรรยาเองหรือสตรีผู้อื่นก็จะแสร้างทำเป็นซื่อๆ เชื่อฟังโดยง่าย เว่ยฉางอิ๋งจึงไม่อาจมีความรู้สึกดีๆ ขึ้นมาได้จริงๆ ด้วยเหตุนี้นางจึงจงใจปิดบังเรื่องที่เสิ่นจั้งฮุยร้องขอให้ดูแลพวกนางอย่างมีเมตตาเอาไว้ แต่กลับบอกเป็นนัยว่าเสิ่นจั้งฮุยเห็นหญิงงามเหล่านี้เป็นความยุ่งยากลำบาก
นางหวงจึงมองไปที่สองคนนั้นคราวหนึ่ง ยิ้มจางๆ พลางว่า “เพราะตระกูลสายหลักของหมิงเพ่ยถังอยู่ที่เมืองหลวงมาตลอด เรือนหลักของคฤหาสน์ดั้งเดิมแห่งนี้จึงว่างเอาไว้และไม่มีผู้ใดคู่ควรมาอยู่ …และเพราะเหตุนี้ เมื่อคุณชายสามและคุณชายสี่กลับมาแล้วจึงได้ขาดกำลังคน ไม่เพียงแค่ขาดกำลังคน นางบำเรอในบ้านก็ขาดด้วย เพียงแต่คนที่จะมาดูแลปรนนิบัติเรื่องนี้ยังไม่เติมเข้ามา ทั้งยังอยู่ในช่วงเทศกาลปีใหม่จึงยังไม่มีเวลาจัดการชั่วขณะเท่านั้น เดิมทีพวกนางบำเรอในบ้านก็หามาเติมได้ยากเย็นที่สุด เพราะที่ซีเหลียงนี่ไม่เจริญเท่าเมืองหลวง เกรงว่าไม่มีคนให้เลือกมากนักเช่นในเมืองหลวง ไม่คิดว่าคนกลุ่มนี้ล้วนไม่เลวเลย กระทั่งยังร้องรำทำเพลงได้ จึงไม่ต้องสอนสั่งอันใดอีกเจ้าค่ะ”
“ท่านอากล่าวถูกต้องนัก แม้จะบอกว่าลำดับอาวุโสของพวกเราไม่สูงเท่าใด ทว่าพวกหลานๆ ในตระกูลก็พอจะมีอยู่จำนวนหนึ่ง เวลานี้ท่านพี่ยังนอนซมอยู่บนตั่ง ไม่สะดวกออกไปต้อนรับแขก บางทีน้องชายสี่อาจต้องการใช้สอยเรื่องนี้ หากมีแขกมา แล้วต้องให้คนไปเรียกคณิกาหลวงมาก็ใช่ที่” เว่ยฉางอิ๋งหรี่ตาลง แล้วเอ่ยกับในโถงว่า “ในเมื่อเป็นดังนี้ พวกเจ้าก็ไปอยู่ที่เรือนนางบำเรอในบ้านก็แล้วกัน”
เมื่อเหล่าหญิงงามได้ยินว่าจะเอาพวกนางไปเป็นนางบำเรอในบ้านก็มีหลายคนที่หน้าถอดสีไปในทันใด …เดิมทีเมื่อพวกนางรู้ว่าจะถูกนำไปมอบให้คนก็ดีอกดีใจกันนัก ด้วยคุณชายสี่แห่งตระกูลสายหลักทั้งหนุ่มแน่น หล่อเหลาไม่เบา เป็นคนสุภาพอ่อนโยน ที่สำคัญที่สุดก็คือครานี้ฮูหยินน้อยสี่ไม่ได้มาด้วย ยิ่งไปว่านั้นสาเหตุที่ฮูหยินน้อยสี่ไม่ได้มาด้วยก็เพราะนางตั้งครรภ์ หลังปีใหม่จึงจะคลอด
ดังนี้แล้ว ต่อให้ถึงหลังปีใหม่ฮูหยินน้อยสี่ก็ยังต้องคอยดูแลบุตรของตน ไม่อาจเร่งเดินทางมาเยี่ยมสามีได้ทันที เมื่อภรรยาเอกมาไม่ได้ พวกนางย่อมสบายเป็นนักหนา หากอาศัยโอกาสนี้คลอดบุตรชายบุตรสาวสักคน แม้จะมีทายาทจากภรรยาเอกของฮูหยินน้อยสี่อยู่ก่อนหน้า ดีชั่วอย่างไรชั่วชีวิตนี้ก็มีที่พักพิงแล้ว
สำหรับหญิงงามเหล่านี้ สิ่งที่พวกนางใฝ่ฝันหาชั่วชีวิตก็มีเพียงเท่านี้แล้ว อย่างไรก็ยังดีกว่ากลายเป็นเพียงของเล่น เมื่อแก่ตัวความงามโรยราก็รับเงินก้อนหนึ่งแล้วถูกส่งตัวกลับบ้านไปแต่งงานกับคนไม่ได้ความ และไม่รู้ว่าระหว่างนั้นต้องกินยาไม่ให้ตั้งครรภ์มากมายเกินไปแล้วภายหลังยังจะสามารถมีทายาทของตนได้หรือไม่?
ปรากฏว่าเมื่อมาถึงเรือนของเสิ่นจั้งฮุยแล้วจึงพบว่าแม้คุณชายสี่จะเป็นคนจิตใจดี แต่กลับถูกฮูหยินน้อยสี่ที่เมืองหลวงควบคุมจนอยู่หมัด สาวงามกลุ่มใหญ่รุมล้อมเข้ามาหา คนที่รับใช้อยู่ต่อหน้าคุณชายสี่เพียงเอ่ยถึงฮูหยินน้อยสี่ไม่กี่คำ …คุณชายสี่ที่เห็นชัดว่ามีอาการใจอ่อนเมื่อได้ยินหญิงสาวสองคนที่งามที่สุดเล่าเรื่องชีวิตรันทดของพวกนางให้ฟังก็เกิดลังเลอยู่พักใหญ่ …และถึงกับตัดสินใจยกพวกนางให้พี่สะใภ้สามไปเป็นคนจัดการดูแล…
จากมืออันอบอุ่นอ่อนโยนของเสิ่นจั้งฮุย มาอยู่ในเงื้อมมือของเว่ยฉางอิ๋งที่ทั่วทั้งตัวเมืองซีเหลียงล้วนพากันนินทาวันเป็นภรรยาขี้หึงก็ทำให้หญิงงามเหล่านี้ขวัญผวาเกินเอ่ยแล้ว ผู้ใดจะเคยคิดว่าฮูหยินน้อยสามที่มาจากเมืองหลวงผู้นี้ก็สมกับชื่อเสียงว่าขี้หึงจริงดังว่า และเปลี่ยนพวกนางจากอนุให้เป็นนางบำเรอในบ้านอย่างไม่รู้สึกรู้สาอันใด
เมื่อเห็นว่ามีคนจะพาพวกนางไปอยู่ที่เรือนนางบำเรอ …ส่วนเว่ยฉางอิ๋งก็ดูคล้ายว่าจะจัดการเรื่องนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงหันหน้าไปพูดเสียงเบาหารือเรื่องอื่นกับนางหวงต่อไป เหล่าหญิงงามจึงรู้ว่านี้เป็นโอกาสครั้งสุดท้ายแล้ว หากรอจนเข้าไปอยู่ในเรือนนางบำเรอ วันหน้าอย่าว่าแต่จะมีโอกาสได้พบกับเว่ยฉางอิ๋งอีกครั้ง แม้แต่คิดจะออกจากเรือนสักก้าวหนึ่ง ก็คือยามที่มีแขกต้องการพวกนางไปปรนนิบัติเท่านั้นแล้ว
อาจเพราะโอกาสมาปัญญาเกิด หรืออาจเพราะไม่ยินยอม ในขณะที่หญิงงามส่วนหนึ่งกำลังเตรียมก้าวเท้าออกไปพร้อมกับเสียงสะอื้นเศร้าสร้อยอยู่นั้น กลับมีหญิงงามส่วนหนึ่งยืนอยู่กับที่ไม่ขยับ แต่กลับขบฟัน คุกเข่าลงทันใด แล้วเอ่ยด้วยเสียงรันทดว่า “ฮูหยินน้อยโปรดเมตตาด้วยเจ้าค่ะ!”
___________________